..........ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติที่ไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุง มีอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิด ไม่เป็นอันปัจจัยกระทำไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว ก็ไม่พึง
ปรากฏ
...........ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่
...........เพราะฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จึงปรากฏได้ ฯ
แต่ปุถุชนไม่รู้ มองไม่เห็น เพราะอวิชชามันมาปิดบังเอาไว้ ส่วนบุคคลผู้ได้สดับย่อมมองเห็นนิพพานว่ามีอยู่
แล้วจึงเดินตามแนวทางเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ และเมื่อละได้โดยหมดจดแล้ว นั่นแหละจึงถือได้ว่า
เป็นผู้ถึงนิพพานอันเป็นอมตไม่เกิดอีกต่อไป
นิพพานไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ราคะ โทสะ โมหะ มันสิ้นไปของบุคคลเป็นคนๆไป
นิพพานเป็นสาธารณะ เพื่อรองรับแก่บุคคล ผู้ละกิเลสได้แล้วเท่านั้น
นิพพานมีเองอยู่แล้วอย่างเป็นอิสระ ไม่ได้มีอะไรทำให้นิพพานมี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิด ไม่เป็นอันปัจจัยกระทำไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง
จักไม่ได้มีแล้วไซร้ การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว ก็ไม่พึง
ปรากฏ
...........ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะธรรมชาติอันไม่เกิด ไม่เป็น อันปัจจัยกระทำไม่ได้ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง มีอยู่
...........เพราะฉะนั้น การสลัดออกซึ่งธรรมชาติที่เกิดแล้ว เป็นแล้ว อันปัจจัยกระทำแล้ว ปรุงแต่งแล้ว
จึงปรากฏได้ ฯ
แต่ปุถุชนไม่รู้ มองไม่เห็น เพราะอวิชชามันมาปิดบังเอาไว้ ส่วนบุคคลผู้ได้สดับย่อมมองเห็นนิพพานว่ามีอยู่
แล้วจึงเดินตามแนวทางเพื่อละราคะ โทสะ โมหะ และเมื่อละได้โดยหมดจดแล้ว นั่นแหละจึงถือได้ว่า
เป็นผู้ถึงนิพพานอันเป็นอมตไม่เกิดอีกต่อไป
นิพพานไม่ได้เกิดขึ้นเพราะ ราคะ โทสะ โมหะ มันสิ้นไปของบุคคลเป็นคนๆไป
นิพพานเป็นสาธารณะ เพื่อรองรับแก่บุคคล ผู้ละกิเลสได้แล้วเท่านั้น