JJNY : การเมืองเดิมซ้ำซากทำสังคมติดหล่ม│รับผิดชอบเองไม่ใช่ปธ.สั่งแก้ญัตติ│“กัณวีร์”ประณามเหตุระเบิด│มองเป้าจีดีพีเหนื่อย

คนไทยคุ้นชินเกมการเมืองเดิม หมุนวนซ้ำซากทำให้สังคมติดหล่ม
https://www.dailynews.co.th/news/4475921/ 
 
 
"สวนดุสิตโพล" สำรวจ “เกมการเมืองไทย ณ วันนี้” คนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินเกม "การเมืองเดิม" ในรูปแบบใหม่ การโจมตีกันไปมา ปล่อยข่าวปลอม ดิสเครดิต หมุนวนซ้ำซากทำให้สังคมติดหล่ม

“สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “เกมการเมืองไทย ณ วันนี้” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,227 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 4-7 มีนาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่มองว่าลักษณะของ “เกมการเมือง” คือ การแบ่งเค้ก แบ่งตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ร้อยละ 62.75 ในรัฐบาล แพทองธาร กรณีที่เป็นการเล่นเกมการเมือง คือ การโจมตีกันไปมา ปล่อยข่าวปลอม ดิสเครดิต ร้อยละ 60.46 โดยมองว่า เกมการเมืองนั้นเป็นเรื่องปกติของการเมืองไทย เพราะมีมานาน เห็นมาทุกยุคสมัย มุ่งหวังแต่อำนาจและผลประโยชน์
 
ทั้งนี้มองว่ามีผลต่อการพัฒนาประเทศมาก เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ร้อยละ 42.95 สุดท้ายกลุ่มตัวอย่างกว่าร้อยละ 79.63 เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่าเกมการเมืองทำให้การเมืองไทยล้าหลังประเทศอื่น ๆ
 เกมการเมือง
 
นางสาวพรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า ผลสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าคนไทยคุ้นชินกับเกมการเมืองที่มีมานานและรับรู้ถึงโครงสร้างการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์และการแข่งขันเชิงอำนาจ แม้หวังพึ่งการเลือกตั้งให้การเมืองเปลี่ยน แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญกับ “เกมการเมืองเดิม” ในรูปแบบใหม่ หมุนวนซ้ำซากทำให้สังคมติดหล่ม กลายเป็นพลวัตทางสังคมแบบปกติใหม่ที่ไม่ควรจะปกติ การจะทำให้ประชาชนเชื่อมั่นมากขึ้นก็คงจะต้อง “ลดเกมการเมือง เพิ่มการทำงาน” เพื่อสร้างความไว้วางใจให้กับประชาชน
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เขมภัทท์ เย็นเปี่ยม หลักสูตรรัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต โรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวว่า จากผลโพลเกี่ยวกับประเด็น “เกมการเมืองไทย” ประชาชนมองว่าการเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่นักการเมืองเมื่อเข้ามาสู่อำนาจแล้วจะเข้ามาจัดสรรผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องมากกว่าการจัดสรรผลประโยชน์และกระจายผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน โดยแท้จริงแล้วประชาชนอยากเห็นเกมการเมืองที่แต่ละพรรคแข่งขันกันในเชิงนโยบายและการแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากกว่าเกมการเมืองที่เข้ามาช่วงชิงอำนาจ โดยการพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดขั้วอำนาจทางการเมืองฝั่งตรงข้าม และพร้อมที่จะหักหลังจัดการฝ่ายเดียวกันเองเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมืองของตัวเองไว้ การที่นักการเมืองมุ่งแต่จะแก้เกมทางการเมืองเพื่อต้องการกุมความได้เปรียบทางการเมืองจึงส่งผลต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองที่ประชาชนรู้สึกว่าล้าหลังและไม่มีพัฒนาการที่ดีขึ้น สิ่งที่ประชาชนคาดหวังและอยากเห็นคือเกมการเมืองที่แข่งกันแก้ปัญหาด้วยนโยบายมากกว่าการแก้เกมทางการเมือง.



อาจารย์ชี้ ฝ่ายค้านพาดพิงทักษิณ ต้องรับผิดชอบเอง ไม่ใช่ปธ.สั่งแก้ญัตติ ยกข้อบังคับ-รธน.ยัน
https://www.matichon.co.th/politics/news_5083028
 
อาจารย์ชี้ฝ่ายค้านพาดพิงทักษิณ ต้องรับผิดชอบเอง ยกข้อบังคับ-รธน.ยัน ไม่ใช่อำนาจปธ.สั่งแก้ญัตติ แนะควรปล่อยให้พูด ป้องครหาไม่เป็นธรรม เอื้อฝ่ายรบ.
 
