JJNY : 6in1 ถึงคิวพริกตกต่ำ│ชาวนาเร่งแก้ราคาข้าว│จี้กู้วิกฤต│เท้งอัดวันนอร์│ลำน้ำเค็มแห้งขอด│ฝรั่งเศสเตรียมช่วยยูเครน

ถึงคิวพริก ตกต่ำเหลือโลละ 4 บาท ชาวสวน ร้องช่วยด่วน
https://www.matichon.co.th/economy/news_5085132



ถึงคิวพริก ตกต่ำเหลือโลละ 4 บาท ชาวสวนร้องช่วยด่วน

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรผู้ปลูกพริก ใน อ.ท่าวังผา จ.น่าน ว่า ขณะนี้ผลผลิตพริกได้ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยราคาจำหน่ายหน้าสวนขณะนี้ ตกลงมาเหลือแค่กิโลกรัม (กก.) ละ 4 บาท จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วราคาอยู่ที่ กก.ละ 20-60 บาท สูงสุด 80 บาท ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก และได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือโดยด่วน

ทั้งนี้ เกษตรกรได้แจ้งปัญหาไปยังสำนักงานเกษตรอำเภอท่าวังผา และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดน่านแล้ว แต่การช่วยเหลือยังล่าช้ามาก ทั้ง ๆ ที่ผลผลิตได้ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ทำให้พริกเน่าเสียและตกค้างเป็นจำนวนมาก หากไม่เร่งขาย ก็จะเสียหาย แต่เมื่อขาย ก็ถูกกดราคาต่อเนื่อง โดยเกษตรกรได้หาทางช่วยตัวเอง ด้วยการนำพริกไปอบแห้ง โดยเสียค่าอบ กก.ละ 3 บาท เพราะรอภาครัฐช่วยเหลือไม่ไหว

ล่าสุด สภาเกษตรกรจังหวัดน่าน โดยนายพงศกร พุฒตรง ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดน่าน ร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดน่าน และสำนักงานเกษตรอำเภอท่าวังผา จัดเวทีรับฟังปัญหา และหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคาพริกตกต่ำให้กับเกษตรกรแล้ว แต่ราคาก็ยังไม่ปรับตัวสูงขึ้น




ชาวนา ร้อง รบ.เร่งแก้ราคาข้าวตกต่ำด่วน ล่าสุดเหลือแค่ 6 บาท/กก. สวนทางต้นทุนพุ่ง
https://www.matichon.co.th/region/news_5084519

ชาวนา ร้อง รบ.เร่งแก้ราคาข้าวตกต่ำด่วน ล่าสุดเหลือแค่ 6 บาท/กก. สวนทางต้นทุนพุ่ง

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจพื้นที่นาปรัง ในอำเภอสีคิ้ว หลังจากจังหวัดนครราชสีมาหลังจากได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อนทำให้มีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยพื้นที่นาปรังของ นางอรพรรณ ม่วงจันทึก อายุ 58 ปี บ้านน้ำเมาหมู่ 6 ตำบลลาดบัวขาว อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ที่ปลูกข้าวนาปรังไว้กว่า 5 ไร่ นั้นรับอานิสงส์จากฝนที่ตกลงมาจนทำให้ข้าวที่เกือบจะยืนต้นตายนั้นได้น้ำฝนมาหล่อเลี้ยงจนฟื้นกลับมาได้

อย่างไรก็ตามความกังวลของชาวนานั้นไม่ได้มีเพียงน้ำที่ใช้ทำนาเพียงอย่างเดียว สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่างก็คือราคาข้าวนาปรังที่กำลังตกต่ำทำให้เกษตรกรที่ปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาที่ยังไม่ถึงเวลาเก็บเกี่ยวนั้นรู้สึกกังวลกลัวจะขายข้าวไม่ได้ราคา

โดยทางนางอรพรรณฯ บอกว่า ถึงแม้ฝนที่ตกลงมานั้นจะทำให้ข้าวที่ปลูกไว้ฟื้นกลับมาอีกครั้ง แต่ราคาข้าวนาปรังตอนนี้อยู่ที่กิโลกรัมละ 6 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำมาก แต่สวนทางกับต้นทุนที่สูงขึ้นทั้งค่าปุ๋ย ยาฆ่าแมลง จึงอยากวอนรัฐบาลให้ช่วยเหลือด้วยการปรับราคาการรับซื้อข้าวนาปรังให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 10 บาท ก็จะสามารถช่วยเหลือชาวนาได้เป็นยอ่างดี




สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชง 3 แนวทางเร่งด่วน จี้รัฐกู้วิกฤต สินค้าราคาถูกตีตลาด
https://www.matichon.co.th/economy/news_5084896

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชง 3 แนวทางเร่งด่วน จี้รัฐกู้วิกฤต สินค้าราคาถูกตีตลาด

