วันวาเลนไทน์ที่ทุกคนรู้จักกันดีว่าเป็นวันแห่งความรัก เต็มไปด้วยดอกไม้ การ์ด และของขวัญ จริงๆ แล้วมีจุดเริ่มต้นที่ไม่ได้โรแมนติกเลย กลับกัน มันมีรากฐานมาจากพิธีกรรมโบราณของชาวโรมันที่ทั้งดิบเถื่อนและลึกลับกว่านั้นเยอะ วันแห่งความรักนี้เชื่อมโยงกับเทศกาลลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) ซึ่งเป็นพิธีกรรมเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ ที่มีทั้งการบูชายัญ การจับคู่ และกิจกรรมที่ค่อนข้างแปลกไปจากที่เราคุ้นเคย
ลูเปอร์คาเลีย: เทศกาลความอุดมสมบูรณ์ของชาวโรมัน
ลูเปอร์คาเลียเป็นเทศกาลของชาวโรมันที่จัดขึ้นทุกวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เพื่อบูชาเทพลูเปอร์คัส (Lupercus) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และยังเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าของโรมูลุสและเรมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรม พิธีกรรมเริ่มต้นด้วยการบูชายัญแพะและสุนัขที่ถ้ำลูเปอร์คาล (Lupercal) บนเนินเขาพาลาไทน์ หลังจากนั้นนักบวชลูเปอร์ซี (Luperci) จะใช้หนังสัตว์ที่ถูกบูชายัญมาตีผู้หญิงที่ยืนต่อแถวรอ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้มีลูกง่ายและคลอดลูกอย่างปลอดภัย
อีกธรรมเนียมที่แปลกไม่แพ้กันคือการจับคู่แบบสุ่ม หนุ่มๆ จะหยิบชื่อของสาวๆ ออกจากโหล และทั้งคู่จะกลายเป็นคู่กันในช่วงเทศกาล ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่ความสัมพันธ์ระยะยาว หรือแม้กระทั่งการแต่งงาน เทศกาลนี้เน้นไปที่ความอุดมสมบูรณ์มากกว่าความรักแบบโรแมนติกที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
อิทธิพลของศาสนาคริสต์และบทบาทของเซนต์วาเลนไทน์
เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มแพร่หลาย ผู้นำศาสนาต้องการกำจัดพิธีกรรมแบบเดิมๆ ออกไป ในศตวรรษที่ 5 พระสันตปาปาเกลาซิอุสที่ 1 (Pope Gelasius I) ได้สั่งห้ามเทศกาลลูเปอร์คาเลีย และเปลี่ยนให้เป็นวันเฉลิมฉลองนักบุญวาเลนไทน์แทน แต่จริงๆ แล้วมีนักบุญวาเลนไทน์หลายคน ซึ่งทำให้ไม่แน่ชัดว่าวันนี้เกี่ยวข้องกับใครกันแน่

(Pope Gelasius I)
ตำนานหนึ่งบอกว่า นักบุญวาเลนไทน์เป็นบาทหลวงที่ฝ่าฝืนกฎหมายของจักรพรรดิโคลดิสที่ 2 ซึ่งห้ามทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าชายโสดเป็นทหารที่ดี นักบุญวาเลนไทน์แอบจัดพิธีแต่งงานให้คู่รักจนถูกจับและถูกประหารชีวิต อีกเรื่องเล่าว่าเขาเป็นบิชอปที่ช่วยเหลือคริสเตียนที่ถูกกดขี่ และก่อนตายได้ส่งจดหมายถึงหญิงสาวคนหนึ่ง ลงท้ายว่า “จากวาเลนไทน์ของคุณ” ซึ่งกลายเป็นต้นกำเนิดของธรรมเนียมการส่งข้อความรักในวันวาเลนไทน์
จากพิธีกรรมดิบเถื่อนสู่วันแห่งความรัก
แม้ว่าจุดเริ่มต้นของวันวาเลนไทน์จะดูโหดๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป มันก็ถูกเปลี่ยนเป็นวันแห่งความรัก ในยุคกลาง กวีชื่อดังอย่างเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) ได้แต่งกลอนที่เชื่อมโยงวันนี้กับความรักแบบโรแมนติก และในปี 1415 ชาร์ลส์ ดยุกแห่งออร์ลีนส์ (Charles, Duke of Orléans) ได้เขียนจดหมายรักจากหอคอยลอนดอน ซึ่งถือเป็นจดหมายวาเลนไทน์ฉบับแรก

(Duke of Orléans)
พอถึงศตวรรษที่ 19 การแลกเปลี่ยนการ์ดวาเลนไทน์ก็เริ่มแพร่หลาย โดยเฉพาะในอังกฤษและสหรัฐฯ เอสเธอร์ ฮาวแลนด์ (Esther Howland) ได้ริเริ่มผลิตการ์ดวาเลนไทน์แบบพิมพ์ขาย ทำให้วันวาเลนไทน์กลายเป็นเทศกาลการค้าขายที่เราเห็นกันทุกวันนี้
