“โรม” ถอนหงอก “วันนอร์” ไม่สมกับเป็นผู้ใหญ่ รับงานมาปกป้องนายใหญ่
https://www.thairath.co.th/news/politic/2845946
“รังสิมันต์ โรม” อัด “วันนอร์” รับงานมา ปกป้องนายใหญ่ สกัดฝ่ายค้าน ไม่ให้ตรวจสอบรัฐบาล ใช้อำนาจไม่สุจริต เอนเอียง ไม่สมกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสภาฯ
วันที่ 8 มี.ค. 2568 นาย
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า
การที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สั่งให้ฝ่ายค้านแก้ญัตติเอาชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ออก คือการใช้อำนาจเอื้อพวกพ้อง และหวังสกัดฝ่ายค้าน ไม่ให้ตรวจสอบรัฐบาล เป็นการใช้อำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประการแรก ในเรื่องของการเขียนญัตติไม่ว่าจะเป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือญัตติอื่นทั่วๆ ไป ไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับใดของสภาฯ ที่ห้ามการเอ่ยถึงบุคคลภายนอก การเอ่ยถึงบุคคลภายนอกทำได้ โดยที่ข้อบังคับของสภาฯ ระบุเพียงว่าห้ามเอ่ยถึงชื่อบุคคลใดโดยไม่จำเป็น ซึ่งในกรณีนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่านายทักษิณเป็นที่สงสัยว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ทิศทางของประเทศหลายเรื่อง เราได้ยินจากปากอดีตนายกฯ ไม่ใช่จากนายกฯ วันนี้คนรอฟังจากนายกฯ ผู้พ่อ ไม่ใช่ผู้ลูก ดังนั้น ถ้าห้ามฝ่ายค้านเขียนญัตติโดยระบุชื่อนายทักษิณ ไม่ต่างอะไรกับการที่ประธานสภาฯ ใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายค้านให้ทำหน้าที่อย่างไม่เต็มที่
นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า
ประการที่สอง การที่ประธานสภาฯ ให้รองเลขาธิการสภาฯ รักษาการแทนเลขาธิการสภาทำหนังสือถึงฝ่ายค้านโดยอ้างว่าญัตติของฝ่ายค้านมีความบกพร่องนั้น เป็นการทำหน้าที่และใช้อำนาจไม่ถูกต้อง เพราะความบกพร่องในที่นี้ต้องมีลักษณะเป็นความบกพร่องในรูปแบบหรือมีฐานทางกฎหมายไม่ครบถ้วนในการที่จะเสนอญัตติได้ เช่น จำนวนผู้ลงชื่อเสนออภิปรายไม่ไว้วางใจมีไม่ครบ ขาดตกบกพร่อง หรือลายเซ็นผิดพลาด ลักษณะแบบนี้มันถึงจะเข้าเกณฑ์ว่าเป็นความบกพร่อง การใช้อำนาจมั่วซั่ว โดยถือว่าการระบุชื่อบุคคลภายนอกเป็นความบกพร่องนั้น เป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตไปมาก เชื่อว่าเจ้าหน้าที่สภาฯ รู้ดีว่าการใช้อำนาจแบบนี้เป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ แต่คงจะถูกกดดันหรือถูกสั่งให้ทำแบบนี้ เนื่องจากประธานสภาฯ รับงานมาและปกป้องนายใหญ่ จึงทำให้ทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดไม่ให้ฝ่ายค้านสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า
