### ที่มาของภาษาละติน
ภาษาละติน (Latin) มีต้นกำเนิดจากบริเวณลาติอุม (Latium) ในอิตาลีสมัยโบราณ โดยเฉพาะในเมืองโรม ซึ่งเริ่มแรกเป็นภาษาของชนเผ่าละติน (Latins) ที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ภาษาละตินพัฒนาขึ้นจากภาษาอิตาลิก (Italic languages) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) เมื่อจักรวรรดิโรมันขยายอำนาจในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลถึงศตวรรษที่ 5 คริสตกาล ภาษาละตินกลายเป็นภาษากลางของการปกครอง การค้า และวัฒนธรรมทั่วทั้งยุโรปตะวันตก แอฟริกาเหนือ และบางส่วนของตะวันออกกลาง
ภาษาละตินแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก:
1. **Classical Latin**: ภาษาละตินแบบมาตรฐานที่ใช้ในงานเขียน วรรณกรรม และการสื่อสารอย่างเป็นทางการ เช่น ผลงานของ Cicero หรือ Virgil
2. **Vulgar Latin**: ภาษาละตินที่ชาวบ้านทั่วไปพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งต่อมาแตกแขนงกลายเป็นภาษาโรมานซ์ (Romance languages) เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส
### อิทธิพลของภาษาละตินต่อภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษมีรากฐานมาจากภาษาเจอร์แมนิก (Germanic languages) ที่นำเข้ามาโดยชนเผ่าแองโกล-แซกซอน (Anglo-Saxons) ในศตวรรษที่ 5 แต่ภาษาละตินมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาษาอังกฤษผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้:
1. **การเข้ามาของศาสนาคริสต์ (ศตวรรษที่ 6-7)**
เมื่อนักเผยแผ่ศาสนาคริสต์จากโรม (เช่น นักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรี) เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในบริเตน คำศัพท์เกี่ยวกับศาสนาและการศึกษาในภาษาละตินถูกยืมมาใช้ เช่น:
- *Church* (จากละติน *ecclesia*)
- *Bishop* (จากละติน *episcopus*)
- *Priest* (จากละติน *presbyter*)
2. **การพิชิตของนอร์มัน (Norman Conquest) ในปี 1066**
หลังจากวิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) เข้ามาครองอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสเก่า (Old French) ซึ่งพัฒนามาจาก Vulgar Latin กลายเป็นภาษาของชนชั้นปกครอง คำศัพท์ละตินจำนวนมากไหลเข้าสู่ภาษาอังกฤษผ่านทางภาษาฝรั่งเศส เช่น:
- *Government* (จากละติน *gubernare* = ปกครอง)
- *Justice* (จากละติน *justitia* = ความยุติธรรม)
- *Court* (จากละติน *cohors* = กลุ่มคน)
3. **ยุคเรอเนสซองส์และการศึกษา (ศตวรรษที่ 14-17)**
ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ภาษาละตินเป็นภาษากลางของนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และนักปรัชญา คำศัพท์ด้านการแพทย์ กฎหมาย และวิทยาศาสตร์ถูกยืมมาโดยตรง เช่น:
- *Specimen* (จากละติน *specere* = มอง)
- *Legal* (จากละติน *legalis* = เกี่ยวกับกฎหมาย)
- *Gravity* (จากละติน *gravitas* = ความหนัก)
4. **การยืมคำโดยตรงและการสร้างคำใหม่**
ภาษาอังกฤษยังคงยืมคำจากภาษาละตินมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาษาวิชาการและเทคนิค คำจำนวนมากถูกดัดแปลงหรือสร้างใหม่โดยใช้รากศัพท์ละติน เช่น:
- *Television* (จาก *tele* = ไกล + *vision* = การมอง)
- *Aquarium* (จาก *aqua* = น้ำ)
