"จะต้องพูดเรื่อง...
"ปัจจัตตัง" และ"ฐีติจิต" อีกครั้งหนึ่ง
"ปัจจัตตัง" เป็นอย่างไร
"ฐีติจิต" เป็นอย่างไร
"ปัจจัตตัง" คือรู้เอง เห็นเอง
ส่วน "ฐีติจิต" คือ"จิตดั้งเดิม" ท่านเปรียบว่า "อัปปนาสมาธิ" "อัปปนาจิต" และ"ฐีติจิต"
ต่างอยู่ในฐานเดียวกัน แต่มีชื่อต่างกัน
"อัปปนาสมาธิ" เป็นจิตที่แน่วแน่ ลงไปจนถึง "จิตเดิม"
"อัปปนาจิต"ก็เหมือนกัน "ฐีติจิต"ก็เหมือนกัน
"ฐีติจิต" เป็นจิตที่ว่าง...
ไม่มี...อารมณ์ เป็น"จิตเดิม"
เป็นจิตที่ท่านเรียกว่า..."ประภัสสร"
แจ้งสว่าง จะอธิบายให้ฟัง
ถ้าผู้เข้าไม่ถึง ไม่เห็น ผู้เข้าถึงเห็น
ใครจะพูดอย่างไร ก็ช่าง ไม่สนใจ
เพราะรู้อยู่แล้ว...เป็นปัจจัตตัง
"อัปปนาสมาธิ" นี้...
จิตนั้น...ไม่มีเศร้า ไม่มีหมอง ไม่มีมืด ไม่มีมัว
เหมือน "พระอาทิตย์" ท่านส่องสว่างอยู่...
แต่ที่พระอาทิตย์จะมืด จะมัวเศร้าหมอง
เพราะขี้เมฆ เข้ามาบดบังพระอาทิตย์
ไม่ใช่ พระอาทิตย์เลื่อนเข้าไปหาขี้เมฆ
นี่ท่านเปรียบไว้ นัยหนึ่ง
ธรรมชาติของจิต มันเป็น...ของใสบริสุทธิ์ หากแต่มีกิเลส
เข้ามาหมักหมมบดบัง จึงได้ฝ้าฟางไป
ถ้าใช้สติปัญญา ชำระให้ดี ๆ แล้ว...
มันก็จะลงสู่...สภาพบริสุทธิ์ อีกนัยหนึ่ง
ท่านเปรียบขี้เมฆ นั่นแหละ
เรื่องฐีติจิต นี้...
ถ้าขาดสติปัญญาแล้ว...ถอนขึ้นมา
ไม่มีสติปัญญานะ เมื่อขาดสติปัญญา
พลั้งเผลอถอนขึ้นมาปล่อยถอนขึ้นมาเฉย ๆ ประสบอารมณ์อะไร เป็นกิเลสไปเลย
นี่มันจะหยุดไม่ได้ มันเผลอสติของเราไม่ดี
ท่านว่า จิต...
เป็นของพิสดารมากมาย แต่ว่าถ้า"ฐีติจิต"
ตัวนี้ ได้รับการอบรม ด้วยสติปัญญา
ดีแน่ชัดแล้ว ก็ลงสู่...สภาพเดิมอันใสบริสุทธิ์."
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ
ความหมายของปัจจัตตังและฐีติจิตของพระวัดป่า
"ปัจจัตตัง" และ"ฐีติจิต" อีกครั้งหนึ่ง
"ปัจจัตตัง" เป็นอย่างไร
"ฐีติจิต" เป็นอย่างไร
"ปัจจัตตัง" คือรู้เอง เห็นเอง
ส่วน "ฐีติจิต" คือ"จิตดั้งเดิม" ท่านเปรียบว่า "อัปปนาสมาธิ" "อัปปนาจิต" และ"ฐีติจิต"
ต่างอยู่ในฐานเดียวกัน แต่มีชื่อต่างกัน
"อัปปนาสมาธิ" เป็นจิตที่แน่วแน่ ลงไปจนถึง "จิตเดิม"
"อัปปนาจิต"ก็เหมือนกัน "ฐีติจิต"ก็เหมือนกัน
"ฐีติจิต" เป็นจิตที่ว่าง...
ไม่มี...อารมณ์ เป็น"จิตเดิม"
เป็นจิตที่ท่านเรียกว่า..."ประภัสสร"
แจ้งสว่าง จะอธิบายให้ฟัง
ถ้าผู้เข้าไม่ถึง ไม่เห็น ผู้เข้าถึงเห็น
ใครจะพูดอย่างไร ก็ช่าง ไม่สนใจ
เพราะรู้อยู่แล้ว...เป็นปัจจัตตัง
"อัปปนาสมาธิ" นี้...
จิตนั้น...ไม่มีเศร้า ไม่มีหมอง ไม่มีมืด ไม่มีมัว
เหมือน "พระอาทิตย์" ท่านส่องสว่างอยู่...
แต่ที่พระอาทิตย์จะมืด จะมัวเศร้าหมอง
เพราะขี้เมฆ เข้ามาบดบังพระอาทิตย์
ไม่ใช่ พระอาทิตย์เลื่อนเข้าไปหาขี้เมฆ
นี่ท่านเปรียบไว้ นัยหนึ่ง
ธรรมชาติของจิต มันเป็น...ของใสบริสุทธิ์ หากแต่มีกิเลส
เข้ามาหมักหมมบดบัง จึงได้ฝ้าฟางไป
ถ้าใช้สติปัญญา ชำระให้ดี ๆ แล้ว...
มันก็จะลงสู่...สภาพบริสุทธิ์ อีกนัยหนึ่ง
ท่านเปรียบขี้เมฆ นั่นแหละ
เรื่องฐีติจิต นี้...
ถ้าขาดสติปัญญาแล้ว...ถอนขึ้นมา
ไม่มีสติปัญญานะ เมื่อขาดสติปัญญา
พลั้งเผลอถอนขึ้นมาปล่อยถอนขึ้นมาเฉย ๆ ประสบอารมณ์อะไร เป็นกิเลสไปเลย
นี่มันจะหยุดไม่ได้ มันเผลอสติของเราไม่ดี
ท่านว่า จิต...
เป็นของพิสดารมากมาย แต่ว่าถ้า"ฐีติจิต"
ตัวนี้ ได้รับการอบรม ด้วยสติปัญญา
ดีแน่ชัดแล้ว ก็ลงสู่...สภาพเดิมอันใสบริสุทธิ์."
หลวงปู่จวน กุลเชฏโฐ