ประการที่สาม การใช้อำนาจของประธานสภาฯ ยังเลวร้ายไปอีก เมื่อพบว่าการทำหนังสือแจ้งดังกล่าวมาที่ฝ่ายค้าน กลับพบว่าขัดแย้งต่อข้อบังคับการประชุมข้อที่ 176 หากพบว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมีความบกพร่องจะต้องแจ้งต่อผู้เสนอภายใน 7 วัน ปรากฏว่าการแจ้งของประธานสภาฯ กลับเกินกำหนดไปแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าการใช้อำนาจนี้เป็นการใช้อำนาจที่ไม่สุจริต เพื่อหวังปกป้องบุคคลที่ตัวเองรับใช้เท่านั้น ประการสุดท้าย การเสนอญัตติที่มีการระบุชื่อบุคคลภายนอกไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำกันมาโดยตลอด มีหลากหลายญัตติที่มีการเอ่ยชื่อถึงบุคคลภายนอก ยอมรับกันมาตรงๆ ว่าปัญหาของเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องความบกพร่องอะไร เพียงแต่คงจะมีบางคนไม่พอใจที่ฝ่ายค้านเอ่ยชื่อแบบนี้ใช่หรือไม่
“เราควรจะเห็นการทำหน้าที่ของผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ควรทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสภาฯ ยึดถือกฎเกณฑ์เป็นที่ตั้ง วางตัวเป็นกลางให้สมกับบทบาทของประธานสภาฯ แต่นี่มิใช่เลย กลับทำตัวเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลชัดเจนไม่มีความเหมาะสมของการเป็นประธานจริงๆ นี่จะหนีการตรวจสอบของสภาด้วยวิธีนี้จริงๆ หรือ” นายรังสิมันต์ กล่าว
https://www.facebook.com/rangsimanrome/posts/pfbid04KJBCgzULn7hS5XfYJuX2Lf2wQqZfGcH9YktVaZFnWH9EiKDPu26xhLX6wjkYcg2l
วันนอร์ ลั่นถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติซักฟอก ตัดชื่อ ทักษิณ ออก ก็ไม่บรรจุวาระ ยันต้องทำตามข้อบังคับ.
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9665571
วันนอร์ ลั่นถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติซักฟอก ตัดชื่อ ทักษิณ ออก ก็ไม่บรรจุวาระ ยันต้องทำตามข้อบังคับ หากบรรจุไป ประธานโดนฟ้องคนแรก
เมื่อวันที่ 8 มี.ค.68 นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยืนยันไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร นายกมนตรี ว่า ตนบอกให้ฝ่ายค้านไปแก้ไขญัตติมา โดยให้ตัดชื่อนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะเป็นบุคคลภายนอก เพราะหากบรรจุญัตติไปแล้วจะมีปัญหาเรื่องฟ้องร้องกัน ฉะนั้นจึงให้ไปแก้ไข แต่ฝ่ายค้านกำลังจะอุทธรณ์ว่าเขาไม่แก้ ดังนั้นถ้าเขาไม่แก้ ประธานซึ่งมีอำนาจหน้าที่บรรจุระเบียบวาระ เมื่อเขาไม่เราก็ไม่บรรจุระเบียบวาระ
“
ดังนั้นถ้าเขาอยากจะอภิปรายเขาก็ต้องแก้ญัตติ ถ้าเขาไม่แก้เราก็ไม่บรรจุ ซึ่งผมก็ต้องดำเนินการไปตามข้อบังคับ” นาย
วันมูหะมัดนอร์กล่าว
เมื่อถามย้ำว่าถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติก็ไม่สามารถบรรจุในระเบียบวาระได้ใช่หรือไม่ ประธานสภาฯกล่าวว่า ถ้าเราบรรจุวาระไปก็จะผิดในเรื่องของการดูแลความเรียบร้อยหากเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา และตามข้อบังคับ ระบุชัดเจนว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แค่กล่าวเขาก็ห้ามแล้ว แต่นี่เขียนลงไปในญัตติ ก็ยิ่งหนักกว่าการกล่าว เพราะการกล่าวถึงเราบอกให้ถอนได้ แต่เขียนในญัตติถ้าอนุมัติไปเขาก็ถอนไม่ได้แล้ว
“
ผมจึงเรียกผู้นำฝ่ายค้านฯเข้ามาคุยแล้ว และให้เอาญัตติกลับไปแก้ โดยผู้นำฝ่ายค้านฯ บอกขอกลับไปปรึกษาก่อน เมื่อเขาออกไปแล้ว ผมเลยให้สภาฯแจ้งไปว่า ขอให้มาแก้ในเรื่องที่มีชื่อบุคคลภายนอก เพราะผิดข้อบังคับ” ประธานสภาฯ ย้ำ
เมื่อถามว่า หากฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ญัตติมีโอกาสที่จะคุยกับฝ่ายค้านอีกหรือไม่เพื่อตกลงกัน นาย
วันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยังมีเวลา โดยต้องรอดูว่าฝ่ายค้านยื่นอุทธรณ์ในประเด็นอะไรบ้าง ฟังคำสัมภาษณ์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเห็นหนังสือที่อุทธรณ์มาก่อนว่าเขาอุทธรณ์ประเด็นไหน และมีประเด็นไหนที่เราจะต้องคุยกัน ซึ่งต้องเชิญเลขาธิการสภาฯ และฝ่ายกฎหมายมาคุย เข้าใจน่าจะเป็นวันที่ 10 มี.ค.หรือ 11 ม.ค.หรือสัปดาห์หน้า ฝ่ายค้านคงจะยื่นคำอุทธรณ์มา ซึ่งฝ่ายค้านจะยื่นเป็นหนังสือหรือมาแจ้งก็ได้ แล้วแต่เขา เราก็พร้อมที่จะดำเนินการเพื่อให้การประชุมเกิดความเรียบร้อยและไม่ผิดข้อบังคับ
ส่วนเรื่องวันอภิปรายฯที่ฝ่ายค้านขอมา 5 วันนั้น ประธานสภาฯ กล่าวว่า เรื่องเวลาก็ต้องคุยกันในวิป 3 ฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และผู้แทนของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งตนได้มอบหมายให้นาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง เชิญหารือเมื่อมีการบรรจุญัตติ และตนก็ต้องส่งญัตติที่ได้รับการแก้ไขแล้วไปให้ ครม.รับทราบ
เมื่อถามว่ามองความเหมาะสมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯคนเดียวควรใช้เวลากี่วัน นาย
วันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถจะบอกได้ เพราะต้องมีการคบกันว่าเวลาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม เพราะตั้งแต่ 1-5 วัน ซึ่งก็แล้วแต่ความเหมาะสมที่สามารถคุยกันได้
ประธานสภาฯ กล่าวย้ำว่า ต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้การประชุมดำเนินไปได้ และให้เกิดความเรียบร้อยไม่ผิดข้อบังคับ ที่จะเกิดการฟ้องร้อง ถ้าประธานเป็นคนสั่งบรรจุและมีชื่อบุคคลภายนอกนั้นอยู่ ถ้าเขาพิจารณาฟ้องร้อง ก็ต้องฟ้องประธานเป็นคนแรก เพราะเป็นผู้บรรจุ และฟ้องผู้เสนอญัตติเป็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อไปซึ่งไม่ควรจะมี
“สส.เซีย” ร้องสอบบริษัทลอยแพลูกจ้างคนพิการ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_852007/
สส.เซีย ปชน. ร้องกรมสวัสดิการฯ ชลบุรี ตรวจสอบบริษัทลอยแพลูกจ้างคนพิการโดยไม่จ่ายเงินชดเชย
นาย
เซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน นำกลุ่มลูกจ้างของบริษัท แบซินี่ โปรดักชั่น จำกัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้พิการ ไปร้องเรียนที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เนื่องจากบริษัทประกาศเลิกจ้างพนักงาน 48 คน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม โดย ไม่จ่ายค่าชดเชย ตามกฎหมาย
จากข้อมูลของลูกจ้าง พบว่า บริษัทมีการละเมิดสิทธิแรงงานหลายประการ เช่น ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดพักผ่อนประจำปี การให้ทำงานล่วงเวลาแต่ไม่จ่ายค่าตอบแทน ทั้งนี้ นายจ้างอ้างว่า บริษัทถูกยักยอกเงินจนไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย แต่จะให้พนักงานนำ คอมพิวเตอร์ โต๊ะ และเก้าอี้ไปแทนค่าชดเชย แม้ว่าทางสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีจะลงพื้นที่ตรวจสอบ แต่ยัง ไม่มีคำสั่งบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชย ต่อมา นายเซียจึงพาลูกจ้างไปร้องเรียนอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้มีการบังคับนายจ้างให้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