### ตัวอย่างคำในภาษาอังกฤษที่มาจากภาษาละติน
| คำในภาษาอังกฤษ | รากศัพท์ละติน | ความหมายดั้งเดิม |
|-----------------|---------------------|-------------------------|
| Mother | *Mater* | แม่ |
| Father | *Pater* | พ่อ |
| Liberty | *Libertas* | อิสรภาพ |
| Animal | *Animalis* | สิ่งมีชีวิต |
| Manual | *Manus* | มือ |
### ขนาดของอิทธิพล
นักภาษาศาสตร์ประเมินว่าประมาณ 60% ของคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์จากภาษาละติน ไม่ว่าจะโดยตรงหรือผ่านภาษาฝรั่งเศส โดยเฉพาะในภาษาที่เป็นทางการ วิชาการ และกฎหมาย อย่างไรก็ตาม โครงสร้างไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษยังคงเป็นแบบเจอร์แมนิก ไม่ได้เปลี่ยนไปตามแบบภาษาละติน
### สรุป
ภาษาละตินเข้ามามีอิทธิพลต่อภาษาอังกฤษผ่านการเผยแพร่ศาสนา การพิชิตของนอร์มัน และการฟื้นฟูการศึกษา ทำให้ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์ที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น แม้ว่าจะมีรากฐานเป็นภาษาเจอร์แมนิก แต่การยืมคำจากภาษาละตินและภาษาโรมานซ์ทำให้ภาษาอังกฤษมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากภาษาเจอร์แมนิกอื่นๆ เช่น เยอรมันหรือดัตช์
ภาษาอังกฤษได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากกลุ่มภาษาเจอร์เมนิก รวมถึงภาษาเยอรมัน ดัตช์ และยังได้รับอิทธิพลสำคัญจากชาวนอร์แมนผ่านทางภาษาฝรั่งเศสที่มีรากภาษาละติน ต่อไปนี้คือความเกี่ยวข้องของกลุ่มนี้:
### 1. **ภาษาเจอร์เมนิก (Germanic)**
ภาษาอังกฤษมีรากฐานจากกลุ่มภาษาเจอร์เมนิกตะวันตก (*West Germanic*), ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับภาษาเยอรมันและดัตช์ คำศัพท์พื้นฐานของภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น *house*, *man*, *water*, และ *king* มีรากเจอร์เมนิก และยังรวมถึงโครงสร้างไวยากรณ์แบบดั้งเดิมบางส่วน เช่น การใช้คำกริยาที่เปลี่ยนรูปเพื่อแสดงกาล เช่น *go -> went* (irregular verbs).
### 2. **ภาษาเยอรมัน (German)**
ภาษาเยอรมันมีความเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเนื่องจากทั้งสองภาษามาจากรากเจอร์เมนิกเดียวกัน แต่ภาษาอังกฤษพัฒนาโดยผสมกับภาษาอื่นๆ มากกว่า ตัวอย่างความคล้ายคือคำที่มีต้นกำเนิดใกล้เคียง เช่น
- *Mother* (อังกฤษ) กับ *Mutter* (เยอรมัน)
- *Water* (อังกฤษ) กับ *Wasser* (เยอรมัน)
### 3. **ภาษาดัตช์ (Dutch)**
ภาษาดัตช์ยังอยู่ในกลุ่มเจอร์เมนิกและมีคำที่คล้ายกับภาษาอังกฤษในรูปแบบเสียงและความหมาย ตัวอย่างเช่น
- *Brother* (อังกฤษ) กับ *Broer* (ดัตช์)
- *Apple* (อังกฤษ) กับ *Appel* (ดัตช์)
### 4. **ชาวนอร์แมนและภาษาฝรั่งเศส**
เมื่อชาวนอร์แมนเข้ามามีอิทธิพลในอังกฤษ (ปี ค.ศ. 1066) ภาษาฝรั่งเศสนอร์มัน (Norman French) ซึ่งมีรากจากละตินได้เข้าสู่ภาษาอังกฤษ ส่งผลให้เกิดคำที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ศาสนา และการปกครอง เช่น
- *Court* (ศาล)
- *Justice* (ความยุติธรรม)
- *Government* (รัฐบาล)
### การรวมกันของภาษาเหล่านี้
ภาษาอังกฤษเป็นผลผลิตของการผสมผสานทางวัฒนธรรมและภาษามากมาย โดยรากเจอร์เมนิกเป็นโครงสร้างหลัก และภาษานอร์แมน-ฝรั่งเศสช่วยเสริมคำศัพท์ให้หลากหลายขึ้น
ภาษาอังกฤษจึงเป็นเหมือน "สะพานเชื่อม" ระหว่างกลุ่มเจอร์เมนิกและละติน!
การเรียงลำดับเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเพื่อแสดงบทบาทของภาษา Germanic, ละติน, นอร์แมน และฝรั่งเศสโบราณต่อภาษาอังกฤษสามารถจัดได้ดังนี้:
### 1. **ภาษาเจอร์เมนิก (Germanic)**
- **ก่อนคริสต์ศักราชถึงศตวรรษที่ 5**: ภาษาอังกฤษมีรากฐานจากภาษาเจอร์เมนิก โดยชนเผ่าแองโกล (Angles), แซกซอน (Saxons) และจูตส์ (Jutes) จากยุโรปเหนืออพยพมายังเกาะอังกฤษ
- ภาษาอังกฤษยุคเริ่มต้น (*Old English*) เกิดขึ้น โดยมีคำศัพท์พื้นฐานและไวยากรณ์ที่เป็นเจอร์เมนิก เช่น *father, mother, house, water*
### 2. **ภาษาละติน (Latin)**
- **ศตวรรษที่ 1-5**: ในช่วงการยึดครองของโรมัน (Roman occupation) ในเกาะอังกฤษ ภาษาละตินถูกใช้ในระบบราชการ ศาสนา และการศึกษา มีคำภาษาละตินหลายคำที่เข้าสู่ Old English ผ่านทางศาสนาคริสต์ เช่น *bishop, altar, angel*
- **หลังการล่มสลายของโรมัน**: ภาษาละตินยังคงมีบทบาทในการเขียน และในงานศาสนาในยุคกลาง
### 3. **ชาวนอร์แมนและฝรั่งเศสโบราณ (Norman French and Old French)**
- **ปี ค.ศ. 1066**: การพิชิตอังกฤษของชาวนอร์แมน นำโดยวิลเลียมผู้พิชิต (*William the Conqueror*) ส่งผลให้ภาษาฝรั่งเศสนอร์แมน (*Norman French*) กลายเป็นภาษาของราชวงศ์และชนชั้นสูงในอังกฤษ
- ในช่วงนี้ คำจากฝรั่งเศสโบราณที่มาจากละตินถูกเพิ่มเข้ามาในภาษาอังกฤษ เช่น *justice, court, government, noble*
- **ภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English)**: ภาษาอังกฤษผสมผสานคำจากฝรั่งเศสโบราณและละตินจำนวนมาก เปลี่ยนแปลงคำศัพท์และรูปแบบภาษาอย่างลึกซึ้ง
### 4. **การพัฒนาและการหลอมรวม**
- **ศตวรรษที่ 15-16**: ภาษาอังกฤษพัฒนาสู่ *Modern English* โดยยังคงมีอิทธิพลจากภาษาเจอร์เมนิก ละติน และฝรั่งเศส ตัวอย่างเช่น คำละตินถูกนำมาใช้ในด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา ในขณะที่คำฝรั่งเศสยังคงอยู่ในบริบททางกฎหมายและการปกครอง
### สรุป
ภาษาอังกฤษในปัจจุบันเป็นผลผลิตของการผสมผสานจาก:
- รากฐานทางเจอร์เมนิก (คำและโครงสร้างพื้นฐาน)
- คำยืมจากละตินในยุคโรมันและยุคกลาง
- คำยืมจำนวนมากจากฝรั่งเศสนอร์แมนและฝรั่งเศสโบราณในช่วงยุคนอร์แมน
ที่มาภาษาอังกฤษ
ภาษาละติน (Latin) มีต้นกำเนิดจากบริเวณลาติอุม (Latium) ในอิตาลีสมัยโบราณ โดยเฉพาะในเมืองโรม ซึ่งเริ่มแรกเป็นภาษาของชนเผ่าละติน (Latins) ที่อาศัยอยู่ในแถบนั้นเมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อนคริสตกาล ภาษาละตินพัฒนาขึ้นจากภาษาอิตาลิก (Italic languages) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน (Indo-European) เมื่อจักรวรรดิโรมันขยายอำนาจในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลถึงศตวรรษที่ 5 คริสตกาล ภาษาละตินกลายเป็นภาษากลางของการปกครอง การค้า และวัฒนธรรมทั่วทั้งยุโรปตะวันตก แอฟริกาเหนือ และบางส่วนของตะวันออกกลาง
