เมื่อการแก้ปัญหาที่:)โคตรญี่ปุ่น เปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงของคนทั้งโลก

The Founder :
.
ทุกวันนี้เราคงคุ้นเคยกับการเดินไป วิ่งไป ออกกำลังกายไป ปั่นจักรยานไปฟังเพลงไป แต่เราเคยสงสัยมั้ยครับ ว่ามนุษย์เริ่มมีพฤติกรรมที่จะต้องฟังเพลงไปพร้อม ๆ กับเคลื่อนที่ไปมาตั้งแต่เมื่อไร ?
.
ตอบแบบง่ายที่สุด มนุษย์เริ่มมีพฤติกรรมแบบนี้แพร่หลายตั้งแต่ Sony ออก Walkman ซึ่งเป็นเครื่องเล่นเทปแบบพกพา (เครื่องฟังเพลงแบบพกพานั่นแหละครับ) มาในปี 1979 และวันนี้มันก็ถูกวางขายมาครบ 40 ปี แล้วครับ
.
ซึ่งที่น่าสนใจคือตอนมันออกมา มันไม่ใช่อะไรที่ใครนอกจาก Sony ที่จะคิดว่ามันขายได้ พูดง่าย ๆ ในยุคนั้นไม่มีใครคิดว่าความสามารถในการฟังเพลงขณะที่เราเดินมันจะเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต
.
...แล้วมันโผล่มาได้ไง? อ้าว มันมีเรื่องราวมันส์ ๆ ครับ
.
มา ๆ เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
.
เรื่องมันเกิดจากการที่นาย Masaru Ibuka ซึ่งเป็นผู้บริห
ารระดับสูงของ Sony (จริง ๆ เป็นหนึ่งใน 2 ผู้ก่อตั้งบริษัท Sony ด้วย ส่วนตั้งมายังไง ไม่ขอเล่า เดี๋ยวยาวเกิน) เป็นคนชอบฟังเพลงมาก เรียกได้ว่าถึงเป็นผู้บริหารแล้วก็ยังฟังเพลงตลอดเวลา ขึ้นเครื่องบินก็ฟัง เดินไปไหนมาไหนก็ฟัง และเขาก็หงุดหงิดมากที่ในท้องตลาดไม่มีอุปกรณ์แบบพกพาใด ๆ เลยที่จะเหมาะสมกับการฟังเพลงตอนเดินไปไหนมาไหน เพราะยุคนั้นคนจะฟังเพลงส่วนใหญ่ก็ฟังแผ่นเสียงเอาที่บ้านกัน ไม่ก็ฟังวิทยุกันในรถ
.
ด้วยความหงุดหงิดนี้ เขาก็เกิดความคิดว่า เฮ้ย คนญี่ปุ่นนี่มัน
ก็เดินเยอะกันนี่หว่า เพลงก็ชอบฟังกัน มันต้องมีคนคิดอย่างเขาบ้างแหละ เขาเลยสั่งให้แผนกเทปของ Sony ว่า ไปลองผลิตอุปกรณ์ที่จะทำให้ฟังเทปแบบพกมาได้มาดิ๊ แล้วเอาให้มันผลิตมาได้ราคาถูก ๆ นะให้คนทั่ว ๆ ไปใช้ได้กันหน่อย ถ้าพัฒนามาไม่ได้ ระวังโดนยุบแผนกนะเว้ย
.
ก็ต้องเล่าย้อนนิดว่าแผนกเทปของ Sony ในยุคนั้นมีผลิต
ภัณฑ์น้อยมาก ขายไม่ค่อยดีด้วย เพราะผลิตภัณฑ์หลัก คือเครื่องบันทึกเทปแบบพกพาที่พวกนักข่าวใช้บัน
ทึกบทสัมภาษณ์กัน ซึ่งราคาก็ดุดันสุด ๆ เครื่องละประมาณ 30,000 บาทด้วยค่าเงินเมื่อ 40 ปีก่อน เรียกได้ว่ายังโ
คตรแพงแม้แต่สำหรับญี่ปุ่น ที่ตอนนั้นได้กลายมาเป็นเศรษฐกิ
จที่มีผลผลิตมีมูลค่าเป็นอันดับ 2 รองจากอเมริกาไปแล้ว (ญี่ปุ่นได้ตำแหน่งนี้ปี 1978 และครองตำแหน่งนี้มายาวนานก่อนจีนจะแย่งไปเมื่อปี 2010)
.
