10 ผลิตภัณฑ์จากโซนี่ที่ (ไม่) ประสบความสำเร็จ

กระทู้สนทนา
บทความนี้แปลจาก Sony's 10 greatest tech flops โดย Martyn Williams

ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1946 จนถึงวันนี้นับเป็นเวลาหกสิบกว่าปีแล้ว ที่บริษัทอิเล็คทรอนิคส์สัญชาติญี่ปุ่นพยายามขนทัพผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกมาตอบสนองความต้องการของผู้คนในท้องตลาดกันแบบนับไม่ถ้วน จนทำให้บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในยี่ห้อสินค้าที่ติดหู ติดตลาด และได้รับความนิยมไปทั่วโลก ชนิดที่ว่าทิ้งค่ายอื่นแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว

ซึ่งตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา โซนี่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลกด้วยยี่ห้อการค้าที่ ณ เวลานั้นไม่มีใครรู้จัก อย่างเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาที่มียี่ห้อการค้าว่า Walkman, Handycam กล้องถ่ายวีดีโอขนาดเล็ก และTrinitron ชื่อรุ่นโทรทัศน์จอแบน และถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปเป็นโลกไอทีมากขึ้น แต่โซนี่ก็ยังสามารถยืนหยัดรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอด จึงทำให้มีการเข็นทัพผลิตภัณฑ์หมวดไอทีอย่าง Cybershot, Vaio, Bravia และ PlayStation ออกมาสนองความต้องการของตลาดได้อย่างสบายๆ ถึงแม้ว่าในท้องตลาดจะเริ่มมีผู้ผลิตเจ้าอื่นๆ กระโดดเข้ามาแข่งขันมากขึ้นก็ตามมา

ถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มคิดแล้วว่า ไม่ว่าผู้ผลิตญี่ปุ่นรายนี้จะทำสินค้าตัวไหนออกมาวางขาย ก็ดูจะขายได้ และขายดีไปทั้งหมด แต่ก็อาจจะไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว เพราะขึ้นชื่อว่าธุรกิจ การค้า การขาย มันก็ย่อมมีสินค้าที่ไม่โดนใจผู้บริโภค และไม่เป็นที่นิยมของตลาด จนต้องพับเสื่อกลับบ้านไป ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ผู้คนต่างนิยมก็ตามที ซึ่งด้านล่างต่อจากนี้ไปผู้เขียนขอนำเสนอ 10 สินค้าจากโซนี่ที่จำต้องอำลาจากชั้นวางไปอย่างน่าเสียดาย

Image credit: Sony


Sony Aibo

หุ่นยนต์สุนัขหน้าตาน่ารักจากค่ายโซนี่ตัวนี้ ถูกเผยโฉมต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1999 มันเป็นหุ่นยนต์สุนัขแสนรู้ที่สามารถแสดงอารมณ์สุข เศร้า โกรธ ตกใจ กลัว และไม่ชอบได้ แต่ด้วยราคาค่าตัวที่สูงถึง 2,500 เหรียญ หรือราวๆ ครึ่งแสนบาทไทยในขณะนั้น จึงทำให้เป็นอุปสรรคต่อความต้องการของตลาด และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้โซนี่จำต้องเก็บโครงการนี้ลงเมื่อมีการฟื้นฟูโครงสร้างของบริษัทในเวลาถัดมา แต่อย่างไรก็ดี เชื่อได้ว่าเจ้าหุ่นยนต์สุนัขตัวนี้จะยังคงเป็นที่รักของผู้ที่เป็นเจ้าของไม่เปลี่ยนแปลง

Image credit: Sony


Vaio MusicClip

ในปี 1979 โซนี่ได้เผยโฉมอุปกรณ์สำหรับการฟังเพลงแบบพกพาเพื่อสนองความต้องการของตลาดเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อยี่ห้อการค้าว่าWalkman ด้วยกระแสความนิยมของสินค้า บวกกับการปล่อยให้โซนี่เป็นเจ้าตลาดมาเสียนาน บริษัทแอปเปิ้ลจึงขอกระโดดเข้ามาเป็นผู้ท้าชิงในตลาดด้วยการงัดสินค้าไม้เด็ดออกมาสู้ ซึ่งการปะทะในครั้งนั้นทำให้โซนี่จำใจต้องรับความพ่ายแพ้กลับไป อันเนื่องมาจากการก้าวเดินที่ผิดพลาดของบริษัทในการเลือกใช้รูปแบบไฟล์เพลง ATRAC ซึ่งเป็นไฟล์ฟอร์แมตกรรมสิทธิ์ที่ใช้กับ Sony MiniDisc ต่อมาในปี 2000 ที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่กระแสเพลงดิจิตอลเริ่มมีการแชร์ไฟล์ฟอร์แมต MP3 บนโลกอินเทอร์เน็ตมากขึ้น นั่นจึงทำให้ยอดขายของเครื่องเล่นเพลงแบบพกพาของโซนี่ต้องสะดุดหยุดลงเลยทีเดียว

