วิปัสสนาภูมิ - ป อ ปยุตฺโต (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)

เห็นมีหลายคนบอกว่า ฝึกสมถะ แล้วเอาไปต่อยอดวิปัสสนา
ได้ยินมานานมากแล้ว ก็ไม่รู้ว่าเขาจะต่อยอด ติดตา เหมือนกับปลูกต้นไม้หรือเปล่า
ขอให้ศึกษาธรรมให้ถูกๆ และอย่าไปหลงทางจากคำเขาว่ากันให้เสียเวลาเลยครับ

เชิญ ฟังวิปัสสนาภูมิ แล้วนำไปปฏิบัติตามกำลังของตนให้ดีเถิด.....

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ข้อความถอดเทป

            แต่ทีนี้ ในเชิงปฏิบัตินี่ เพื่อจะให้ผู้ปฏิบัติเนี่ย ได้เห็นอะไรต่ออะไรจะแจ้งชัดเจนขึ้น มีขั้นมีตอน มีแนวมีทางอะไรในการปฏิบัติ ท่านก็เลยขยายเรื่องนามรูปไป ในเรื่องนามรูปนี่ มันก็เป็นเรื่องที่เราจะมาพิจารณาใช้ปัญญา มองเห็นในลักษณะอาการต่างๆ เห็นความจริง มันเป็นตัวที่จะชักโยงสื่อให้เข้าใจถึงความจริงเป็นขั้นเป็นตอน เป็นลักษณะเป็นอาการอะไรต่างๆ นี้ ก็เลยเอารูปธรรมนามธรรมนี้มาจัดเข้าในลักษณะอาการต่างๆ ที่มันจะเป็นพื้นฐานที่เหมาะแก่การที่จะใช้ปัญญาพิจารณา
            มันก็เลยกลายเป็นเรื่องจัดหมวดหมู่ธรรมะขึ้นมา มันก็จะทำให้ง่ายชัดเจนขึ้น แต่มันกลายเป็นว่าบางทีเราจำยากในเบื้องต้น คือจะให้ง่ายมันกลายเป็นยาก เพราะว่าเราต้องมารู้จักชื่อสิ่งเหล่านี้ เพราะว่าชื่อเหล่านี้มันเป็นภาษาเหมือนกับภาษาวิชาการ เป็นภาษาธรรมะไปแล้ว เราไม่คุ้นกับชื่อเหล่านี้ ก็เลยกลายเป็นว่า เรามีภาระเพิ่มขึ้นที่จะต้องเรียน แต่ที่จริงนั้น ท่านต้องการให้เราง่ายขึ้น เราจะได้เห็นอะไรชัดขึ้น เป็นรูปธรรมนามธรรมนี่ บอกงี้ เราก็รู้เห็นแล้วแหละว่า อ๋อ ไม่มีอะไร พิจารณารูปธรรมนามธรรม แต่เสร็จแล้ว อ๋อ แค่นั้นต่อจากนั้น ก็มืดเลย ไม่รู้จะเอายังไง
            เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่ว่าหยุดแค่รู้รูปธรรมนามธรรม ก็ต้องเห็นว่า รูปธรรมนามธรรมที่จะมาเรียนกันนั้น เอ้อ มันมีอาการมีลักษณะปรากฏอย่างไง จะเรียนกันแบบไหน นี่แหละคือ เรื่องที่ว่าจะทำให้ซับซ้อนขึ้น ศัพท์แสงก็มาละ นี้ท่านก็เลยบอกว่ารูปธรรมนามธรรม หรือรูปนามที่ว่าเนี้ย ที่จะมาเป็นอารมณ์ของวิปัสสนานี่เป็นพื้นฐาน เป็นพื้นเพ เรียกว่าเป็นภูมิของวิปัสสนา ที่เรียกภาษาศัพท์ธรรมะ เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ
            วิปัสสนาภูมิก็คือ เรื่องรูปธรรมนามธรรมนั้นแหละ มาจัดมาอะไรต่ออะไร เข้าเป็นหมวดเป็นหมู่เป็นชั้นเป็นเชิงเป็นลักษณะเป็นอาการที่จะให้เราเข้าใจถึงความจริงได้ง่าย มาส่อแสดงความจริงในรูปแบบลักษณะต่างๆ อาการต่างๆ เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ
            ก็เป็นหมวดธรรมต่างๆ เป็น 6 หมวด ก็เป็นว่า วิปัสสนาภูมินี่มี 6 ประเภทด้วยกัน ตอนนี้ก็กลายเป็นว่า ถ้าตอบอีกแบบหนึ่งก็บอกว่า อารมณ์ของวิปัสสนา หรือกรรมฐานวิปัสสนานั้นคืออะไร แทนที่จะตอบว่ารูปนามที่เป็นปัจจุบัน ตอบใหม่ ตอบแบบว่า จัดเป็นหมวดเป็นหมู่แล้ว ตอนนี้ตอบว่า ได้แก่ วิปัสสนาภูมิ 6 หมวด อ้าวนี่เป็นวิธีตอบอีกแบบ ที่จริงๆ อันเดียวกัน ทีนี้เป็นวิปัสสนาภูมิ 6 หมวดมีอะไรบ้าง ทีนี้ก็ต้องมาจำแนกกันละ 
