
หมายเลขที่-1:
https://etipitaka.com/read/thai/24/103/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อวิชชาสูตร [๖๑]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งอวิชชาย่อมไม่ปรากฏ
ในกาลก่อนแต่นี้ อวิชชา ไม่มี แต่ภายหลังจึงมี
เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำนี้อย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น " อวิชชามี ข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ "
...
========================================
หมายเลขที่-2:
https://etipitaka.com/read/thai/24/105/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ตัณหาสูตร
[๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏ
ในกาลก่อนแต่นี้ ภว ตัณหาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี
เพราะเหตุนั้น เราจึงกล่าวคำอย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น " ภวตัณหา มีข้อนี้เป็นปัจจัยจึงปรากฏ "
....
=========================================
หมายเลขที่-3:
https://etipitaka.com/read/thai/12/12/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ๒. สัพพาสวสังวรสูตร
.....
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่ไม่ควรมนสิการ ที่ปุถุชนมนสิการอยู่เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อปุถุชนนั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่
กามาสวะก็ดี ภวาสะก็ดี อวิชชาสวะก็ดี ที่ยัง ไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญขึ้น ธรรมที่ไม่ควรมนสิการเหล่านี้ ที่เขามนสิการ อยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรมนสิการที่ปุถุชนไม่มนสิการอยู่ เป็นไฉน?
เมื่อปุถุชน นั้นมนสิการธรรมเหล่าใดอยู่
กามาสวะก็ดี ภวาสวะก็ดี อวิชชาสวะก็ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่ เกิดขึ้น
ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมสิ้นไป
ธรรมที่ควรมนสิการเหล่านี้ ที่เขาไม่มนสิการอยู่
อาสวะ ทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้น ย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเจริญแก่ปุถุชนนั้น
เพราะมนสิการธรรม ที่ไม่ควรมนสิการ และเพราะไม่มนสิการธรรมที่ควรมนสิการ
.....
https://etipitaka.com/read/thai/16/62/
๖. อวิชชาปัจจยสูตร ที่ ๒
...
[๑๔๓] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย " กายนี้ไม่ใช่ของเธอทั้งหลาย ทั้งไม่ใช่ของผู้อื่น "
ดูกรภิกษุทั้งหลาย...
" กรรมเก่านี้พึงเห็นว่า อันปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นด้วยความ ตั้งใจ เป็นที่ตั้งของเวทนา ฯ "
[๑๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย " อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในเรื่องกายนั้น "
ย่อมมนสิการโดยแยบคาย ซึ่งปฏิจจสมุปบาทเป็นอย่างดีว่า
" เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ "
ด้วยประการดังนี้ คือ เพราะอวิชชาเป็น ปัจจัย จึงมีสังขารเพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ฯลฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์
.....
https://etipitaka.com/read/thai/18/136/
นวปุราณวรรคที่ ๕ กรรมสูตร
[๒๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง
- " กรรมทั้งใหม่และเก่า "👈
- ความดับแห่งกรรม
- และ ปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม
ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมเก่าเป็นไฉน 👈
จักษุอันบัณฑิต พึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า 👈
อันปัจจัย ทั้งหลายปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา
หู ... จมูก ... ลิ้น ... กาย ... ใจอัน บัณฑิตพึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า 👈
อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา
ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เราเรียกว่า กรรมเก่า ฯ 👈
[๒๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมใหม่เป็นไฉน 👈
กรรมที่บุคคลทำด้วย กาย วาจา ใจ ในบัดนี้👈
นี้เราเรียกว่า กรรมใหม่ ฯ👈
============================================
หมายเลขที่-4:
https://etipitaka.com/read/thai/10/57/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้...
ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าว ไว้ว่า
" เพราะ วิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป "
ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณจักไม่หยั่งลง ในท้องแห่งมารดา
นามรูป จักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป นามรูปจักบังเกิด
เพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์วัยอยู่
จักขาดความ สืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม ฯ
ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า ฯ
" เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป ก็คือวิญญาณ นั่นเอง ฯ "
....
