ปุถุชน ย่อมมีปฏิจสมุปบาทฝ่ายเกิด ปรากฏอยู่เนืองๆ แม้ในเพียงวาระจิตเดียว อย่างไร?
จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 16
-------------------------------------------------------------------
๕. ภูมิชสูตร
...
...
...
[๘๓] ดูกรอานนท์ เมื่อกายมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะ
ความจงใจทางกายเป็นเหตุ เมื่อวาจามีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะ
ความจงใจทางวาจาเป็นเหตุ หรือว่า เมื่อใจมีอยู่สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้นเพราะ
ความจงใจทางใจเป็นเหตุ ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่ง
กายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุง
แต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น เพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึก
ตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้
สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกร
อานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเอง
บ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นเพราะผู้อื่น
บ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง
ดูกรอานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น
ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิด
ขึ้นเพราะผู้อื่นบ้างบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็น
ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน
เป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้ ฯ
[๘๔] ดูกรอานนท์ ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ กายซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข
และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี วาจาซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น
จึงไม่มี ใจซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี เขต [ความจงใจเป็นเหตุ
งอกงาม] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นจึงไม่มี วัตถุ [ความจงใจอันเป็น
ที่ประดิษฐาน] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี อายตนะ [ความจง
ใจอันเป็นปัจจัย] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี หรืออธิกรณ์
[ความจงใจอันเป็นเหตุ] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี ฯ
จบสูตรที่ ๕
------------------------------------------------------------
อธิบาย....
เพราะ กายมีอยู่ วาจามีอยู่ ใจมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจ
แต่ "ความจงใจ" ที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ไม่ใช่ความรู้ตัว ที่เราทั้งหลายเข้าใจกัน แต่เป็นเหุตปัจจัยมาก่อนนั้น จึงไม่ใช่ความรู้สึกตัว ดังที่ผมตัดพุทธพจน์แสดงให้ชัดเจน ในส่วนของ "ใจ" อีกครั้งดังนี้.
----------------------------------------------------
ดูกรอานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น
ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิด
ขึ้นเพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็น
ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน
เป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้ ฯ
---------------------------------------------------
สรุป ก็จะได้ว่า...
เพราะ กายมีอยู่ วาจามีอยู่ ใจมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจ(ซึ่งไม่เกี่ยวกับรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว) เป็นเหตุ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่ง กายสังขาร/วาจาสังขาร/มโนสังขาร
ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น ด้วยตนเองบ้าง/ด้วยผู้อื่นบ้าง/ด้วยรู้สึกตัวบ้าง/ด้วยไม่รู้สึกตัวบ้าง
แล้วสุดท้ายพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้ ฯ
หมายความว่า ปุถุชนเมื่อมี กายอยู่ มีวาจาอยู่ มีใจอยู่ ปฏิจสมุืทปบาทฝ่ายเกิดย่อมปรากฏอยู่เนื่องๆ อันมีอวิชชาปรากฏ เนืองๆ แม้เพียงขณะจิตเดียว ทั้งรู้สึกตัวบ้าง/ไม่รู้สึกตัวบ้าง
ปุถุชน ย่อมมีปฏิจสมุปบาทฝ่ายเกิด เป็นปรากฏอยู่เนื่อง แม้ในเพียงวาระจิตเดียว อย่างไร?
จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 16
-------------------------------------------------------------------
๕. ภูมิชสูตร
...
...
...
[๘๓] ดูกรอานนท์ เมื่อกายมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะ
ความจงใจทางกายเป็นเหตุ เมื่อวาจามีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะ
ความจงใจทางวาจาเป็นเหตุ หรือว่า เมื่อใจมีอยู่สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้นเพราะ
ความจงใจทางใจเป็นเหตุ ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่ง
กายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุง
แต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น เพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึก
ตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้
สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกร
อานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเอง
บ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นเพราะผู้อื่น
บ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง
ดูกรอานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น
ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิด
ขึ้นเพราะผู้อื่นบ้างบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็น
ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน
เป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้ ฯ
[๘๔] ดูกรอานนท์ ก็เพราะอวิชชาดับด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ กายซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข
และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี วาจาซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น
จึงไม่มี ใจซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี เขต [ความจงใจเป็นเหตุ
งอกงาม] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นจึงไม่มี วัตถุ [ความจงใจอันเป็น
ที่ประดิษฐาน] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี อายตนะ [ความจง
ใจอันเป็นปัจจัย] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี หรืออธิกรณ์
[ความจงใจอันเป็นเหตุ] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี ฯ
จบสูตรที่ ๕
------------------------------------------------------------
อธิบาย....
เพราะ กายมีอยู่ วาจามีอยู่ ใจมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจ
แต่ "ความจงใจ" ที่พระพุทธเจ้าตรัสนั้น ไม่ใช่ความรู้ตัว ที่เราทั้งหลายเข้าใจกัน แต่เป็นเหุตปัจจัยมาก่อนนั้น จึงไม่ใช่ความรู้สึกตัว ดังที่ผมตัดพุทธพจน์แสดงให้ชัดเจน ในส่วนของ "ใจ" อีกครั้งดังนี้.
----------------------------------------------------
ดูกรอานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น
ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิด
ขึ้นเพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็น
ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน
เป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้ ฯ
---------------------------------------------------
สรุป ก็จะได้ว่า...
เพราะ กายมีอยู่ วาจามีอยู่ ใจมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจ(ซึ่งไม่เกี่ยวกับรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว) เป็นเหตุ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่ง กายสังขาร/วาจาสังขาร/มโนสังขาร
ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น ด้วยตนเองบ้าง/ด้วยผู้อื่นบ้าง/ด้วยรู้สึกตัวบ้าง/ด้วยไม่รู้สึกตัวบ้าง
แล้วสุดท้ายพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้ ฯ
หมายความว่า ปุถุชนเมื่อมี กายอยู่ มีวาจาอยู่ มีใจอยู่ ปฏิจสมุืทปบาทฝ่ายเกิดย่อมปรากฏอยู่เนื่องๆ อันมีอวิชชาปรากฏ เนืองๆ แม้เพียงขณะจิตเดียว ทั้งรู้สึกตัวบ้าง/ไม่รู้สึกตัวบ้าง