Image credit: Sony



Sony e-Villa

ปี 2001 หลายบริษัทเริ่มหันมาจับตลาดอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตกันมากขึ้น โดยเฉพาะอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อเพื่อเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต และท่องเว็บฯ ซึ่ง Sony eVilla ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มันมาพร้อมกับหน้าจอ CRT ขนาด 15 นิ้ว พร้อมโมเด็มสำหรับเชื่อมต่อที่ความเร็ว 56 kbps เพื่อการเข้าถึงอีเมลล์ และเว็บไซต์ต่างๆ แต่ด้วยตลาดในขณะนั้นที่มีคู่แข่งออกมามากมายหลายเจ้า จึงทำให้เหล่าผู้บริโภคตัดสินใจที่จะเลือกซื้อพีซีเครื่องใหม่ สำหรับใช้กับ Windows XP จะดีกว่า ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้โซนี่จำต้องเก็บสินค้าตัวนี้เข้าโกดังหลังจากวางขายเพียงสามเดือน

Image credit: Sony


Airboard

หากย้อนกลับไปสักสิบปี ก่อนหน้าที่ผู้คนจะนิยมรับการชมรายการทีวีผ่านทาง iPad โซนี่เองก็เคยพัฒนาแท๊บเล็ตที่มีชื่อว่า Airboard ออกมาสู่ตลาดเหมือนกัน Airboard เป็นแท๊บเล็ตขนาดหน้าจอ 10 นิ้ว ที่มาพร้อมกับการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi อินเทอร์เน็ต และเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์ จึงทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าเว็บไซต์ เช็คอีเมลล์ และชมรายการสุดโปรดได้อย่างเพลิดเพลิน แต่ถึงจะมากด้วยคุณสมบัติ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะกลายเป็นสินค้ายอดฮิตในตลาด เนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่มีความคิดว่า ไม่มีจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเสียเงินราคาแพงเพื่อซื้อทีวีแบบพกพา

Image credit: Sony



Qualia

ต่อมาในปี 2003 ยุคที่ตลาดการแข่งขันเริ่มร้อนระอุขึ้น โซนี่จึงพยายามที่จะมองหาจุดแข็งในการทำตลาด ด้วยการเปิดตัว Qualia ยี่ห้อการค้าของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงซึ่งเน้นไปที่วิศวกรรมของโซนี่เป็นสำคัญ นอกจากจุดเด่นของตัวผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กมากๆ แล้ว ตัวสินค้ากลับมีราคาที่สวนทางกันแบบเหลือเชื่อ อย่างเช่น กล้องดิจิตอลตัวเล็กจิ๋ว มีราคาค่าตัวสูงถึง 3,220 เหรียญ ขณะที่โปรเจคเตอร์ความละเอียดสูง ถูกตั้งราคาไว้ที่ 20,000 เหรียญ ซึ่งถ้าหากคุณสนใจที่จะเข้าไปชมสินค้าแล้วละก็ จะต้องทำการนัดหมายกับโชว์รูม หรือมีพนักงานตามติดไปกับคุณด้วย อย่างไรก็ดีด้วยราคาที่สูง บวกกับความยุ่งยากในการซื้อหา สุดท้ายแล้วโซนี่ก็ตัดสินใจที่ระงับการขายผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ในอีกสองปีต่อมา

Image credit: Sony



Sony PSX

ต่อมาในปีเดียวกัน โซนี่ได้ส่งเครื่อง PSX ซึ่งเป็นเครื่องที่รวมเกมคอนโซลสุดฮิต PlayStation 2 และเครื่องบันทึกวีดีโอดีจิตอลเอาไว้ในหนึ่งเดียว ด้วยความสามารถของเครื่อง คุณจะสามารถเล่นเกมบนคอนโซล PS2 และอัดรายการทีวีสุดโปรดลงบนฮาร์ดดิสก์ หรือแผ่นดีวีดีได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยตัวเครื่องที่วางจำหน่ายมีน้ำหนักมาก และมีขนาดใหญ่กว่าเกมคอนโซลทั่วไป รวมถึงมีราคาทีแพงกว่าเกมคอนโซลแบบเดี่ยวๆ ซึ่งถ้าหากเรานำไปเปรียบเทียบกับเครื่องอัดวีดีโอในยุคสมัยนั้น ถึงแม้ว่ามันจะมีราคาที่น่าสนใจ แต่ก็ไม่มากพอที่จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคควักกระเป๋าซื้อได้