===========================================
หมายเลขที่-5:
https://etipitaka.com/read/thai/21/154/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สัญเจตนิยวรรคที่ ๓
[๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
" มื่อกายมีอยู่ " ----สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะกาย สัญเจตนา เป็นเหตุ
หรือ " เมื่อวาจามีอยู่ " ---สุขทุกข์ในภายในย่อมเกิดขึ้นเพราะวจีสัญเจตนา เป็น เหตุ
หรือ " เมื่อใจมีอยู่ " ------สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา เป็นเหตุ
อีกอย่างหนึ่ง " เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย "...........
" บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร "-------- อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วย ตนเองบ้าง
หรือ " บุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น " ---- อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายใน เกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
หรือ " บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร " -------อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายใน เกิดขึ้นบ้าง
หรือ " บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร" ------อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้น บ้าง
" บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร" -------อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้น--" ด้วยตนเองบ้าง"
หรือ " บุคคล อื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขารของบุคคลนั้น "-----อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง
หรือ " บุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร "-----อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่ รู้สึกตัว
-----ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
" บุคคลย่อมปรุงแต่ง มโนสังขาร " ------อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือ " บุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น "------อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง
หรือ " บุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร '-------อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
หรือ " บุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร "----อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
" ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้ว ในธรรมเหล่านี้...."
.....
....
https://etipitaka.com/read/thai/14/391/
๖. ฉฉักกสูตร (๑๔๘)
.....
[๘๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยจักษุและรูปเกิดจักษุวิญญาณ
ความประจวบ ของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ย่อมเกิดความเสวยอารมณ์ - เป็นสุขบ้าง - เป็นทุกข์บ้าง - มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง
- เขาอันสุขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมเพลิดเพลิน พูดถึง ดำรง อยู่ด้วยความติดใจ
" จึงมีราคานุสัยนอนเนื่องอยู่ " 👈
- อันทุกขเวทนาถูกต้องแล้ว ย่อมเศร้าโศก ลำ บาก ร่ำไห้ คร่ำครวญ ทุ่มอก ถึงความหลงพร้อม
" จึงมีปฏิฆานุสัยนอนเนื่องอยู่ "👈
- อันอทุกขมสุข เวทนา ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่ทราบชัดความตั้งขึ้น ความดับไป คุณโทษ
และที่สลัดออกแห่ง เวทนานั้น ตามความเป็นจริง
" จึงมีอวิชชานุสัยนอนเนื่องอยู่ "👈
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลนั้น
- ยังไม่ละราคานุสัยเพราะสุขเวทนา
- ยังไม่บรรเทาปฏิฆานุสัยเพราะทุกขเวทนา
- ยังไม่ถอนอวิชชา นุสัยเพราะอทุกขมสุขเวทนา
- ยังไม่ทำวิชชาให้เกิดเพราะไม่ละอวิชชาเสีย และจักเป็นผู้กระทำที่ สุดแห่งทุกข์ในปัจจุบันได้ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยโสตะและเสียง เกิดโสตวิญญาณ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยฆานะและกลิ่น เกิดฆานวิญญาณ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยชิวหาและรส เกิดชิวหาวิญญาณ ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลอาศัยกายและโผฏฐัพพะ เกิดกายวิญญาณ ...
......
......
===========================================
หมายเลขที่-6:
https://etipitaka.com/read/thai/16/63/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้๘. เจตนาสูตรที่ ๑ [๑๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
- ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด 👈👈👈👈👈--–-|
- สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัยเพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ👈👈👈--–-|----หมายถึง...มีตัณหา-อุปาทาน...ในชาติปัจจุบัน..
- เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมีเมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว👈👈ทำให่มีการหยั่งลงสู่ครรภ์...ในชาติใหม่
- ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี 👈👈👈👈👈--ภพใหม่--ชาติใหม่...แบบข้ามภพข้ามชาติ
- เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาส จึงมีต่อไป
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อม มีด้วยประการอย่างนี้
.........