พูดง่าย ๆ แผนพัฒนาเทปของ Sony ผลิตของที่ไม่ค่อยมีคนใช้ แถมยังขายไม่ดีด้วย ฝ่ายบริหารก็เลยร่ำ ๆ ว่าจะยุบแผนกมัน
ไปรวมกับแผนกอื่นดีมั้ย
.
...แน่นอนว่าแผนกก็ไม่อยากยุบ เลยกุลีกุจอพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่มา ซึ่งสิ่งที่ทำก็คือตัดฟังก์ชั่นบันทึกเสียงออกจ
ากเครื่องบันทึกเสียงแบบพกพาให้เหลือแค่ฟังเพลงได้พอ และพร้อมกันนั้นก็ใส่ใจสัญญาณเสียงมากขึ้นนิด เพื่อเน้นให้เสี
ยงมันฟังออกมาแล้วเน้นความไพเราะ ไม่ใช่เน้นสมจริ
งแบบเครื่องบันทึกเสียง
.
ผลที่ได้ก็คือ Sony Walkman ที่ออกมาสู่ท้องตลาดในปี 1979 ด้วยสนนราคาขายประมาณ 7,000 บาท ก็เรียกได้ว่าถู
กขึ้นเยอะแล้ว แต่ก็ยังแพงอยู่ แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็สตรองสุดๆ ตอนนั้น เรียกได้ว่า มีลุ้น
.
เนื่องจาก Sony กำลังจะขายสินค้าที่ไม่เคยมีใคร
ในโลกผลิตมาขายมาก่อนอย่างเครื่องฟังเพลงแบบพกพา มันก็เลยมีแคมเปญการตลาดมากมาย ทั้งส่งสินค้าฟร
ีให้เหล่าคนดังไปใช้เดินฟังเพลงให้คนเห็นว่าใช้ยังไง และมีการเอาสินค้าไปให้ทดลองตามย่านใหญ่ ๆ ในโตเกียว พูดง่าย ๆ คือ Sony พยายามทำให้เห็นว่ามันเป็นสินค้
าที่ตอบโจทย์สังคมที่คนเดินต้องเดิน ๆ ๆ แล้วก็เดิน อย่างสังคมญี่ปุ่น
.
...ผลเหรอครับ ยอดขายเปรี้ยงสุด ๆ ไปเลย เรียกได้ว่าผลิต
มาล็อตแรก 30,000 เครื่อง ขายหมดอย่างรวดเร็วจนต้องผลิตใหม่
.
และทาง Sony ก็เลยเห็นว่า เฮ้ย มันขายได้เว้ย ก็เลยลองเอาไปทำตลาดในต่างประเทศ ซึ่งผลก็คือขายดีเช่นกัน จนแบรนด์จากโลกตะวันตกต้องผลิต “ของก๊อป” ออกมาขายกันจ้าละหวั่น
.
แต่แน่นอนว่าสินค้าที่ติดตลาดไปแล้วอย่าง Walkman ก็กลายมาเป็นสินค้าที่คนจดจำแล้ว และคนก็เรียก “เครื่องเล่นเทปแบบพกพา” ว่า Walkman กันหมด ไม่ว่ามันจะยี่ห
้ออะไร (ก็ราว ๆ คนไทยเรียกผงซักฟอกว่า “แฟ้บ” เรียกบะหมี่สำเร็จรูปว่า “มาม่า”
.
และถึงตรงนี้ก็เดาได้อย่างไม่ต้องสืบเลยว่ามันขายดีแน่ ซึ่งก็จริง เพราะตลอดยุค 1980’s ยอดขายของ Sony Walkman ทุกรุ่นทุกซีรีส์รวมกันได้ถึง 50 ล้านยูนิตทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็น
สินค้าระดับตำนานของบริษัท Sony ไปเลย
.
ซึ่งที่มากกว่านั้นก็คือ มันได้เปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพล
งของคนไปเลย เพราะตั้งแต่ยุค 1980’s เป็นต้นมา การฟังเพลงไปพร้อม ๆ กับเดินหรือวิ่ง มันกลายมาเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ไปแล้ว จากที่ก่อนหน้านั้นมันไม่เคยเป็น
.
และทั้งหมดมันก็มีต้นตอมาจากการที่คนญี่ปุ่นต้องการจะผลิตสินค้ามาตอบโจทย์สังคมที่คนทั้งชอบฟังเพลงและวัน ๆ หนึ่งต้องเดินกันเยอะแบบสังคมญี่ปุ่นนี่แหละครับ


ที่มา : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2407455909579947&id=1741355449523333
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่