นาย
เซีย ตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของนายจ้างและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเรียกร้องให้สังคมติดตามว่ากระทรวงแรงงานจะดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบอย่างไร
ไอเดียสุดอึ้ง แก้ข้าวตกต่ำ… ว่าแต่เขา ..อิเหนาเป็นเอง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_851973/
กลายเป็นเรื่องจนได้ เมื่อ “พิชัย นริพทะพันธ์” ตอบกระทู้ถามกลางสภา ผุดไอเดียใหม่ ช่วยชาวนาแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยเสนอให้เปลี่ยนจากปลูกข้าว หันไปปลูกกล้วยแทน
โดยอ้างมีตลาดญี่ปุ่นรองรับ จนสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มชาวนาเป็นอย่างมาก บางคนถามแรง “
รัฐมนตรีพิชัย” ใช้อะไรคิด จนต้องออกมาแก้ตัวอีกรอบว่า แค่พูดไว้เป็นทางเลือก ยืนยันรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือชาวนา แต่จะไม่กลับไปใช้รูปแบบประกันราคาเด็ดขาด จึงต้องติดตามกันต่อไป ว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไรบ้าง
หลังออกมาตรการช่วยเหลือไปแล้ว1 รอบ แต่ไม่โดนใจ ชาวนายังโอดครวญ จ่อก่อม็อบใหญ่มาทำเนียบรัฐบาลอีก เพื่อกดดันให้ช่วยเหลือเพิ่ม งานนี้ต้องบอกว่า รัฐมนตรี “
พิชัย” เสียรังวัด เสียราคาไปพอสมควร เพราะเมื่อครั้งเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน “
เสี่ยแดง” เป็นตัวเอกในการโจมตี “
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อนแบบสาดเสียเทเสียอยู่เป็นประจำ อาทิ “
ไทยโชคร้ายมีผู้นำไร้ความสามารถ”,
“บิ๊กตู่” เป็นผู้นำขาดความรู้ที่จะรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน,”ประยุทธ์” ยิ่งบริหารยิ่งล้มเหลว แต่เมื่อตัวเองได้กลับมาเป็นรัฐบาล ได้โอกาสรับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ที่ต้องแก้ปัญหาปากท้อง
ของแพง สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ กลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง แทบทำอะไรไม่ได้เลย ถูกส.ส.เพื่อไทย ตำหนิกลางที่ประชุม สส. และ กลางสภา แถมยังเสนอไอเดียที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ จนกลายเป็นคอนเทนต์ให้ชาวโซเชียลขบขัน ก็อาจเข้าตำรา “
ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”
ย้อนกลับไปสมัยพล.อ.
ประยุทธ์ เมื่อครั้งยังเป็นรัฐบาล คสช. “
บิ๊กตู่” เคยมีไอเดีย แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เมื่อเดือน ก.ค.2558 ว่า ให้ปลูกพืชสมุนไพร
แทนปลูกข้าว โดยระบุ เราขายหมามุ่ยให้อินเดีย ก.ก.ละ 800 ก็ให้ปลูกหมามุ่ยแทนข้าวไปเลย แก้ปัญหาราคาตกต่ำ ซึ่งก็โดนต่อต้านและถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง เท่านั้นยังไม่พอเดือน ก.ย. 2562 เมื่อครั้งไปเยี่ยมน้ำท่วมพิษณุโลก ก็ผุดไอเดียอีกรอบ ก็ทำให้ชาวนาอึ้งไปเหมือนกัน โดยระบุ ทำนาแล้วไม่ได้ข้าว น้ำท่วมบ่อย ก็เปลี่ยนเป็นทำประมงแทนละกัน
แต่พอเข้าสู่ยุคหลัง เป็นนายกฯมาจากการเลือกตั้ง พล.อ.