สรุป
1. ปฏิจจสมุปปาท..ตลอดทั้งสาย.. เป็นการแสดงในลักษณะข้ามภพ-ข้ามชาติทั้งสิ้น..
ไม่มีหรอก...ภพในจิต..ชาติชรามรณะในจิต..<--อันนี้เป็นการตีความที่จะเหลี่ยงเลี่ยงคำถามเรื่องชีวิตหลักความตาย
ชาติก่อน-ชาติหน้า.. <--คือไม่รู้ว่าจะไปตอบเขาว่าอย่างไร...ก็เลยตอบไปอย่างนี้
ไปดูนิยามของคำว่า " ชาติเป็นไฉน? ชรามรณะเป็นไฉน? ซิ... มันจัดให้ลงแบบขณะจิตไม่ได้เลย
2. ปฏิจจสมุปปาทแบบ..ขณะจิต..นะมีอยู่ตอนเดียวตามหมายเลข-5...
คือผัสสะ..แล้วเกิดตัณหา-อุปาทาน..แล้วอนุสัยทั้ง3..ตามนอนบุคคลนั้น
3. การที่พระองค์กล่าวว่า
" [๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ ภว ตัณหาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี "...
สงสัยไหมว่าทำไมไม่กล่าวรวม..." กามตัณหา..และ..วิภวตัณหา "..? แต่กล่าวเพราะ " ภวตัณหา "...เท่านั้น
ตอบ...เพราะว่านั้นคือ " ก่อนชาติแรก... "...มันยังไม่มีผัสสะ...มันจะไปมีกามได้อย่างไร...
และ..เมื่อยังไม่มีผัสสะ..มันก็ยังไม่มีปฏิฆะ..มันจะไปมี...วิภวตัณหา..ได้อย่างไร
ต้องมีนามรูป..มีผัสสะก่อน..ตัณหาทั้ง 2 จึงจะมีตามมา
4. ทุกๆผัสสะ..ที่เกิดขึ้น..ถ้ามนสิการไม่แยบคาย..อาสวะ 3 ก็จะเกิดขึ้น..และอนุสัย3..ก็จะนอนตามบุคคลนั้น..
การมนสิการที่ไม่แยบคายหมายถึง...ปล่อยให้เกิด..ตัณหา.และ.อุปาทาน..ในผัสสะนั้นๆ
อุปาทานนี้หละ..จะไปก่อภพใหม่เมื่อมีการมรณะในชาตินี้
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า " เมื่ออุปาทานเป็นปัจจัย..ภพจึงมี "..<---หมายถึงตายไปก็ไปมีภพใหม่..ไปได้ชาติใหม่..
5. ทำไม?...ไม่มีใครสงสัยนะว่า " ก่อนอวิชชา..มันจะมีได้อย่างไร??? "
ก็ในเมื่อ..อวิชชา..คือ..การไม่รู้ในทุกข์-การไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์-การไม่รู้ในเหตุให้ทุกข์ดับ-การไม่รู้ในวิธิดับทุกข์
ตอนยังไม่มีอวิชชา.. หมายถึงรู้อริยสัจจ์..แล้วพออวิชชาปรากฏ..ก็กลับมาไม่รู้หรือไง??? <----ตอบว่าไม่ใช่
มันมีวิธีเดียวคือ..." ตอนยังไม่มีอวิชชา.. มันคือตอนที่ไม่มีทุกข์ "....มันไม่มีขันธ์๕..ไม่มีชาติชรามรณะ
ดังนั้น...จึงยังไม่มีอริยสัจจ์๔...ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า " ยังไม่มีอวิชชา "...