            อาตมาจะให้หัวข้อก่อนล่ะ วิปัสสนาภูมิหมวดที่ 1 เรียกว่า ขันธ์ 5 นี่เป็นภูมิของวิปัสสนา เราจะใช้ภูมิแบบภาษาไทยก็ยังได้ มันก็เป็นภูมิรู้ของวิปัสสนา คนที่จะทำวิปัสสนานี้มีภูมิเรื่องวิปัสสนาก่อนนะ ภูมิของวิปัสสนาที่ 1 ก็คือ ขันธ์ 5 ต่อไป ที่ 2 ก็คือ อายตนะ อายตนะ 12 อายนะที่เป็นช่องทางรับรู้ของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พร้อมทั้งสิ่งที่มันรับรู้ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกาย และก็สิ่งที่คิดในใจ แล้วต่อไปอะไร หมวดที่ 3 วิปัสสนาภูมิ ก็ได้แก่ ธาตุ 18
            ยังไม่ได้บอกว่า ธาตุ 18 คืออะไร เดี่ยวค่อยย้อนมาพูดอีกที ต่อไป หมวดที่ 4 ได้แก่อินทรีย์ 22 ก็ยังไม่บอกล่ะ ผ่านไปก่อน ต่อไปหมวดที่ 5 วิปัสสนาภูมิได้แก่ อริยสัจ 4 แล้วก็หมวดที่ 6 สุดท้าย วิปัสสนาภูมิ ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท เอาล่ะนี่ นี่คือ อารมณ์ของวิปัสสนา ที่เรียกว่า วิปัสสนาภูมิ
            จะเห็นว่า ต่างกันลิบลับกับเรื่องกรรมฐานของสมถะที่ผ่านมาแล้ว สมถะนั้นไปแบบหนึ่งเลย นี่มาวิปัสสนาไปอีกแบบหนึ่งเลย ชื่อไม่มีซ้ำกันเลย ทีนี้ก็จะขอขยายความเรื่องวิปัสสนาภูมินิดหน่อย ก็เริ่มตั้งแต่ขันธ์ 5 ขันธ์ 5 ที่จริงก็ควรจะมีพื้นฐานมาบ้างแล้ว ขันธ์ 5 ขันธ์นั้น แปลว่า กอง หรือแปลว่า หมวดหมู่ หรือว่าพูดไทย ก็อาจจะว่า ประเภท นั่นเอง คือในทางธรรมะนั้น ถือว่า ชีวิตของคนเราเนี่ยเกิดขึ้นจากการประชุมกัน หรือมารวมกันเข้าขององค์ประกอบต่างๆ
            ทีนี้ องค์ประกอบที่มารวมกันเข้าเป็นชีวิตนี้มีมากมาย ท่านก็บอกว่าถ้าแยกอย่างง่ายๆ มันก็เป็นรูปธรรมนามธรรม แต่นี้ว่าเราจะแยกให้มันเห็นความจริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้นมันเป็นประโยชน์ในเชิงปฏิบัติมากขึ้น ก็ให้แยกกระจายให้ชัดออกไป ท่านก็จัดองค์ประกอบเหล่านั้นเป็นหมวดเป็นหมู่ได้ 5 กลุ่มด้วยกัน หรือ 5 กอง 5 ประเภท
            หมายความว่าชีวิตของเราแยกแยะกระจายออกไปเป็นองค์ประกอบต่างๆ มากมาย จัดเข้าเป็นหมวดหมู่เป็นประเภทได้ 5 หมู่ 5 ประเภทด้วยกัน คือ
            1. เรียกว่า รูป หรือ รูปขันธ์ เอาคำว่า ขันธ์ ไปต่อเข้าทุกอัน ก็ รูป ก็เป็น รูปขันธ์ ก็คือ กองรูป หรือ ประเภทที่เป็นรูป ก็รูปธรรมทั้งหลาย ถ้าแยกแบบภาษาเก่า เอาง่ายๆ ก็คือ ธาตุ 4 นอกจากธาตุ 4 แล้ว ก็ยังกระจายไปอีก บอกว่าธาตุ 4 นี้เป็นธาตุหลัก เป็นรูปหลัก นอกจากรูปหลักแล้ว ก็มีรูปย่อยๆ ออกไปที่อาศัยรูปหลักเนี่ยปรากฏตัวขึ้นไป รูปที่อาศัยอิงอยู่กับรูปหลักเหล่านี้มีอีก 24 ประเภท เรียกว่า อุปาทายรูป 24 รูปหลักนั้นเขาเรียกว่า มหาภูตรูป ก็เป็นรูป 28 ซึ่งในที่นี้ เราไม่จำเป็นต้องเรียน เอาเป็นว่าในส่วนร่างกาย รูปธรรมในชีวิตของเราทั้งหมดนี้ เรียกว่า รูปขันธ์ ก็แล้วกัน มันจะแยกไปเท่า ไรก็ชั่ง ทีนี้ ต่อไป
