ตามสมณพราหมณ์พวกนั้นหนา เว้นผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกต่อสุขและทุกข์นั้นได้ ดังนั้นหรือ?
(ตามที่สารีบุตรเมื่อตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้น,๒.:-
....
ดูก่อนอานนท์ ! สุขและทุกข์นั้น เรากล่าวว่า
เป็นเพียงสิ่งที่อาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น (เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม). สุขและทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ?
สุขและทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ
(เช่น นรกที่เร่าร้อนยิ่งกว่านรกไหนๆ คือการไม่เห็นปฏิจจสมุปปันนธรรม
หรือปัจจยาการไม่ให้พ้นไปจากทุกข?ได้เป็นต้น.)
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อกาย (กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) ก็ตามมีอยู่,
สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะกายสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางกาย) เป็นเหตุ.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อวาจา (วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) ก็ตามมีอยู่,
สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะวจีสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางวาจา) เป็นเหตุ.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อมโน (มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) ก็ตามมีอยู่,
สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางใจ) เป็นเหตุ.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร (อำนาจที่ทำให้เกิดการเป็นไปทางกาย ) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยอาศัยการกระตุ้นจากผู้อื่นบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยไม่รู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร (อำนาจที่เกิดการเป็นไปทางวาจา) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยอาศัยการกระตุ้นจากผู้อื่นบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยไม่รู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร (อำนาจที่เกิดการเป็นไปทางใจ) ซึ่งเป็นปัจจัยให้ สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยอาศัยการกระตุ้นจากผู้อื่นบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยไม่รู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! อวิชชา เป็นตัวการ ที่แทรกแซงแล้วในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น.
......
(เช่น ถูกปลูกฝัง.มาแล้วอย่างไรก็นึกคิดไปเป็นอย่างนั้น.(อวิชชาสัมผัส)
... ที่หมักหมมนอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตตั้งแต่จำความได้นั้นแหละ (อาสวะ....มีตัณหาเป็นมูล)
....ชื่อว่า วิชามาร...มืดมนอนธการ....อธรรม(ซาตาน.)
หลง...สำคัญผิดทาง. ..ฝ่ายชั่ว เป็นต้น.)
.......
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
กาย (กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
วาจา (วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา)นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
มโน (มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, สัญเจตนา ในฐานะที่เป็นเขต (ที่เกิดที่งอกแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่
เป็นวัตถุ (ที่ตั้งที่อาศัยแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่เป็นอายตนะ
(ปัจจัยโดยตรงแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่เป็นอธิกรณะ
(เครื่องมือกระทำให้เกิดสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, ดังนี้ แล.
(- นิทาน. สํ. ๑๖/๔๖/๘๒,),
หมายเหตุ:-
๒. ตรัสกับพระอานนท์ที่ได้เล่าเรื่อง พระสารีบุตรตอบคำถามของพระภูมิชะผู้มาถามว่า “มีสมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมอยู่สี่พวก : พวกหนึ่งพูดว่าสุขและทุกข์ตนทำเอาเอง, พวกหนึ่งว่าผู้อื่นทำให้, พวกหนึ่งว่าตนทำเองด้วยผู้อื่นทำให้ด้วย, อีกพวกหนึ่งว่าไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้; ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างไร ? และเมื่อจะกล่าว ควรกล่าวอย่างไร จึงจะตรงกับพุทธมติ ?” ดังนี้; ซึ่งพระสารีบุตรได้ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้พระอานนท์ฟังนี้. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสกับพระอานนท์ ดังนี้.
ว่าด้วย การเกิดขึ้นแห่งสังขาร...(3)
(ตามที่สารีบุตรเมื่อตอบปัญหาในลักษณะนั้นเช่นนั้น,๒.:-
....
ดูก่อนอานนท์ ! สุขและทุกข์นั้น เรากล่าวว่า
เป็นเพียงสิ่งที่อาศัยปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเกิดขึ้น (เรียกว่าปฏิจจสมุปปันนธรรม). สุขและทุกข์นั้นอาศัยปัจจัยอะไรเล่า ?
สุขและทุกข์นั้น อาศัยปัจจัยคือ ผัสสะ
(เช่น นรกที่เร่าร้อนยิ่งกว่านรกไหนๆ คือการไม่เห็นปฏิจจสมุปปันนธรรม
หรือปัจจยาการไม่ให้พ้นไปจากทุกข?ได้เป็นต้น.)
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อกาย (กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) ก็ตามมีอยู่,
สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะกายสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางกาย) เป็นเหตุ.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อวาจา (วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) ก็ตามมีอยู่,
สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะวจีสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางวาจา) เป็นเหตุ.
ดูก่อนอานนท์ ! เมื่อมโน (มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) ก็ตามมีอยู่,
สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา (ความจงใจที่เป็นไปทางใจ) เป็นเหตุ.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร (อำนาจที่ทำให้เกิดการเป็นไปทางกาย ) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยอาศัยการกระตุ้นจากผู้อื่นบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยไม่รู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร (อำนาจที่เกิดการเป็นไปทางวาจา) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยอาศัยการกระตุ้นจากผู้อื่นบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยไม่รู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร (อำนาจที่เกิดการเป็นไปทางใจ) ซึ่งเป็นปัจจัยให้ สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยตนเองบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยอาศัยการกระตุ้นจากผู้อื่นบ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิตย่อมปรุงแต่ง
ให้เกิดมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, โดยไม่รู้สึกตัวอยู่บ้าง;
ดูก่อนอานนท์ ! อวิชชา เป็นตัวการ ที่แทรกแซงแล้วในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น.
......
(เช่น ถูกปลูกฝัง.มาแล้วอย่างไรก็นึกคิดไปเป็นอย่างนั้น.(อวิชชาสัมผัส)
... ที่หมักหมมนอนเนื่องทับถมอยู่ในจิต ชุบย้อมจิตตั้งแต่จำความได้นั้นแหละ (อาสวะ....มีตัณหาเป็นมูล)
....ชื่อว่า วิชามาร...มืดมนอนธการ....อธรรม(ซาตาน.)
หลง...สำคัญผิดทาง. ..ฝ่ายชั่ว เป็นต้น.)
.......
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
กาย (กายทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
วาจา (วจีทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา)นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว,
มโน (มโนทวารที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ ! เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, สัญเจตนา ในฐานะที่เป็นเขต (ที่เกิดที่งอกแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่
เป็นวัตถุ (ที่ตั้งที่อาศัยแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่เป็นอายตนะ
(ปัจจัยโดยตรงแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ในฐานะที่เป็นอธิกรณะ
(เครื่องมือกระทำให้เกิดสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี, ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น, ดังนี้ แล.
(- นิทาน. สํ. ๑๖/๔๖/๘๒,),
หมายเหตุ:-
๒. ตรัสกับพระอานนท์ที่ได้เล่าเรื่อง พระสารีบุตรตอบคำถามของพระภูมิชะผู้มาถามว่า “มีสมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมอยู่สี่พวก : พวกหนึ่งพูดว่าสุขและทุกข์ตนทำเอาเอง, พวกหนึ่งว่าผู้อื่นทำให้, พวกหนึ่งว่าตนทำเองด้วยผู้อื่นทำให้ด้วย, อีกพวกหนึ่งว่าไม่ใช่ทำเองหรือใครทำให้ก็เกิดขึ้นได้; ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างไร ? และเมื่อจะกล่าว ควรกล่าวอย่างไร จึงจะตรงกับพุทธมติ ?” ดังนี้; ซึ่งพระสารีบุตรได้ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้พระอานนท์ฟังนี้. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสกับพระอานนท์ ดังนี้.