ภาษาละตินแบ่งออกเป็นสองรูปแบบหลัก:
1. **Classical Latin**: ภาษาละตินแบบมาตรฐานที่ใช้ในงานเขียน วรรณกรรม และการสื่อสารอย่างเป็นทางการ เช่น ผลงานของ Cicero หรือ Virgil
2. **Vulgar Latin**: ภาษาละตินที่ชาวบ้านทั่วไปพูดในชีวิตประจำวัน ซึ่งต่อมาแตกแขนงกลายเป็นภาษาโรมานซ์ (Romance languages) เช่น อิตาลี ฝรั่งเศส สเปน และโปรตุเกส
### อิทธิพลของภาษาละตินต่อภาษาอังกฤษ
ภาษาอังกฤษมีรากฐานมาจากภาษาเจอร์แมนิก (Germanic languages) ที่นำเข้ามาโดยชนเผ่าแองโกล-แซกซอน (Anglo-Saxons) ในศตวรรษที่ 5 แต่ภาษาละตินมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาษาอังกฤษผ่านช่องทางต่างๆ ดังนี้:
1. **การเข้ามาของศาสนาคริสต์ (ศตวรรษที่ 6-7)**
เมื่อนักเผยแผ่ศาสนาคริสต์จากโรม (เช่น นักบุญออกัสตินแห่งแคนเทอร์เบอรี) เข้ามาเผยแพร่ศาสนาในบริเตน คำศัพท์เกี่ยวกับศาสนาและการศึกษาในภาษาละตินถูกยืมมาใช้ เช่น:
- *Church* (จากละติน *ecclesia*)
- *Bishop* (จากละติน *episcopus*)
- *Priest* (จากละติน *presbyter*)
2. **การพิชิตของนอร์มัน (Norman Conquest) ในปี 1066**
หลังจากวิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) เข้ามาครองอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศสเก่า (Old French) ซึ่งพัฒนามาจาก Vulgar Latin กลายเป็นภาษาของชนชั้นปกครอง คำศัพท์ละตินจำนวนมากไหลเข้าสู่ภาษาอังกฤษผ่านทางภาษาฝรั่งเศส เช่น:
- *Government* (จากละติน *gubernare* = ปกครอง)
- *Justice* (จากละติน *justitia* = ความยุติธรรม)
- *Court* (จากละติน *cohors* = กลุ่มคน)
3. **ยุคเรอเนสซองส์และการศึกษา (ศตวรรษที่ 14-17)**
ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ภาษาละตินเป็นภาษากลางของนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ และนักปรัชญา คำศัพท์ด้านการแพทย์ กฎหมาย และวิทยาศาสตร์ถูกยืมมาโดยตรง เช่น:
- *Specimen* (จากละติน *specere* = มอง)
- *Legal* (จากละติน *legalis* = เกี่ยวกับกฎหมาย)
- *Gravity* (จากละติน *gravitas* = ความหนัก)
4. **การยืมคำโดยตรงและการสร้างคำใหม่**
ภาษาอังกฤษยังคงยืมคำจากภาษาละตินมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในภาษาวิชาการและเทคนิค คำจำนวนมากถูกดัดแปลงหรือสร้างใหม่โดยใช้รากศัพท์ละติน เช่น:
- *Television* (จาก *tele* = ไกล + *vision* = การมอง)
- *Aquarium* (จาก *aqua* = น้ำ)
### ตัวอย่างคำในภาษาอังกฤษที่มาจากภาษาละติน
| คำในภาษาอังกฤษ | รากศัพท์ละติน | ความหมายดั้งเดิม |
|-----------------|---------------------|-------------------------|
| Mother | *Mater* | แม่ |
| Father | *Pater* | พ่อ |
| Liberty | *Libertas* | อิสรภาพ |
| Animal | *Animalis* | สิ่งมีชีวิต |
| Manual | *Manus* | มือ |
