สวัสดีค่ะ วันนี้มีใครจะมาอาสาอธิบายความหมายของ สังขารทั้งหลาย ว่ามีขอบเขตแค่ไหน มีความหมายถึงอะไร บ้างค่ะ
ขอให้อิงจาก รายละเอียดของสังขาร ทั้ง 5 นัย เป็นหลักนะคะ ขอบคุณค่ะ
1.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดของสังขาร (นัยที่ ๑)
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไร ?
สังขารทั้งหลาย ๓ อย่างเหล่านี้ คือ
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร นี้เราเรียกว่า สังขารทั้งหลาย
ความเกิด แห่ง สังขาร ย่อมมี เพราะ ความเกิด แห่ง อวิชชา
ความดับ แห่ง สังขาร ย่อมมี เพราะ ความดับ แห่ง อวิชชา
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็น ข้อปฏิบัติ ให้ถึง ความดับไม่เหลือแห่งสังขาร
ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
บาลี นิทาน. สํ ๑๖/๕๑/๘๙.
2.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดของสังขาร (นัยที่ ๒)
อาวุโสวิสาขะ !
ลมหายใจเข้า และ ลมหายใจออก เป็น กายสังขาร
วิตกวิจาร เป็น วจีสังขาร
สัญญา และ เวทนา เป็น จิตตสังขาร
เพราะเหตุไร สิ่งนี้จึงเป็น กายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร
อาวุโสวิสาขะ !
ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก นี้เป็น ธรรมมีในกาย เนื่องด้วยกาย
ดังนั้น ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ย่อมเป็นกายสังขาร
บุคคลย่อม คิด ย่อมพิจารณา ก่อนแล้วจึงเปล่งวาจา
ดังนั้น วิตกวิจาร ย่อมเป็นวจีสังขาร
สัญญาและเวทนา เป็น ธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต
ดังนั้น สัญญาและเวทนา ย่อมเป็นจิตสังขาร
บาลี มู ม. ๑๒/๕๕๐/๕๐๙.
3.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดของสังขาร (นัยที่ ๓)
ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคล ๓ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๓ จำพวกเป็นอย่างไร ?
(๑) ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมปรุงแต่งกายสังขารที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
ครั้นเขาทำความปรุงแต่งอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน
ผัสสะที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน ย่อมถูกต้องเขา ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน
เขาอันผัสสะที่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันมีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว ดังเช่นพวกสัตว์นรก
(๒) ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในโลกนี้
ย่อมปรุงแต่งกายสังขารที่ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารที่ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารที่ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
ครั้นเขาทำความปรุงแต่งอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่ไม่มีความเบียดเบียน
ผัสสะที่เป็นไปกับด้วยความไม่เบียดเบียน ย่อมถูกต้องเขา ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงโลกที่ไม่มีความเบียดเบียน
เขาอันผัสสะที่ไม่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาอันไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียน
อันเป็นสุขโดยส่วนเดียว ดังเช่นพวก เทพสุภกิณหา
(๓) ภิกษุทั้งหลาย !
บุคคลบางคนในกรณีนี้
ย่อมปรุงแต่งกายสังขารที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ครั้งเขาทำความปรุงแต่งอย่างนี้แล้ว ย่อมเข้าถึงโลกเป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง
ผัสสะที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ย่อมถูกต้องเขา
ซึ่งเป็นผู้เข้าถึงโลกที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง
เขาอันผัสสะที่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง ถูกต้องแล้ว
ย่อมได้เสวยเวทนาอันเป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนเบ้าง ไม่เป็นไปกับด้วยความเบียดเบียนบ้าง
อันเป็นสุขและทุกข์เจือกัน ดังเช่น พวกมนุษย์ พวกเทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก
ถิกษุทั้งหลาย !
บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
บาลี ติก. อํ. ๒๐/๑๕๓/๔๖๒.
4.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดของสังขาร (นัยที่ ๔)
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ สังขารทั้งหลาย เป็นอย่างไร
ภิกษุทั้งหลาย !
หมู่แห่งเจตนา ๖ เหล่านี้ คือ สัญเจตนาในรูป สัญเจตนาในเสียง สัญเจตนาในกลิ่น สัญเจตนาในรส สัญเจตนาในโผฏฐัพพะ สัญเจตนาในธรรม
ถิกษุทั้งหลาย !
นี้เรียกว่า สังขารทั้งหลาย
ความเกิด แห่ง สังขาร ย่อมมี เพราะความเกิด แห่ง ผัสสะ
ความดับ แห่ง สังขาร ย่อมมี เพราะความดับ แห่ง ผัสสะ
อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้นั่นเอง เป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขาร
คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็สมณะเหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ชัดแล้วซึ่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความเกิดขึ้นแห่งสังขารอย่างนี้
รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขารอย่างนี้
สมณะพราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติดีแล้ว ชนเหล่าใดปฏิบัติดีแล้ว ชนเหล่านั้นชื่อว่าย่อมหยั่งลงในธรรมวินัยนี้
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้ชัดแล้วซึ่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งความเกิดขึ้นแห่งสังขารอย่างนี้
รู้ชัดแล้วซึ่งความดับแห่งสังขารอย่างนี้ รู้ชัดแล้วซึ่งข้อปฏิบัติให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสังขารอย่างนี้
แล้วเป็นผู้หลุดพ้น เพราะเบื่อยหน่าย เพราะคลายกำหนัด เพราะความดับ เพราะไม่ถือมั่นในสังขาร
สมณะพราหมณ์เหล่านั้นชื่อว่าหลุดพ้นดีแล้ว สมณพราหมณ์เหล่าใดหลุดพ้นดีแล้ว
สมณพราหมณ์เหล่านั้นเป็นเกพลี สมณพราหมณ์เหล่าใดเป็นเกพลี วัฏฏะย่อมไม่มีแก่สมณะพราหมณ์เหล่านั้น
บาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๗๔/๑๑๖.