ประยุทธ์ ใช้บริการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคร่วมรัฐบาล มี “
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ก็นำนโยบายประกันรายได้มาใช้ กับพืชเกษตร 5 ชนิด ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม และข้าวโพด จึงทำให้ช่วงหลังไม่ค่อยมีปัญหาราคาตกต่ำมากวนใจรัฐบาล จนถึงขั้นมีม็อบมาเยือนแต่อย่างใด
JJNY : 5in1 “โรม”ถอนหงอก“วันนอร์”│วันนอร์ลั่นไม่แก้ก็ไม่บรรจุ│สส.เซียร้องสอบ บ.│ไอเดียแก้ข้าวตกต่ำ│นักวิทย์โวยรบ.ทรัมป์
https://www.thairath.co.th/news/politic/2845946
“รังสิมันต์ โรม” อัด “วันนอร์” รับงานมา ปกป้องนายใหญ่ สกัดฝ่ายค้าน ไม่ให้ตรวจสอบรัฐบาล ใช้อำนาจไม่สุจริต เอนเอียง ไม่สมกับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสภาฯ
วันที่ 8 มี.ค. 2568 นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า
การที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สั่งให้ฝ่ายค้านแก้ญัตติเอาชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ออก คือการใช้อำนาจเอื้อพวกพ้อง และหวังสกัดฝ่ายค้าน ไม่ให้ตรวจสอบรัฐบาล เป็นการใช้อำนาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประการแรก ในเรื่องของการเขียนญัตติไม่ว่าจะเป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือญัตติอื่นทั่วๆ ไป ไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับใดของสภาฯ ที่ห้ามการเอ่ยถึงบุคคลภายนอก การเอ่ยถึงบุคคลภายนอกทำได้ โดยที่ข้อบังคับของสภาฯ ระบุเพียงว่าห้ามเอ่ยถึงชื่อบุคคลใดโดยไม่จำเป็น ซึ่งในกรณีนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่านายทักษิณเป็นที่สงสัยว่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับการบริหารบ้านเมือง ทิศทางของประเทศหลายเรื่อง เราได้ยินจากปากอดีตนายกฯ ไม่ใช่จากนายกฯ วันนี้คนรอฟังจากนายกฯ ผู้พ่อ ไม่ใช่ผู้ลูก ดังนั้น ถ้าห้ามฝ่ายค้านเขียนญัตติโดยระบุชื่อนายทักษิณ ไม่ต่างอะไรกับการที่ประธานสภาฯ ใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อกลั่นแกล้งฝ่ายค้านให้ทำหน้าที่อย่างไม่เต็มที่
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ประการที่สอง การที่ประธานสภาฯ ให้รองเลขาธิการสภาฯ รักษาการแทนเลขาธิการสภาทำหนังสือถึงฝ่ายค้านโดยอ้างว่าญัตติของฝ่ายค้านมีความบกพร่องนั้น เป็นการทำหน้าที่และใช้อำนาจไม่ถูกต้อง เพราะความบกพร่องในที่นี้ต้องมีลักษณะเป็นความบกพร่องในรูปแบบหรือมีฐานทางกฎหมายไม่ครบถ้วนในการที่จะเสนอญัตติได้ เช่น จำนวนผู้ลงชื่อเสนออภิปรายไม่ไว้วางใจมีไม่ครบ ขาดตกบกพร่อง หรือลายเซ็นผิดพลาด ลักษณะแบบนี้มันถึงจะเข้าเกณฑ์ว่าเป็นความบกพร่อง การใช้อำนาจมั่วซั่ว โดยถือว่าการระบุชื่อบุคคลภายนอกเป็นความบกพร่องนั้น เป็นการใช้อำนาจที่เกินขอบเขตไปมาก เชื่อว่าเจ้าหน้าที่สภาฯ รู้ดีว่าการใช้อำนาจแบบนี้เป็นการใช้อำนาจที่ไม่ชอบ แต่คงจะถูกกดดันหรือถูกสั่งให้ทำแบบนี้ เนื่องจากประธานสภาฯ รับงานมาและปกป้องนายใหญ่ จึงทำให้ทำทุกวิถีทางเพื่อสกัดไม่ให้ฝ่ายค้านสามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ประการที่สาม การใช้อำนาจของประธานสภาฯ ยังเลวร้ายไปอีก เมื่อพบว่าการทำหนังสือแจ้งดังกล่าวมาที่ฝ่ายค้าน กลับพบว่าขัดแย้งต่อข้อบังคับการประชุมข้อที่ 176 