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า สินค้าต่างชาติเข้าตีตลาดไทยอย่างรวดเร็ว และอาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะรายย่อยและธุรกิจท้องถิ่น ได้รับผลกระทบหนักจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยปัญหาหลักประกอบด้วย สินค้านำเข้าราคาต่ำ ที่ไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้ธุรกิจไทยแข่งขันลำบาก การใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย เปิดทางให้มีการใช้นอมินีดำเนินธุรกิจสีเทา การทำตลาดแบบ B2C ของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามชาติ ซึ่งกฎหมายไทยยังควบคุมได้ไม่ทั่วถึง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยเสียส่วนแบ่งตลาดและหลายธุรกิจต้องปิดตัวลง

นายณัฐกล่าวว่า ผลกระทบไม่ได้จำกัดเพียงผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีกว่า 3.3 ล้านราย โดยเป็นภาคค้าปลีกและบริการถึง 2.8 ล้านรายหรือเกือบ 90% แต่ผู้บริโภคไทยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงเช่นกัน เพราะสินค้านำเข้าหลายรายการไม่มีมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัย อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง และสินค้าไม่ได้มาตรฐานคุณภาพ หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากภาษาไทย ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายให้ธุรกิจไทย ยังส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค หากปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป ไม่เพียงแต่ธุรกิจค้าปลีกไทยจะถูกบีบให้ลดขนาดหรือปิดตัวลง แต่ยังอาจกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

นายณัฐกล่าวว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทยจึงเสนอแนะ 3 แนวทางเร่งด่วน เพื่อสร้างสมดุลทางการแข่งขันและปกป้องเศรษฐกิจไทย ได้แก่

1. คุมเข้มคุณภาพสินค้านำเข้า ปกป้องผู้บริโภคไทย สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศจำนวนมากอาจมีคุณภาพต่ำ ไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคโดยตรง อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอางตกมาตรฐาน โดยเฉพาะไม่มีฉลากภาษาไทยภาครัฐควรปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบันและเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าตั้งแต่ต้นทาง เช่น กรมศุลกากรเปลี่ยนจากระบบสุ่มตรวจเป็นการตรวจสอบ 100% เพิ่มการใช้เทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพในการตรวจสอบให้แม่นยำปิดช่องโหว่ทางกฎหมายเกี่ยวกับการทุ่มตลาด เช่น การควบคุมราคาขั้นต่ำสำหรับสินค้านำเข้า ที่ต้องแสดงต้นทุนที่แท้จริง เพื่อป้องกันการขายตัดราคา และเร่งเครื่องบทบาทภาครัฐ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ควรเข้มงวดกฎหมายการแข่งขันทางการค้าในกรณีตั้งราคาสินค้าต่ำกว่าทุน และปรับปรุงกฎให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น

2. ปรับโครงสร้างภาษีให้เป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขัน โดยการจัดเก็บภาษีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างเท่าเทียม เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการและผลประโยชน์ของผู้บริโภคและประเทศชาติในระยะยาว

3. แก้ปัญหานอมินี ปิดช่องโหว่ธุรกิจต่างชาติ ควรมีมาตรการตรวจสอบการจัดตั้งบริษัทที่อาจสวมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติ เพื่อป้องกันการเลี่ยงกฎหมายธุรกิจต่างด้าว ซึ่งกำหนดให้ชาวต่างชาติต้องมีหุ้นส่วนคนไทยไม่น้อยกว่า 51% โดยธุรกิจที่เสี่ยงต่อการใช้ช่องโหว่นี้ เช่น ร้านอาหาร, ซูเปอร์มาร์เก็ต ทั้งนี้เพื่อให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าประเทศไทย กำหนดมาตรฐานการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ เช่น มีการจ้างแรงงานไทยในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อลดอัตราการว่างงานของคนไทย กำหนดพื้นที่หรือโซนสำหรับธุรกิจของชาวต่างชาติ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อว่าการปรับปรุงมาตรการทางการค้าและการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันอย่างเป็นธรรม จะช่วยเสริมสร้างความยั่งยืนให้กับภาคค้าปลีก ปกป้องผู้บริโภค และส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว”นายณัฐกล่าว




เท้ง ทำหนังสือด่วนที่สุด อัดวันนอร์ลุแก่อำนาจ ยืนยันไม่แก้-ญัตติถูกต้อง บี้บรรจุวาระซักฟอก
https://www.matichon.co.th/politics/news_5085365

“ณัฐพงษ์” ส่งหนังสือด่วนที่สุดโต้ “วันนอร์” ญัตติซักฟอกถูกต้องตาม รธน.-ข้อบังคับ อัด “ประธานสภา” ลุอำนาจแก้ไขเนื้อหาญัตติ ทั้งที่ รธน.ไม่อนุญาต ทำได้แค่ตรวจสอบข้อบกพร่องเชิงรูปแบบ-ข้อเท็จจริง ชี้ ข้อบังคับไม่ได้ห้ามเอ่ย “บุคคลภายนอก” แถมออกหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเกิน 7 วัน ตามเวลากำหนด จี้ เร่งบรรจุเข้าระเบียบวาระ โดยด่วน