            ขันธ์ที่ 2. หรือหมวดที่ 2 ก็คือ เวทนา เวทนาขันธ์ ก็คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ คือ ความรู้สึก เวลาเราได้รับรู้อะไรต่างๆ เราจะมีความรู้สึกว่า สบาย ไม่สบาย หรือสุข หรือทุกข์ หรือเฉยๆ ไม่สุข ไม่ทุกข์ นี้ก็จัดเป็นประเภทหนึ่ง เรียกว่า เวทนา ต่อไป 
            ต่อไปก็คือประเภทข้อมูลของความรู้ ก็คือ สิ่งที่เราจำหมายไว้ หรือการรวมทั้งการกำหนดหมาย การจำหมายสิ่งต่างๆ เช่นว่า เมื่อเราเห็น ได้ยินสิ่งต่างๆ เราจะมีการกำหนดหมาย จำไว้ว่า อันนี้ เขียว ขาว นี้ดำ นี้แดง นี้เสียงทุ้ม เสียงแหลม เสียงคน เสียงสัตว์ นี้คนผู้ชาย คนผู้หญิง นั้นคนสูง คนเตี้ย นายดำ นายเขียว นายขาว อะไรต่างๆ นี้ อันนี้ก็คือ เป็นสิ่งที่จำหมายไว้ กำหนดหมายไว้เป็นข้อมูลของความรู้ ต่อไป อันนี้เรียกว่า สัญญาขันธ์ ที่เป็น จำหมาย บางทีก็เรียกกันว่า จำได้หมายรู้
            ต่อไปก็คือ ความคิด กระบวนการความคิดปรุงแต่งทั้งหลาย ความคิดปรุงแต่ง พร้อมทั้งคุณสมบัติของจิตใจที่มาปรุงแต่งความคิด เอ้า เช่นว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอิจฉา ริษยา ความมีศรัทธา ความมีเมตตากรุณา อะไรต่างๆ คือ ทั้งดีทั้งชั่ว คุณสมบัติที่มีอยู่ในจิตใจ ซึ่งปรุงแต่งจิตให้ดีให้ชั่วมารวมตัวกันเข้าเป็นกระบวนการความคิดมีเจตนาเป็นตัวนำ เจตนานี้เป็นตัวนำในกระบวนการความคิด จะคิดอย่างไรก็แล้ว แต่เจตนาจะพุ่งจะนำไป เป็นประธานของคุณสมบัติเหล่านั้น หมายความว่า มีเจตนาอย่างไรก็นำเอาคุณสมบัติต่างๆ ที่มีอยู่นั้นมาปรุงมาแต่งบนความคิดขึ้น หมวดนี้เรียกว่า สังขารขันธ์ คือ ประชุมแห่งการปรุงแต่ง หรือ กระบวนความคิด พร้อมทั้งคุณสมบัติที่ปรุงแต่งความคิดนั้น หรือปรุงแต่งจิตใจนั้น ความดี ความชั่วอยู่ในหมวดนี้หมด การทำกรรมอะไรต่างๆ อยู่ในหมวดนี้หมด สังขารขันธ์ ต่อไป
            หมวดสุดท้ายก็คือ ตัวความรับรู้ ตัวความรับรู้โดยตรง เวลาเราจะรู้นี่รู้ยังไง มันก็ต้องรู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็ทางใจของเรา ไอ้การรู้ที่เกิดขึ้นทางตา ทางหู นั่นแหละเรียกว่า วิญญาณ ถ้าเกิดทางตา ก็เรียกว่าวิญญาณทางตา คือ การเห็น ถ้าเกิดทางหู ก็เรียกว่า การรู้ทางหู ได้แก่ การได้ยิน ถ้าเกิดการรับรู้ทางจมูก ก็เป็นรู้กลิ่น ได้กลิ่น จนกระทั่งถึง คิดในใจ การรู้อารมณ์ รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในใจเรียกว่า การคิด หรือการรับรู้ในใจ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ คือการรู้ที่เข้ามาทางช่องทางต่างๆ เอาล่ะ ก็เป็น วิญญาณขันธ์ เป็นหมวดที่ 5
            ตกลงว่าชีวิตของเรานี่ จัดองค์ประกอบต่างๆ เป็นหมวดหมู่เข้ากันได้ 5 ประการ ได้ 5 หมวดด้วยกัน เป็นขันธ์ 5