หากพบว่าญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมีความบกพร่องจะต้องแจ้งต่อผู้เสนอภายใน 7 วัน ปรากฏว่าการแจ้งของประธานสภาฯ กลับเกินกำหนดไปแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าการใช้อำนาจนี้เป็นการใช้อำนาจที่ไม่สุจริต เพื่อหวังปกป้องบุคคลที่ตัวเองรับใช้เท่านั้น ประการสุดท้าย การเสนอญัตติที่มีการระบุชื่อบุคคลภายนอกไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องที่ทำกันมาโดยตลอด มีหลากหลายญัตติที่มีการเอ่ยชื่อถึงบุคคลภายนอก ยอมรับกันมาตรงๆ ว่าปัญหาของเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องความบกพร่องอะไร เพียงแต่คงจะมีบางคนไม่พอใจที่ฝ่ายค้านเอ่ยชื่อแบบนี้ใช่หรือไม่
“เราควรจะเห็นการทำหน้าที่ของผู้อาวุโสที่ผ่านร้อนผ่านหนาว ควรทำหน้าที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในสภาฯ ยึดถือกฎเกณฑ์เป็นที่ตั้ง วางตัวเป็นกลางให้สมกับบทบาทของประธานสภาฯ แต่นี่มิใช่เลย กลับทำตัวเอนเอียงเข้าข้างฝ่ายรัฐบาลชัดเจนไม่มีความเหมาะสมของการเป็นประธานจริงๆ นี่จะหนีการตรวจสอบของสภาด้วยวิธีนี้จริงๆ หรือ” นายรังสิมันต์ กล่าว
https://www.facebook.com/rangsimanrome/posts/pfbid04KJBCgzULn7hS5XfYJuX2Lf2wQqZfGcH9YktVaZFnWH9EiKDPu26xhLX6wjkYcg2l
วันนอร์ ลั่นถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติซักฟอก ตัดชื่อ ทักษิณ ออก ก็ไม่บรรจุวาระ ยันต้องทำตามข้อบังคับ.
https://www.khaosod.co.th/politics/news_9665571
วันนอร์ ลั่นถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติซักฟอก ตัดชื่อ ทักษิณ ออก ก็ไม่บรรจุวาระ ยันต้องทำตามข้อบังคับ หากบรรจุไป ประธานโดนฟ้องคนแรก
เมื่อวันที่ 8 มี.ค.68 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านยืนยันไม่แก้ไขญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกมนตรี ว่า ตนบอกให้ฝ่ายค้านไปแก้ไขญัตติมา โดยให้ตัดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะเป็นบุคคลภายนอก เพราะหากบรรจุญัตติไปแล้วจะมีปัญหาเรื่องฟ้องร้องกัน ฉะนั้นจึงให้ไปแก้ไข แต่ฝ่ายค้านกำลังจะอุทธรณ์ว่าเขาไม่แก้ ดังนั้นถ้าเขาไม่แก้ ประธานซึ่งมีอำนาจหน้าที่บรรจุระเบียบวาระ เมื่อเขาไม่เราก็ไม่บรรจุระเบียบวาระ
“ดังนั้นถ้าเขาอยากจะอภิปรายเขาก็ต้องแก้ญัตติ ถ้าเขาไม่แก้เราก็ไม่บรรจุ ซึ่งผมก็ต้องดำเนินการไปตามข้อบังคับ” นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว
เมื่อถามย้ำว่าถ้าฝ่ายค้านไม่แก้ญัตติก็ไม่สามารถบรรจุในระเบียบวาระได้ใช่หรือไม่ ประธานสภาฯกล่าวว่า ถ้าเราบรรจุวาระไปก็จะผิดในเรื่องของการดูแลความเรียบร้อยหากเกิดการฟ้องร้องขึ้นมา และตามข้อบังคับ ระบุชัดเจนว่าห้ามกล่าวถึงบุคคลภายนอกโดยไม่จำเป็น แค่กล่าวเขาก็ห้ามแล้ว แต่นี่เขียนลงไปในญัตติ ก็ยิ่งหนักกว่าการกล่าว เพราะการกล่าวถึงเราบอกให้ถอนได้ แต่เขียนในญัตติถ้าอนุมัติไปเขาก็ถอนไม่ได้แล้ว
“ผมจึงเรียกผู้นำฝ่ายค้านฯเข้ามาคุยแล้ว และให้เอาญัตติกลับไปแก้ โดยผู้นำฝ่ายค้านฯ บอกขอกลับไปปรึกษาก่อน เมื่อเขาออกไปแล้ว ผมเลยให้สภาฯแจ้งไปว่า ขอให้มาแก้ในเรื่องที่มีชื่อบุคคลภายนอก เพราะผิดข้อบังคับ” ประธานสภาฯ ย้ำ