5.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้รายละเอียดของสังขาร (นัยที่ ๕)
สาธุ สาธุ อานนท์ ตามที่สารีบุตรตอบปัญหาในลักษณะนั้น ชื่อว่าได้ตอบโดยชอบ
อานนท์ !
เรากล่าวว่า สุขและทุกข์เป็นของอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น สุขและทุกข์อาศัยปัจจัยอะไรเกิดขึ้น
สุขและทุกข์อาศัยปัจจัย คือ ผัสสะ เกิดขึ้น
บุคคลผู้กล่าวอย่างนี้ จึงจะชื่อว่าเป็นอันกล่าวตามที่เรากล่าวแล้ว
ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง เป็นผู้พยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม
และสหธรรมมิกบางคนที่กล่าวตาม ก็จะไม่พลอยกลายเป็นผู้ควรถูกติไปด้วย
อานนท์ !
ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมทั้ง ๔ พวกนั้น
สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติสุขและทุกข์ว่าตนเองทำ สุขและทุกข์นั้นย่อมบังเกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
สมณพราหมณ์เหล่าใดที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติสุขและทุกข์ว่าผู้อื่นทำให้ สุขและทุกข์นั้นก็ย่อมบังเกิดขึ้นเพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย
สมณพราหมณ์เหล่าใดที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติว่าสุขและทุกข์ ตนเองทำด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย สุขและทุกข์นั้นย่อมเกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
สมณพราหมณ์เหล่าใดที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติสุขและทุกข์ว่าไม่ใช่ตนเองทำด้วย ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้ด้วย สุขและทุกข์นั้นย่อมบังเกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
อานนท์ !
ในบรรดาสมณพราหมณ์ ที่กล่าวสอนเรื่องกรรม ทั้ง ๔ พวกนั้น
สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติสุข ทุกข์ ว่าตนเองทำ ถ้าเว้นจากผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกถึงสุขและทุกข์นั้น ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติสุข ทุกข์ ว่าผู้อื่นทำให้ ถ้าเว้นจากผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกถึงสุขและทุกข์นั้น ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใด ที่
บัญญัติสุขและทุกข์ว่าตนเองทำด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย ถ้าเว้นจากผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกถึงสุขและทุกข์นั้น ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
สมณพราหมณ์ที่กล่าวสอนเรื่องกรรมพวกใดที่
บัญญัติสุขและทุกข์ว่าไม่ใช่ตนเองทำด้วย ไม่ใช่ผู้อื่นทำให้ด้วย ถ้าเว้นจากผัสสะเสียแล้ว จะรู้สึกถึงสุขและทุกข์นั้น ย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้
อานนท์ !
เมื่อกายมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น
เพราะความจงใจทางกาย (กายสัญเจตนา) เป็นเหตุ
อานนท์ !
เมื่อวาจามีอยู่ สุขและทุกข์ อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น
เพราะ ความจงใจทางวาจา (วาจาสัญเจตนา) เป็นเหตุ
อานนทฺ์ !
เมื่อมโนมีอยู่ สุขและทุกข์ อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น
เพราะ ความจงใจทางมโน (มโนสัญเจตนา) เป็นเหตุ
อานนท์ !
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคล...
ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยผู้อื่นบ้าง
ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยรู้สึกตัวบ้าง
ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวบ้าง
อานนท์ !
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคล...
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยผู้อื่นบ้าง
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยรู้สึกตัวบ้าง
ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวบ้าง
อานนท์ !
เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคล...
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยผู้อื่นบ้าง
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยรู้สึกตัวบ้าง
ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นโดยไม่รู้สึกตัวบ้าง
อานนท์ !
อวิชชาแทรกอยู่แล้วในธรรมเหล่านี้
อานนท์ !
เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว
กาย ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
วาจา ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
มโน ซึ่งเป้นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
เขต (ผืนนาสำหรับงอก) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
วัตถุ (พืชเพื่อการงอก) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
อายตนะ (การสัมพันธ์เพื่อให้เกิดการงอก) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี หรือ
อธิการณ์ (เครื่องกระทำให้เกิดการงอก) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หนังสือพุทธวจน ฉบับที่ ๑๗ จิต มโน วิญญาณ หน้า ๓๗ ถึง ๔๘
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1828856&chapter=5
คำสอนเรื่อง "สังขารทั้งหลาย" จากพระโอษฐ์
ขอให้อิงจาก รายละเอียดของสังขาร ทั้ง 5 นัย เป็นหลักนะคะ ขอบคุณค่ะ
1. [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2. [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
5. [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอขอบคุณแหล่งที่มา : หนังสือพุทธวจน ฉบับที่ ๑๗ จิต มโน วิญญาณ หน้า ๓๗ ถึง ๔๘
https://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=1828856&chapter=5