เมื่อเวลา 15.08 น.วันที่ 10 มีนาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือถึง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อโต้แย้งหนังสือให้แก้ไขข้อบกพร่องญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และขอให้บรรจุญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเข้าการประชุมสภาผู้แทนเร็วที่สุด

โดยให้เหตุผล 3 ข้อดังนี้

1.ประธานสภาจะวินิจฉัยว่า เนื้อหาของญัตติดังกล่าวสมควรมีเนื้อหาอย่างไรมิได้ เนื่องจากบทบัญญัติดังกล่าว ไม่ได้ให้อำนาจประธานสภาใช้ดุลพินิจวินิจฉัย ว่าเนื้อหาสมควรเป็นประการใด สมควรจะได้รับการบรรจุในระเบียบวาระการประชุมเพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือคณะหรือไม่ หากแต่บทบัญญัติดังกล่าวกำหนดอำนาจผูกพันการใช้อำนาจของประธานสภา เปิดให้อภิปรายทั่วไปเพื่อลงญัตติไม่ไว้วางใจเท่านั้น

โดยประสงค์ให้มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัยถึงเนื้อหา หรือมีอำนาจวินิจฉัยว่าจะบรรจุวาระ รัฐธรรมนูญต้องบัญญัติถ้อยคำ ที่แสดงถึงอำนาจที่ใช้ดุลพินิจดังกล่าวอย่างชัดเจน ดังนั้น ประธานสภาใช้อำนาจโดยอ้างข้อบังคับการประชุมตีความในทางที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นการใช้ และตีความกฎหมายที่ลุแก่อำนาจ ที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมกำหนดไว้ ซึ่งส่งผลกระทบร้ายแรง และทำลายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการควบคุมตรวจสอบการบริหารแผ่นดินของฝ่ายบริหาร

2.ข้อบังคับการประชุมสภาไม่ได้ห้ามให้ระบุชื่อบุคคลภายนอกในเนื้อหาญัตติ ดังนั้น การระบุชื่อบุคคลภายนอกในญัตติของฝ่ายค้านที่ผ่านมา จึงไม่เป็นการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมสภาแต่อย่างใด ซึ่งในอดีตญัตติที่เสนอต่อประธานสภาหลายเรื่องก็มีการระบุชื่อของบุคคลภายนอก ซึ่งหากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีหรือ ส.ส. ได้รับความเสียหายจากการอภิปราย หรือการกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมสภา บุคคลนั้นมีสิทธิร้องขอต่อประธานสภาภายในเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่มีการประชุมเพื่อให้มีการโฆษณาคำชี้แจงได้ ตามข้อ 39 ของข้อบังคับการประชุม และรัฐธรรมนูญมาตรา 124 วรรค 3

ดังนั้น หากวิเคราะห์ตามเจตนารมณ์ของข้อบังคับการประชุมและรัฐธรรมนูญแล้ว เห็นว่าไม่ได้ห้ามการอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลอื่น หรือบุคคลภายนอก ตรงกันข้ามยังตีความเจตนาได้ว่าการอภิปรายถึงบุคคลอื่นสามารถกระทำได้ เพียงแต่ ส.ส.ผู้อภิปรายนั้นจะต้องรับผิดชอบผลแห่งการกระทำเอง และประธานสภาจัดให้มีการโฆษณาชี้แจงตามที่บุคคลนั้นร้องขอ ตามวิธีการและระยะเวลาภายในกำหนด

และ 3.ข้อบังคับการประชุม ข้อที่ 136 กำหนดให้ประธานสภา เมื่อได้รับญัตติดังกล่าวแล้วให้ทำการตรวจสอบหากมีข้อบกพร่อง ให้แจ้งผู้เสนอทราบภายในเจ็ดวันนับตั้งแต่วันที่ได้รับญัตติซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 7 มีนาคม 2568 แจ้งถึงผลการพิจารณาญัตติของประธานสภา เห็นได้ว่าการแจ้งข้อบกพร่องดังกล่าวไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด จึงเป็นการแจ้งข้อบกพร่องที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภา เพราะประธานสภาได้รับญัตติของฝ่ายค้านเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 แต่กลับมีหนังสือแจ้งข้อบกพร่องเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ซึ่งพ้นระยะเวลา 7 วัน ตามที่ข้อบังคับการประชุมสภากำหนด

ฝ่ายค้านจึงยืนยันว่าการขอเปิดอภิปรายไว้วางใจครั้งนี้ ชอบด้วยข้อบังคับการประชุมสภา และรัฐธรรมนูญทุกประการ จึงขอให้ประธานสภาได้พิจารณาบรรจุญัตติดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมสภาโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ ฝ่ายค้านยังได้ส่งสำเนาญัตติตัวอย่างญัตติในอดีต เพื่อเป็นการยืนยันว่าสภาเคยมีการพิจารณาและอภิปรายเกี่ยวข้องถึงบุคคลภายนอกได้ ประกอบหนังสือโต้แย้งดังกล่าวด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่