เรื่องเศร้าของคนมีประกันสุขภาพ

กระทู้สนทนา
ผ่านมาราวๆหนึ่งปีครึ่งกับการมาตอบปัญหาและแบ่งปันประสบการณ์ในห้องสวนลุมแห่งนี้ มีเรื่องหนึ่งที่จริงๆแล้วกวนใจผมตั้งแต่จบเป็นหมอมาเลยก็ว่าได้คือเรื่องประกันสุขภาพ ไม่รู้ว่าปัญหามันเริ่มจากไหนแต่วันนี้มีเรื่องเศร้ามาแชร์ให้ฟังให้เป็นข้อคิดสำหรับหลายๆคน และจะสรุปคำแนะนำไว้ตอนท้ายครับ

แน่นอนหากเป็น oncodog เรื่องที่เล่าย่อมเกี่ยวกับมะเร็งอย่างหนีไม่พ้น แต่มันจะมาเกี่ยวกับประกันสุขภาพอย่างไรมาลองอ่านกันครับ

ผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเธอมีก้อนที่เต้านมมานานหลายปีแต่ด้วยความที่มันไม่ได้โตขึ้น ไม่ได้มีอาการอย่างอื่นเธอจึงไม่ได้สนใจ แต่แล้วเมื่อมีคนใกล้ตัวป่วยเป็นมะเร็งเต้านมขึ้นมาความกลัวนั้นก็เกิดขึ้นอย่างที่ทุกคนๆจะพึงมี แต่แทนที่จะมาหาหมอเธอกลับใช้ข้ออ้างว่าต้องทำงานในการเลื่อนการตรวจไปเรื่อยๆ วันหนึ่งก็มีคนชวนมาทำประกันสุขภาพครอบคลุมโรคมะเร็งด้วยเธอจึงตกลงทำ ตัวแทนยืนยันกับเธอว่าถึงจะมีก้อนมาก่อนก็ไม่เป็นไรเพราะไม่เคยตรวจมาก่อน

ผ่านไป 4 เดือนก้อนเดิมๆนั้นก็เริ่มโตขึ้นๆ จนทำให้เธอไปตรวจในที่สุดเมื่อครบ 6 เดือนหลังทำสัญญาตามที่ตัวแทนแนะนำ ขั้นตอนการตรวจเป็นไปอย่างรวดเร็วตามประสารพ.เอกชนชั้นนำ แม้กระนั้นก้อนที่เต้านมก็โตถึง 6 เซนต์ ผลการผ่าตัดออกมาพบว่าก้อนนั้นกินเข้าผิวหนัง ลามไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ทุกต่อม ระยะคาบลูกคาบดอกกับการแพร่กระจาย ตัวมะเร็งเป็นแบบดุสุดๆมี HER-2อย่างชัดเจน หมอบอกกับเธอว่าไม่เป็นไรประกันนั้นครอบคลุม แต่ปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อมีจดหมายด่วนที่สุดของทางบริษัทประกันแจ้งว่าค่ารักษาของการตรวจและผ่าตัดจำนวนหลายแสนบาทบริษัทจะไม่จ่ายให้เนื่องจากเป็นโรคที่เป็นมาก่อนแล้ว และขอให้นำเงินมาชำระคืนบริษัทโดยไว

การทวงหนี้เป็นแสนๆกับคนหาเช้ากินค่ำส่งผลให้สองคนผัวเมียหนีหนี้ไปต่างจังหวัด ละทิ้งการรักษาที่หมอได้บอกว่าต้องรีบนะ ผ่านไปเกือบปีในที่สุดก็ทำงานและหยิบยืมมาใช้หนี้ได้หมดทรัพย์สินที่มีก็ขายหมดแล้ว ตอนนี้เรื่องมะเร็งจึงกลับมากวนใจอีกครั้ง ผื่นแดงบนหน้าอกรอบรอยผ่าตัดที่เดิมคิดว่าแค่อักเสบธรรมดาหรือแพ้อะไรบางอย่าง แต่ตอนนี้มันปูดนูนเป็นก้อนโตและเจ็บ