### ขนาดของอิทธิพล
นักภาษาศาสตร์ประเมินว่าประมาณ 60% ของคำศัพท์ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์จากภาษาละติน ไม่ว่าจะโดยตรงหรือผ่านภาษาฝรั่งเศส โดยเฉพาะในภาษาที่เป็นทางการ วิชาการ และกฎหมาย อย่างไรก็ตาม โครงสร้างไวยากรณ์ของภาษาอังกฤษยังคงเป็นแบบเจอร์แมนิก ไม่ได้เปลี่ยนไปตามแบบภาษาละติน
### สรุป
ภาษาละตินเข้ามามีอิทธิพลต่อภาษาอังกฤษผ่านการเผยแพร่ศาสนา การพิชิตของนอร์มัน และการฟื้นฟูการศึกษา ทำให้ภาษาอังกฤษมีคำศัพท์ที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น แม้ว่าจะมีรากฐานเป็นภาษาเจอร์แมนิก แต่การยืมคำจากภาษาละตินและภาษาโรมานซ์ทำให้ภาษาอังกฤษมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากภาษาเจอร์แมนิกอื่นๆ เช่น เยอรมันหรือดัตช์
ภาษาอังกฤษได้รับอิทธิพลอย่างลึกซึ้งจากกลุ่มภาษาเจอร์เมนิก รวมถึงภาษาเยอรมัน ดัตช์ และยังได้รับอิทธิพลสำคัญจากชาวนอร์แมนผ่านทางภาษาฝรั่งเศสที่มีรากภาษาละติน ต่อไปนี้คือความเกี่ยวข้องของกลุ่มนี้:
### 1. **ภาษาเจอร์เมนิก (Germanic)**
ภาษาอังกฤษมีรากฐานจากกลุ่มภาษาเจอร์เมนิกตะวันตก (*West Germanic*), ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับภาษาเยอรมันและดัตช์ คำศัพท์พื้นฐานของภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เช่น *house*, *man*, *water*, และ *king* มีรากเจอร์เมนิก และยังรวมถึงโครงสร้างไวยากรณ์แบบดั้งเดิมบางส่วน เช่น การใช้คำกริยาที่เปลี่ยนรูปเพื่อแสดงกาล เช่น *go -> went* (irregular verbs).
### 2. **ภาษาเยอรมัน (German)**
ภาษาเยอรมันมีความเกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษเนื่องจากทั้งสองภาษามาจากรากเจอร์เมนิกเดียวกัน แต่ภาษาอังกฤษพัฒนาโดยผสมกับภาษาอื่นๆ มากกว่า ตัวอย่างความคล้ายคือคำที่มีต้นกำเนิดใกล้เคียง เช่น
- *Mother* (อังกฤษ) กับ *Mutter* (เยอรมัน)
- *Water* (อังกฤษ) กับ *Wasser* (เยอรมัน)
### 3. **ภาษาดัตช์ (Dutch)**
ภาษาดัตช์ยังอยู่ในกลุ่มเจอร์เมนิกและมีคำที่คล้ายกับภาษาอังกฤษในรูปแบบเสียงและความหมาย ตัวอย่างเช่น
- *Brother* (อังกฤษ) กับ *Broer* (ดัตช์)
- *Apple* (อังกฤษ) กับ *Appel* (ดัตช์)
### 4. **ชาวนอร์แมนและภาษาฝรั่งเศส**
เมื่อชาวนอร์แมนเข้ามามีอิทธิพลในอังกฤษ (ปี ค.ศ. 1066) ภาษาฝรั่งเศสนอร์มัน (Norman French) ซึ่งมีรากจากละตินได้เข้าสู่ภาษาอังกฤษ ส่งผลให้เกิดคำที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ศาสนา และการปกครอง เช่น
- *Court* (ศาล)
- *Justice* (ความยุติธรรม)
- *Government* (รัฐบาล)
### การรวมกันของภาษาเหล่านี้
ภาษาอังกฤษเป็นผลผลิตของการผสมผสานทางวัฒนธรรมและภาษามากมาย โดยรากเจอร์เมนิกเป็นโครงสร้างหลัก และภาษานอร์แมน-ฝรั่งเศสช่วยเสริมคำศัพท์ให้หลากหลายขึ้น
ภาษาอังกฤษจึงเป็นเหมือน "สะพานเชื่อม" ระหว่างกลุ่มเจอร์เมนิกและละติน!