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2568 รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว วิเคราะห์และวินิจฉัยความเหมาะสมของการกระทำของนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เกี่ยวกับการไม่บรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หากฝ่ายค้านไม่ตัดชื่อ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกจากญัตติ ว่า
 
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้เหตุผลว่า การไม่บรรจุญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่มีชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นเพราะขัดต่อข้อบังคับของสภา โดยอ้างว่า ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 ข้อ 176 ห้ามเอ่ยถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น และหากยังคงมีชื่อดังกล่าวอยู่ในญัตติ อาจทำให้มีปัญหาทางกฎหมายตามมา ซึ่งอาจนำไปสู่การฟ้องร้องทั้งต่อตัวประธานสภาและผู้เสนอญัตติ
 
อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งสำคัญจากฝ่ายค้าน โดยเฉพาะ นายรังสิมันต์ โรม และ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ซึ่งให้เหตุผลหลักๆ ว่าการกระทำของนายวันนอร์ อาจเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ของประธานสภา และอาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้รัฐบาล ซึ่งอาจสกัดกั้นฝ่ายค้านจากการตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างเต็มที่
 
ประเด็นสำคัญในการวิเคราะห์
 
1. ข้อกฎหมายและอำนาจของประธานสภา
 
ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 176 ระบุให้ประธานสภาตรวจสอบว่าญัตติมีข้อบกพร่องหรือไม่ หากพบว่ามี ต้องแจ้งให้ผู้เสนอทราบภายใน 7 วัน
ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 69 กำหนดว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอก “โดยไม่จำเป็น” แต่ไม่ได้ห้ามกล่าวถึงโดยสิ้นเชิง
 
รัฐธรรมนูญมาตรา 151 ให้สิทธิ ส.ส. ในการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับการพิจารณาของประธานสภา
 
=> วิเคราะห์แล้วพบว่า การกล่าวถึงบุคคลภายนอกในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกห้ามโดยเด็ดขาด และที่ผ่านมาก็เคยมีการเอ่ยชื่อบุคคลภายนอกมาก่อน ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจของนายวันนอร์ อาจไม่มีฐานกฎหมายที่หนักแน่นเพียงพอ

2. ข้อโต้แย้งเรื่องความเหมาะสม
ฝ่ายค้านเห็นว่า ทักษิณ ชินวัตร มีบทบาทต่อรัฐบาลปัจจุบันอย่างชัดเจน และเป็นที่สงสัยว่ามีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ชอบธรรมที่จะเอ่ยถึงในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
 
ฝ่ายค้านยังชี้ว่า การที่นายวันนอร์สั่งให้แก้ไขญัตติอาจเป็นการใช้ดุลพินิจที่เกินอำนาจหน้าที่ เพราะประธานสภาไม่มีอำนาจตัดสินว่าเนื้อหาของญัตติควรเป็นอย่างไร เพียงแต่สามารถตรวจสอบข้อผิดพลาดในรูปแบบของญัตติเท่านั้น
 
=> วิเคราะห์แล้วพบว่า หากมองในแง่ของความเป็นกลาง ประธานสภาควรปล่อยให้การอภิปรายเป็นไปตามกระบวนการ และหากมีปัญหาเรื่องการพาดพิงบุคคลภายนอก ก็ควรให้เป็นหน้าที่ของผู้ถูกพาดพิงในการดำเนินการทางกฎหมายเอง มากกว่าการให้ประธานสภาเป็นผู้ตัดสินแต่แรก

3. การดำเนินการที่ล่าช้าและขัดแย้งกับข้อบังคับ
นายพริษฐ์ระบุว่า นายวันนอร์แจ้งให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติ ล่าช้ากว่ากำหนด 7 วัน ซึ่งผิดข้อบังคับข้อ 176
หากเป็นเช่นนั้นจริง การดำเนินการของนายวันนอร์เองก็อาจไม่ชอบด้วยข้อบังคับเสียเอง
 
=> วิเคราะห์แล้วพบว่า หากนายวันนอร์แจ้งล่าช้ากว่ากำหนดจริง การพยายามแก้ไขญัตติในภายหลังอาจถือเป็นการใช้อำนาจโดยไม่เป็นธรรม
ข้อสรุป
 
จากการวิเคราะห์ ทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง พบว่า : การกล่าวถึงบุคคลภายนอกไม่ได้ถูกห้ามโดยเด็ดขาด ตามข้อบังคับ และมีการกล่าวถึงในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้วหลายครั้ง
 
ประธานสภาไม่มีอำนาจตัดสินเนื้อหาของญัตติ มีเพียงอำนาจตรวจสอบข้อผิดพลาดในรูปแบบเท่านั้น
การแจ้งแก้ไขญัตติอาจล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งอาจถือเป็นการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม
 