            รูปขันธ์ หมวดรูปธรรม ร่างกาย แล้วก็
            เวทนาขันธ์ หมวดความรู้สึกสุข ทุกข์ สบาย ไม่สบาย เฉยๆ
            สัญญาขันธ์ หมวดความจำได้หมายรู้ข้ อมูลของความคิด แล้วก็
            สังขารขันธ์ หมวดของความคิดกระบวนการความคิดพร้อมทั้งเครื่องปรุงแต่ง คือคุณสมบัติต่างๆ ที่ดี ชั่ว
            แล้วก็ วิญญาณขันธ์ หมวดของความรู้ที่เข้ามาทางช่องทางต่างๆ ที่เป็นเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส เป็นต้น จนกระทั่งรู้ทางใจ นี่แหละชีวิตของคนเราก็ประกอบด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ การเรียนรู้เรื่องขันธ์ 5 นี้เป็นสำคัญมาก เพราะว่า เราจะเข้าใจชีวิตของเรา แม้แต่เพียงแค่เรียนขันธ์ 5 นี้ก็ มันทำให้มีความจะแจ้งในชีวิตขึ้นมาก
            อาตมาจะเน้นสักนิดหนึ่ง ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างขันธ์ 5 เหล่านี้ ในหมวดรูปขันธ์ ร่างกายของเรามีความจำเป็น ถ้าชีวิตเราไม่มีรูปขันธ์ เราก็อยู่ไม่ได้ แล้วนามขันธ์ ขออภัย คืออีก 4 ขันธ์ที่เหลือ 4 ขันธ์ที่เหลือนี่เราเรียกรวมเป็นพวกเดียวว่าเป็นนามขันธ์ เพราะว่าเป็นนามธรรมทั้งหมด เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
            นามขันธ์ทั้ง 4 ที่เหลือนั้นต้องอาศัยรูปขันธ์ ต้องอาศัยร่างกาย ถ้าไม่มีร่างกาย มันก็ทำงานไม่ได้ เพราะ ว่า ก็วิญญาณขันธ์นี่เป็นการรู้ทางช่องทางที่รับรู้ รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ถ้าเราไม่มีร่างกาย ไม่มีตา ไม่มีหู เราก็วิญญาณก็ไม่มีที่อาศัย แล้วการรับรู้ การเห็น การได้ยินก็เกิดไม่ได้ นี้พอมีการรู้ การเห็น การได้ยินแล้ว ความรู้ก็เกิดขึ้นได้ มีการรับรู้เข้ามา พอวิญญาณรับรู้ เช่น เห็น ได้ยินนี่ เอ้า
            เอาตัวอย่างไว้ เห็น เห็นรูปสักอย่างหนึ่ง เห็นสีเขียว สีแดง เห็นรูปคน รูปสัตว์ พอเห็นเข้ามาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับการเห็นนั้นก็จะได้มีความรู้สึก คือเราจะเห็นอะไรก็ตามนั้น มันจะมีความรู้สึกสบาย ไม่สบาย ที่เราเรียกว่า สุข ทุกข์ หรือไม่งั้นก็เฉยๆ ที่เรียกกันนี้แหละเรียก คือเวทนาเกิดขึ้นละ ทุกครั้งที่มีการรับรู้จะมีความรู้สึก ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง แล้วพร้อมกันนั้นมีอะไรอีก
            เราก็จะกำหนดหมาย ซึ่งสัมพันธ์กับการจำ แล้วมันก็ทำให้เกิดความจำด้วย เรากำหนดหมายไว้อย่างไร เราก็จำไว้อย่างนั้น นี้สัญญาขันธ์เป็นส่วนสำคัญของความจำ การกำหนดหมายนี่เรียกว่า สัญญา พร้อมกับการที่เราเห็นนั้น เราก็จะมีสัญญากำหนดหมายด้วยว่า เป็นคน เป็นสัตว์ แม้กระทั่งว่ากำหนดว่าเป็นชื่อนั้นชื่อนี้ เป็นคนที่เรารู้จัก หรือไม่รู้จัก เป็นสีเขียว สีแดง สูง ต่ำ อ้วน ผอม อะไร เป็นต้น กำหนดหมายเสร็จ สัญญาก็มีแล้ว แล้วก็เราก็จะมีอะไรอีกต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่