การเรียงลำดับเหตุการณ์ตามลำดับเวลาเพื่อแสดงบทบาทของภาษา Germanic, ละติน, นอร์แมน และฝรั่งเศสโบราณต่อภาษาอังกฤษสามารถจัดได้ดังนี้:
### 1. **ภาษาเจอร์เมนิก (Germanic)**
- **ก่อนคริสต์ศักราชถึงศตวรรษที่ 5**: ภาษาอังกฤษมีรากฐานจากภาษาเจอร์เมนิก โดยชนเผ่าแองโกล (Angles), แซกซอน (Saxons) และจูตส์ (Jutes) จากยุโรปเหนืออพยพมายังเกาะอังกฤษ
- ภาษาอังกฤษยุคเริ่มต้น (*Old English*) เกิดขึ้น โดยมีคำศัพท์พื้นฐานและไวยากรณ์ที่เป็นเจอร์เมนิก เช่น *father, mother, house, water*
### 2. **ภาษาละติน (Latin)**
- **ศตวรรษที่ 1-5**: ในช่วงการยึดครองของโรมัน (Roman occupation) ในเกาะอังกฤษ ภาษาละตินถูกใช้ในระบบราชการ ศาสนา และการศึกษา มีคำภาษาละตินหลายคำที่เข้าสู่ Old English ผ่านทางศาสนาคริสต์ เช่น *bishop, altar, angel*
- **หลังการล่มสลายของโรมัน**: ภาษาละตินยังคงมีบทบาทในการเขียน และในงานศาสนาในยุคกลาง
### 3. **ชาวนอร์แมนและฝรั่งเศสโบราณ (Norman French and Old French)**
- **ปี ค.ศ. 1066**: การพิชิตอังกฤษของชาวนอร์แมน นำโดยวิลเลียมผู้พิชิต (*William the Conqueror*) ส่งผลให้ภาษาฝรั่งเศสนอร์แมน (*Norman French*) กลายเป็นภาษาของราชวงศ์และชนชั้นสูงในอังกฤษ
- ในช่วงนี้ คำจากฝรั่งเศสโบราณที่มาจากละตินถูกเพิ่มเข้ามาในภาษาอังกฤษ เช่น *justice, court, government, noble*
- **ภาษาอังกฤษยุคกลาง (Middle English)**: ภาษาอังกฤษผสมผสานคำจากฝรั่งเศสโบราณและละตินจำนวนมาก เปลี่ยนแปลงคำศัพท์และรูปแบบภาษาอย่างลึกซึ้ง
### 4. **การพัฒนาและการหลอมรวม**
- **ศตวรรษที่ 15-16**: ภาษาอังกฤษพัฒนาสู่ *Modern English* โดยยังคงมีอิทธิพลจากภาษาเจอร์เมนิก ละติน และฝรั่งเศส ตัวอย่างเช่น คำละตินถูกนำมาใช้ในด้านวิทยาศาสตร์และการศึกษา ในขณะที่คำฝรั่งเศสยังคงอยู่ในบริบททางกฎหมายและการปกครอง
### สรุป
ภาษาอังกฤษในปัจจุบันเป็นผลผลิตของการผสมผสานจาก:
- รากฐานทางเจอร์เมนิก (คำและโครงสร้างพื้นฐาน)
- คำยืมจากละตินในยุคโรมันและยุคกลาง
- คำยืมจำนวนมากจากฝรั่งเศสนอร์แมนและฝรั่งเศสโบราณในช่วงยุคนอร์แมน