การตัดสินใจของนายวันนอร์อาจถูกมองว่าเอื้อให้รัฐบาล เนื่องจากมีผลโดยตรงต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
วินิจฉัยความเหมาะสม
 
การกระทำของนายวันนอร์จึงอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากขัดต่อหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และอาจถูกมองว่าเป็นการใช้ดุลพินิจเกินขอบเขต อันส่งผลให้ฝ่ายค้านไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่

https://www.facebook.com/PhichainaBhuket/posts/pfbid0NJui9rX1XAf6Y1Ddck1jGpwA85FihSddnGativYSgWadqKtRsYYJR4QJbR6TCtR9l
 


“กัณวีร์” ประณามเหตุระเบิดที่โก-ลก จี้รัฐบาลอย่ามัววิ่งตาม V1
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_852171/
 
“กัณวีร์”ประณามและเสียใจเหตุระเบิดที่โก-ลก จี้รัฐบาลอย่ามัววิ่งตาม V1 ถามเมื่อไหร่จะมีเจตจำนงชัดสันติภาพชายแดนใต้
 
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ขอประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว อ.ส.ทุกนาย จากเหตุระเบิดที่หน้าที่ว่าการอำภอสุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่กองร้อยอาสารักษาดินแดนเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 12 นาย เมื่อคืนวันที่ 8 มี.ค.68
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนในพื้นที่ทุกคนที่สถานการณ์กลับมาเลวร้ายอีกครั้ง และขอให้รัฐเร่งติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุอุกอาจกลางเมืองแบบนี้ และรัฐต้องเร่งแสดงเจตจำนงต่อการสร้างสันติภาพชายแดนใต้อย่างแน่วแน่และรวดเร็ว
 
“จนถึงตอนนี้รัฐบาล ‘แพทองธาร ชินวัตร’ เป็นนายกฯมา 6 เดือนแล้ว ยังไร้ทิศทางว่าจะทำอย่างไรกับปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเดินหน้าการพูดคุยเพื่อสันติภาพอย่างไร จะใช้ 66/23 หรือมีความมุ่งมั่นอย่างไรก็ต้องรีบทำ ชีวิตประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐที่สูญเสียไปแต่ละวัน”
 
นายกัณวีร์ กล่าวด้วยว่า ยิ่งเดือนนี้เป็นเดือนรอมฏอนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ควรจะเป็นช่วงเวลาแห่งสันติสุข และการแสวงหาสันติภาพร่วมกัน
 
“ทุกคนมีชีวิตที่มีคุณค่าและสำคัญอย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไปแบบสูญญากาศ หรือคอยวิ่งตาม V1 ที่ทำตัวเหมือนผู้มีอำนาจนอกรัฐบาล อาสาจะมาสร้างสันติสุขภายใน 1 ปี แค่ลงพื้นที่ผ่านมา 2 อาทิตย์ เกิดอะไรขึ้นบ้าง ถามใจกันดูครับ”



ปธ.ตลท. มองเป้าจีดีพีไทยโตมากกว่า 3% เหนื่อย กาง 6 มาตรการ เร่งฟื้นตลาดหุ้นไทย
https://www.matichon.co.th/economy/news_5082966
 
ปธ.ตลท.มองเป้าจีดีพีไทยโตมากกว่า 3% เหนื่อย กาง 6 มาตรการ เร่งฟื้นตลาดหุ้นไทย
 
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม นายกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ภายใน 3-6 เดือนนี้จะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาสำหรับฟื้นความเชื่อมั่นนักลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ตลาดปรับตัวลดลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวดี รวมถึงไม่มีเรื่องใหม่ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

โดยเตรียมเสนอ 6 มาตรการให้กระทรวงการคลังพิจารณาโดยเร็ว ได้แก่ 

1. แก้กฎหมายหลายฉบับแบบ Omnibus ทั้งกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและกฎหมายที่ส่งเสริมการลงทุน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนใหม่ อาทิ กฏหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กฏหมายมหาชน กฏหมายแพ่งและพาณิชย์ กฏหมายส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กฎหมายให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี
 
2. โครงการการซื้อหุ้นคืน ปลดล็อกให้มีความยืดหยุ่น หนุนราคาหุ้น และเพิ่มความคล่องตัวให้บจ.สามารถบริหารจัดการราคาหุ้น 
 
3.โครงการ New S-Curve Economy เพื่อดึงดูดธุรกิจใหม่ ทั้งธุรกิจดิจิทัลและสุขภาพ ที่จดทะเบียนในไทย ซึ่งเป็นธุรกิจแห่งอนาคตของประเทศไทย ทั้งบริษัทไทยและต่างชาติให้เข้ามาจดทะเบียนใน SET โดยร่วมมือกับบีโอไอ ให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีและมาตรการจูงใจ เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนและสร้างธุรกิจ ใหม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่