เมื่อถามว่า หากฝ่ายค้านไม่ยอมแก้ญัตติมีโอกาสที่จะคุยกับฝ่ายค้านอีกหรือไม่เพื่อตกลงกัน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ยังมีเวลา โดยต้องรอดูว่าฝ่ายค้านยื่นอุทธรณ์ในประเด็นอะไรบ้าง ฟังคำสัมภาษณ์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเห็นหนังสือที่อุทธรณ์มาก่อนว่าเขาอุทธรณ์ประเด็นไหน และมีประเด็นไหนที่เราจะต้องคุยกัน ซึ่งต้องเชิญเลขาธิการสภาฯ และฝ่ายกฎหมายมาคุย เข้าใจน่าจะเป็นวันที่ 10 มี.ค.หรือ 11 ม.ค.หรือสัปดาห์หน้า ฝ่ายค้านคงจะยื่นคำอุทธรณ์มา ซึ่งฝ่ายค้านจะยื่นเป็นหนังสือหรือมาแจ้งก็ได้ แล้วแต่เขา เราก็พร้อมที่จะดำเนินการเพื่อให้การประชุมเกิดความเรียบร้อยและไม่ผิดข้อบังคับ
ส่วนเรื่องวันอภิปรายฯที่ฝ่ายค้านขอมา 5 วันนั้น ประธานสภาฯ กล่าวว่า เรื่องเวลาก็ต้องคุยกันในวิป 3 ฝ่าย ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และผู้แทนของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งตนได้มอบหมายให้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่หนึ่ง เชิญหารือเมื่อมีการบรรจุญัตติ และตนก็ต้องส่งญัตติที่ได้รับการแก้ไขแล้วไปให้ ครม.รับทราบ
เมื่อถามว่ามองความเหมาะสมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯคนเดียวควรใช้เวลากี่วัน นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า ตนไม่สามารถจะบอกได้ เพราะต้องมีการคบกันว่าเวลาเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม เพราะตั้งแต่ 1-5 วัน ซึ่งก็แล้วแต่ความเหมาะสมที่สามารถคุยกันได้
ประธานสภาฯ กล่าวย้ำว่า ต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้การประชุมดำเนินไปได้ และให้เกิดความเรียบร้อยไม่ผิดข้อบังคับ ที่จะเกิดการฟ้องร้อง ถ้าประธานเป็นคนสั่งบรรจุและมีชื่อบุคคลภายนอกนั้นอยู่ ถ้าเขาพิจารณาฟ้องร้อง ก็ต้องฟ้องประธานเป็นคนแรก เพราะเป็นผู้บรรจุ และฟ้องผู้เสนอญัตติเป็นจำเลยที่ 2 ที่ 3 ต่อไปซึ่งไม่ควรจะมี
“สส.เซีย” ร้องสอบบริษัทลอยแพลูกจ้างคนพิการ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_852007/
สส.เซีย ปชน. ร้องกรมสวัสดิการฯ ชลบุรี ตรวจสอบบริษัทลอยแพลูกจ้างคนพิการโดยไม่จ่ายเงินชดเชย
นายเซีย จำปาทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน นำกลุ่มลูกจ้างของบริษัท แบซินี่ โปรดักชั่น จำกัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้พิการ ไปร้องเรียนที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรี เนื่องจากบริษัทประกาศเลิกจ้างพนักงาน 48 คน ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม โดย ไม่จ่ายค่าชดเชย ตามกฎหมาย
จากข้อมูลของลูกจ้าง พบว่า บริษัทมีการละเมิดสิทธิแรงงานหลายประการ เช่น ไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์และวันหยุดพักผ่อนประจำปี การให้ทำงานล่วงเวลาแต่ไม่จ่ายค่าตอบแทน ทั้งนี้ นายจ้างอ้างว่า บริษัทถูกยักยอกเงินจนไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชย แต่จะให้พนักงานนำ คอมพิวเตอร์ โต๊ะ และเก้าอี้ไปแทนค่าชดเชย แม้ว่าทางสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดชลบุรีจะลงพื้นที่ตรวจสอบ แต่ยัง ไม่มีคำสั่งบังคับให้นายจ้างจ่ายเงินชดเชย ต่อมา นายเซียจึงพาลูกจ้างไปร้องเรียนอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องให้มีการบังคับนายจ้างให้จ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย
นายเซีย ตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบของนายจ้างและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมเรียกร้องให้สังคมติดตามว่ากระทรวงแรงงานจะดำเนินการช่วยเหลือลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบอย่างไร
ไอเดียสุดอึ้ง แก้ข้าวตกต่ำ… ว่าแต่เขา ..อิเหนาเป็นเอง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_851973/
กลายเป็นเรื่องจนได้ เมื่อ “พิชัย นริพทะพันธ์” ตอบกระทู้ถามกลางสภา ผุดไอเดียใหม่ ช่วยชาวนาแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยเสนอให้เปลี่ยนจากปลูกข้าว หันไปปลูกกล้วยแทน
โดยอ้างมีตลาดญี่ปุ่นรองรับ จนสร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มชาวนาเป็นอย่างมาก บางคนถามแรง “รัฐมนตรีพิชัย” ใช้อะไรคิด จนต้องออกมาแก้ตัวอีกรอบว่า แค่พูดไว้เป็นทางเลือก ยืนยันรัฐบาลพร้อมช่วยเหลือชาวนา แต่จะไม่กลับไปใช้รูปแบบประกันราคาเด็ดขาด จึงต้องติดตามกันต่อไป ว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างไรบ้าง
หลังออกมาตรการช่วยเหลือไปแล้ว1 รอบ แต่ไม่โดนใจ ชาวนายังโอดครวญ จ่อก่อม็อบใหญ่มาทำเนียบรัฐบาลอีก เพื่อกดดันให้ช่วยเหลือเพิ่ม งานนี้ต้องบอกว่า รัฐมนตรี “พิชัย” เสียรังวัด เสียราคาไปพอสมควร เพราะเมื่อครั้งเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้าน “เสี่ยแดง” เป็นตัวเอกในการโจมตี “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลก่อนแบบสาดเสียเทเสียอยู่เป็นประจำ อาทิ “ไทยโชคร้ายมีผู้นำไร้ความสามารถ”,“บิ๊กตู่” เป็นผู้นำขาดความรู้ที่จะรับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน,”ประยุทธ์” ยิ่งบริหารยิ่งล้มเหลว แต่เมื่อตัวเองได้กลับมาเป็นรัฐบาล ได้โอกาสรับตำแหน่งรัฐมนตรีพาณิชย์ ที่ต้องแก้ปัญหาปากท้อง
ของแพง สินค้าเกษตรราคาตกต่ำ กลับทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง แทบทำอะไรไม่ได้เลย ถูกส.ส.เพื่อไทย ตำหนิกลางที่ประชุม สส. และ กลางสภา แถมยังเสนอไอเดียที่ไม่เข้าท่าเท่าไหร่ จนกลายเป็นคอนเทนต์ให้ชาวโซเชียลขบขัน ก็อาจเข้าตำรา “ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง”
ย้อนกลับไปสมัยพล.อ.ประยุทธ์ เมื่อครั้งยังเป็นรัฐบาล คสช. “บิ๊กตู่” เคยมีไอเดีย แก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เมื่อเดือน ก.ค.2558 ว่า ให้ปลูกพืชสมุนไพร
แทนปลูกข้าว โดยระบุ เราขายหมามุ่ยให้อินเดีย ก.ก.ละ 800 ก็ให้ปลูกหมามุ่ยแทนข้าวไปเลย แก้ปัญหาราคาตกต่ำ ซึ่งก็โดนต่อต้านและถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง เท่านั้นยังไม่พอเดือน ก.ย. 2562 เมื่อครั้งไปเยี่ยมน้ำท่วมพิษณุโลก ก็ผุดไอเดียอีกรอบ ก็ทำให้ชาวนาอึ้งไปเหมือนกัน โดยระบุ ทำนาแล้วไม่ได้ข้าว น้ำท่วมบ่อย ก็เปลี่ยนเป็นทำประมงแทนละกัน
แต่พอเข้าสู่ยุคหลัง เป็นนายกฯมาจากการเลือกตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ ใช้บริการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคร่วมรัฐบาล มี “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” เป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ ก็นำนโยบายประกันรายได้มาใช้ กับพืชเกษตร 5 ชนิด ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์ม และข้าวโพด จึงทำให้ช่วงหลังไม่ค่อยมีปัญหาราคาตกต่ำมากวนใจรัฐบาล จนถึงขั้นมีม็อบมาเยือนแต่อย่างใด