แม้ว่าทุกวันนี้วันวาเลนไทน์จะเป็นวันแห่งความรัก แต่รากเหง้าของมันเต็มไปด้วยพิธีกรรมทางศาสนา การบูชายัญ และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนจากเทศกาลลูเปอร์คาเลียมาสู่วันแห่งความรักในแบบที่เรารู้จัก เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนแปลงประเพณีที่เกิดขึ้นตามยุคสมัย การรู้ต้นกำเนิดของวันนี้ช่วยให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างออกไปจากภาพโรแมนติกที่เราเห็นในปัจจุบัน
ต้นกำเนิดสุดดาร์กของวันวาเลนไทน์
ลูเปอร์คาเลีย: เทศกาลความอุดมสมบูรณ์ของชาวโรมัน
ลูเปอร์คาเลียเป็นเทศกาลของชาวโรมันที่จัดขึ้นทุกวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เพื่อบูชาเทพลูเปอร์คัส (Lupercus) เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ และยังเชื่อมโยงกับเรื่องเล่าของโรมูลุสและเรมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรม พิธีกรรมเริ่มต้นด้วยการบูชายัญแพะและสุนัขที่ถ้ำลูเปอร์คาล (Lupercal) บนเนินเขาพาลาไทน์ หลังจากนั้นนักบวชลูเปอร์ซี (Luperci) จะใช้หนังสัตว์ที่ถูกบูชายัญมาตีผู้หญิงที่ยืนต่อแถวรอ เพราะเชื่อว่าจะช่วยให้มีลูกง่ายและคลอดลูกอย่างปลอดภัย
อีกธรรมเนียมที่แปลกไม่แพ้กันคือการจับคู่แบบสุ่ม หนุ่มๆ จะหยิบชื่อของสาวๆ ออกจากโหล และทั้งคู่จะกลายเป็นคู่กันในช่วงเทศกาล ซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่ความสัมพันธ์ระยะยาว หรือแม้กระทั่งการแต่งงาน เทศกาลนี้เน้นไปที่ความอุดมสมบูรณ์มากกว่าความรักแบบโรแมนติกที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
อิทธิพลของศาสนาคริสต์และบทบาทของเซนต์วาเลนไทน์
เมื่อศาสนาคริสต์เริ่มแพร่หลาย ผู้นำศาสนาต้องการกำจัดพิธีกรรมแบบเดิมๆ ออกไป ในศตวรรษที่ 5 พระสันตปาปาเกลาซิอุสที่ 1 (Pope Gelasius I) ได้สั่งห้ามเทศกาลลูเปอร์คาเลีย และเปลี่ยนให้เป็นวันเฉลิมฉลองนักบุญวาเลนไทน์แทน แต่จริงๆ แล้วมีนักบุญวาเลนไทน์หลายคน ซึ่งทำให้ไม่แน่ชัดว่าวันนี้เกี่ยวข้องกับใครกันแน่
(Pope Gelasius I)
ตำนานหนึ่งบอกว่า นักบุญวาเลนไทน์เป็นบาทหลวงที่ฝ่าฝืนกฎหมายของจักรพรรดิโคลดิสที่ 2 ซึ่งห้ามทหารแต่งงาน เพราะเชื่อว่าชายโสดเป็นทหารที่ดี นักบุญวาเลนไทน์แอบจัดพิธีแต่งงานให้คู่รักจนถูกจับและถูกประหารชีวิต อีกเรื่องเล่าว่าเขาเป็นบิชอปที่ช่วยเหลือคริสเตียนที่ถูกกดขี่ และก่อนตายได้ส่งจดหมายถึงหญิงสาวคนหนึ่ง ลงท้ายว่า “จากวาเลนไทน์ของคุณ” ซึ่งกลายเป็นต้นกำเนิดของธรรมเนียมการส่งข้อความรักในวันวาเลนไทน์
จากพิธีกรรมดิบเถื่อนสู่วันแห่งความรัก
แม้ว่าจุดเริ่มต้นของวันวาเลนไทน์จะดูโหดๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป มันก็ถูกเปลี่ยนเป็นวันแห่งความรัก ในยุคกลาง กวีชื่อดังอย่างเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ (Geoffrey Chaucer) ได้แต่งกลอนที่เชื่อมโยงวันนี้กับความรักแบบโรแมนติก และในปี 1415 ชาร์ลส์ ดยุกแห่งออร์ลีนส์ (Charles, Duke of Orléans) ได้เขียนจดหมายรักจากหอคอยลอนดอน ซึ่งถือเป็นจดหมายวาเลนไทน์ฉบับแรก
(Duke of Orléans)
พอถึงศตวรรษที่ 19 การแลกเปลี่ยนการ์ดวาเลนไทน์ก็เริ่มแพร่หลาย โดยเฉพาะในอังกฤษและสหรัฐฯ เอสเธอร์ ฮาวแลนด์ (Esther Howland) ได้ริเริ่มผลิตการ์ดวาเลนไทน์แบบพิมพ์ขาย ทำให้วันวาเลนไทน์กลายเป็นเทศกาลการค้าขายที่เราเห็นกันทุกวันนี้
แม้ว่าทุกวันนี้วันวาเลนไทน์จะเป็นวันแห่งความรัก แต่รากเหง้าของมันเต็มไปด้วยพิธีกรรมทางศาสนา การบูชายัญ และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม การเปลี่ยนจากเทศกาลลูเปอร์คาเลียมาสู่วันแห่งความรักในแบบที่เรารู้จัก เป็นตัวอย่างที่ดีของการเปลี่ยนแปลงประเพณีที่เกิดขึ้นตามยุคสมัย การรู้ต้นกำเนิดของวันนี้ช่วยให้เข้าใจมุมมองที่แตกต่างออกไปจากภาพโรแมนติกที่เราเห็นในปัจจุบัน