รพ.ที่เธอมีสิทธิ์อยู่ตัดสินใจส่งตัวมารพ.ที่ผมอยู่ นั่นจึงเป็นการพบกันครั้งแรก หลังจากถามอยู่หลายรอบว่าหายไปไหนมาตั้ง 10 เดือนหลังจากผ่าตัด น้ำตาก็พรั่งพรูออกมาพร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นข้างต้น คำพูดที่ได้ยินบ่อยมากคือ "ป้าไม่รู้ว่ามันจะเบิกไม่ได้ ไอ้ก้อนนี้มันอยู่กับป้ามานานแล้วนะ" ผมได้แต่กุมมือไว้เป็นการให้กำลังใจ เมื่อน้ำตาหยุดไหลผมจึงเล่าให้ฟังว่าที่พยายามถามนั้นไม่ได้ต้องการจะต่อว่าแต่เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษามันจะต่อเนื่อง เพราะแม้จะยังไม่ได้ตรวจอย่างอื่นแต่ก็มั่นใจได้ว่ามันคงกระจายไปบ้างแล้ว

วันนี้หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปผลการตรวจก็พบว่ามันกระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่อื่น ผิวหนัง ผนังทรวงอก ปอด ตับ กระดูก เธอกลับมาในชุดเดิมนั่งรับฟังผมแจ้งผลการตรวจ เธอทำใจได้ดีกว่าที่จะต้องพูดถึงเรื่องประกันเสียอีก ผมเริ่มคีโมในวันนี้เลยเพราะคงรอต่อไปอีกไม่ไหวแน่ๆ สิ่งที่เธอห่วงคือจะยังทำงานไหวไหมเพื่อที่จะได้เอาเงินไปคืนที่หยิบยืมมา มากกว่าจะกลัวว่าจะทรมานจากผลข้างเคียงของมัน



เรื่องแบบนี้เจอได้บ่อยเหมือนกันนะครับโดยเฉพาะในกรณีของโรคมะเร็ง  ปัญหาคืออะไร

ปัญหาคือเรามีมุมมองและความเข้าใจในประกันผิดไป ผมเองก็อาจจะยังไม่เข้าใจมันเต็มที่เพราะยังไม่เคยมีสักอัน แต่จากประสบการณ์ที่พบคนที่มีปัญหากับประกันนั้นเพราะหวังความคุ้มค่า

ที่จริงแล้วการประกันเป็นการกระจายความเสี่ยง และ บริษัทนั้นย่อมต้องทำกำไรไปด้วย ยกตัวอย่างหากคน 100 คนทำประกันโรคมะเร็ง ใน 5 ปีน่าจะมี 1 คนที่เป็นมะเร็ง บริษัทต้องจ่าย 1,000,000 บริษัทจะทำอย่างไร บริษัทก็ต้องเก็บเงินอย่างน้อยคนละ 2,000 บาทต่อปีจึงจะเท่าทุน และเพื่อควบคุมให้ความเสี่ยงนั้นอยู่ที่ 1 คนต่อ 5 ปีจึงต้องมีการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เข้มงวดไม่รับคนที่เสี่ยงมากๆ หรือมีการคิดเบี้ยประกันเพิ่มในคนที่เสี่ยงมากกว่านั้น ยิ่งประกันที่ดูคุ้มเขาก็ต้องเก็บคุ้ม

ดังนั้นการทำประกันต้องไม่เริ่มจากความคิดที่ว่ามันจะคุ้มค่า แต่ต้องเริ่มจากการซื้อหลักประกันความมั่นคงหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน

ต้องคิดทำประกันตอนที่แข็งแรง ไม่ใช่เริ่มป่วย

และสุดท้ายควรอ่านรายละเอียดต่างๆอย่างรอบคอบ อย่าเชื่อแต่สิ่งที่ตัวแทนบอกหรือดูดีเกินจริง



ปล.เคยมีประกันชีวิตของธนาคารหนึ่ง หลังจากอ่านรายละเอียดก็พบว่าผม(ตอนนั้น 25) ต้องตายภายใน 5 ปีจึงจะกำไร และหากตายหลัง 10 ปีเอาเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายนั้นไปฝากประจำจะได้เงินมากกว่าที่จะได้จากประกันโดยที่ไม่ต้องตายครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่