ผังปฏิจจสมุปปาทแบบข้ามภพข้าชาติ:...มันไม่มีหรอก👉ภพชาติชรามรณะ..ในจิต..อันนั้นนักปรัชญาเขาตีความ
หมายเลขที่-1: https://etipitaka.com/read/thai/24/103/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
========================================
หมายเลขที่-2: https://etipitaka.com/read/thai/24/105/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
=========================================
หมายเลขที่-3: https://etipitaka.com/read/thai/12/12/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
============================================
หมายเลขที่-4: https://etipitaka.com/read/thai/10/57/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
===========================================
หมายเลขที่-5: https://etipitaka.com/read/thai/21/154/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
===========================================
หมายเลขที่-6: https://etipitaka.com/read/thai/16/63/
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
สรุป
1. ปฏิจจสมุปปาท..ตลอดทั้งสาย.. เป็นการแสดงในลักษณะข้ามภพ-ข้ามชาติทั้งสิ้น..
ไม่มีหรอก...ภพในจิต..ชาติชรามรณะในจิต..<--อันนี้เป็นการตีความที่จะเหลี่ยงเลี่ยงคำถามเรื่องชีวิตหลักความตาย
ชาติก่อน-ชาติหน้า.. <--คือไม่รู้ว่าจะไปตอบเขาว่าอย่างไร...ก็เลยตอบไปอย่างนี้
ไปดูนิยามของคำว่า " ชาติเป็นไฉน? ชรามรณะเป็นไฉน? ซิ... มันจัดให้ลงแบบขณะจิตไม่ได้เลย
2. ปฏิจจสมุปปาทแบบ..ขณะจิต..นะมีอยู่ตอนเดียวตามหมายเลข-5...
คือผัสสะ..แล้วเกิดตัณหา-อุปาทาน..แล้วอนุสัยทั้ง3..ตามนอนบุคคลนั้น
3. การที่พระองค์กล่าวว่า
" [๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นแห่งภวตัณหา ย่อมไม่ปรากฏในกาลก่อนแต่นี้ ภว ตัณหาไม่มี แต่ภายหลังจึงมี "...
สงสัยไหมว่าทำไมไม่กล่าวรวม..." กามตัณหา..และ..วิภวตัณหา "..? แต่กล่าวเพราะ " ภวตัณหา "...เท่านั้น
ตอบ...เพราะว่านั้นคือ " ก่อนชาติแรก... "...มันยังไม่มีผัสสะ...มันจะไปมีกามได้อย่างไร...
และ..เมื่อยังไม่มีผัสสะ..มันก็ยังไม่มีปฏิฆะ..มันจะไปมี...วิภวตัณหา..ได้อย่างไร
ต้องมีนามรูป..มีผัสสะก่อน..ตัณหาทั้ง 2 จึงจะมีตามมา
4. ทุกๆผัสสะ..ที่เกิดขึ้น..ถ้ามนสิการไม่แยบคาย..อาสวะ 3 ก็จะเกิดขึ้น..และอนุสัย3..ก็จะนอนตามบุคคลนั้น..
การมนสิการที่ไม่แยบคายหมายถึง...ปล่อยให้เกิด..ตัณหา.และ.อุปาทาน..ในผัสสะนั้นๆ
อุปาทานนี้หละ..จะไปก่อภพใหม่เมื่อมีการมรณะในชาตินี้
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า " เมื่ออุปาทานเป็นปัจจัย..ภพจึงมี "..<---หมายถึงตายไปก็ไปมีภพใหม่..ไปได้ชาติใหม่..
5. ทำไม?...ไม่มีใครสงสัยนะว่า " ก่อนอวิชชา..มันจะมีได้อย่างไร??? "
ก็ในเมื่อ..อวิชชา..คือ..การไม่รู้ในทุกข์-การไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์-การไม่รู้ในเหตุให้ทุกข์ดับ-การไม่รู้ในวิธิดับทุกข์
ตอนยังไม่มีอวิชชา.. หมายถึงรู้อริยสัจจ์..แล้วพออวิชชาปรากฏ..ก็กลับมาไม่รู้หรือไง??? <----ตอบว่าไม่ใช่
มันมีวิธีเดียวคือ..." ตอนยังไม่มีอวิชชา.. มันคือตอนที่ไม่มีทุกข์ "....มันไม่มีขันธ์๕..ไม่มีชาติชรามรณะ
ดังนั้น...จึงยังไม่มีอริยสัจจ์๔...ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า " ยังไม่มีอวิชชา "...