Image credit: Sony


Mylo

มาถึงปี 2006 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดมือถือยี่ห้อในฝั่งอเมริกาที่มีชื่อว่าT-Mobile Sidekick ดังเป็นพลุแตก ด้วยหน้าตาของมือถือที่มาพร้อมกับคีย์บอร์ดเหมือนคอมพิวเตอร์ จึงทำให้สะดวกต่อการพิมพ์ข้อความสั้น เข้าถึงอีเมลล์ และสนทนาบนโปรแกรมยอดนิยม แถมถ่ายภาพได้ทุกเวลาด้วยกล้องดิจิตอล จึงทำให้มันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้โซนี่รีบเดินหน้าคลอดมือถือที่มีรูปลักษณ์ดียวกันนี้ตามออกมา ต่างกันที่ Mylo ถูกออกแบบมาให้เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi ได้เพียงอย่างเดียว แต่ก็มีโปรแกรม Skype เว็บเบราเซอร์ และโปรแกรมสนทนา มาให้พร้อมใช้ ซึ่งข้อด้อยในเรื่องของการขาดสัญญาณมือถือนี่เองจึงทำให้สินค้าตัวนี้ถูกiPod Touch ตีตลาดไปเสียได้ และถึงแม้ว่าโซนี่จะเข็นทายาทรุ่นที่สองออกมาทำตลาดเมื่อปี 2008 อีกครั้ง ก็ดูเหมือนว่ามันไม่สามารถเจาะตลาดเข้าไปได้อยู่ดี

Image credit: Sony

Rolly

ถ้าพูดถึงหนึ่งในนวัตกรรมสินค้าของโซนี่ที่แปลกประหลาด และถูกเผยโฉมออกมาต่อสาธารณชน เห็นทีจะต้องยกให้เจ้าตัวนี้ Rolly คืออุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องให้ความบันเทิงทางด้านเสียง ซึ่งเมื่อเจ้าอุปกรณ์หน้าตาประหลาดได้ยินเสียงเพลงเมื่อไหร่ มอเตอร์ที่อยู่ด้านข้างสองตัวก็จะเริ่มทำงานด้วยการหมุนไปรอบๆ ดูแล้วคล้ายไข่กลิ้งได้ตามจังหวะเสียงเพลง แถมผู้ใช้ยังสามารถตั้งโปรแกรมท่าเต้นให้มันได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะมีผู้ซื้อไปเพียงหยิบมือ แต่ทางโซนี่ก็ยังขยันส่งเวอร์ชั่นอัพเดทตามออกมาอีกครั้งในปี 2007 ซึ่งในที่สุดมันก็ไม่สามารถอยู่ในตลาดได้จนถึงเวอร์ชั่นที่สาม

Image credit: Sony




PSPgo

สินค้าจากค่ายโซนี่ที่ถูกเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ภายในงานเกมเอ็กซ์โปที่จัดขึ้นเมื่อปี 2009 มันเป็นเครื่องเล่นเกมที่คาดว่าจะกลายมาเป็นสินค้าตัวใหม่สำหรับการเล่นเกมแบบพกพา หากแต่ได้มีการตัดเอาฟอร์แมตUMD (Universal Media Disc) ซึ่งเป็นฟอร์แมตที่ใช้บนเกมคอนโซลพกพารุ่นเก่าออกไป ซึ่งนั่นก็หมายความว่าบรรดาคอเกมจะไม่สามารถนำเกมที่มีอยู่มาเล่นบนเครื่องนี้ได้ รวมถึงจุดด้อยในเรื่องของราคาที่แพงกว่าเจ้าPSP หลายบาทนัก นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คอเกมทั้งหลายต่างตัดสินใจไม่ควักกระเป๋าซื้อเจ้าตัวนี้มาครอบครอง ถึงแม้ว่าโซนี่จะประกาศหั่นราคาขายเพื่อกระตุ้นความต้องการ ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นหนึ่งในสินค้าของโซนี่ที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร

Image credit: Sumner


OLED TV

ความคิดที่ว่าสินค้าไม่ประสบความสำเร็จเพราะมาจากผู้บริโภค หรือตลาดไม่สนใจนั้น ดูจะใช้ไม่ได้กับโทรทัศน์แบบ OLED เครื่องแรกของโลกจากค่ายโซนี่ ที่มีชื่อว่า XEL-1 ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมา โดยโทรทัศน์เรื่องนี้สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผู้พบเห็นได้อยู่ตลอด เนื่องจากการแสดงผลที่มีความคมชัด และสดใสมากว่าโทรทัศน์แบบ LCD ในสมัยนั้น หากแต่เมื่อพลิกป้ายราคาขึ้นมาดูก็ต้องชะงักกันแบบเก้อๆ เนื่องจากมันมีราคาจำหน่ายสูงถึง 2,000 เหรียญกับโทรทัศน์ที่มีขนาดเพียง 11 นิ้วเท่านั้น ซึ่งในตลาดทุกวันนี้ก็ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดที่ประสบความสำเร็จกับการจำหน่ายโทรทัศน์แบบ OLED และนั่นจึงทำให้โซนี่ต้องจำใจเก็บโทรทัศน์เครื่องนี้ออกจากชั้นวางไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ที่มา : http://www.itworld.com/personal-tech/126147/sonys-10-greatest-tech-flops?page=0%2C0

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่