วุฒิสภา เตรียมถกวาระกระทู้ถามรบ.ปมรับมือแก้ฝุ่น PM 2.5
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_849138/
วุฒิสภา เตรียมพิจารณาวาระกระทู้ถามรัฐบาลถึงมาตรการรับมือปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรและหมอกควันข้ามแดนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5
การประชุมวุฒิสภา ในเวลา 09.30 น. วันนี้ (3 มี.ค.68) มีวาระพิจารณากระทู้ถามด้วยวาจาและกระทู้ถามเป็นหนังสือ เช่น เรื่อง มาตรการควบคุมการดำเนินคดีของ DSI ให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ กรณีกลุ่มผู้เสียหายถูกหลอกลวงจากการลงทุนในแชร์ลูกโซ่ซื้อขายเหรียญคริปโต , เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรในจังหวัดชุมพรไร้ที่ดินทำกิน ,เรื่อง การบริหารหนี้สาธารณะและการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ , , เรื่อง มาตรการรับมือปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรและหมอกควันข้ามแดนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และเรื่อง แนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนอาชีพรักษาความปลอดภัย จากนั้น มีวาระพิจารณาเรื่องด่วน 1 เรื่อง ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. …. ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีวาระพิจารณาวาระเรื่องที่เสนอใหม่ 1 เรื่อง คือ เรื่องขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
นายกฯอิ๊งค์ เหนื่อยแน่นอน งานท้าทายมาก เข็น GDP
https://www.innnews.co.th/video/hot-clips/news_849091/
เปิดโรดแมปรัฐบาล “อิ๊งค์” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ผ่านมุมมองอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน
“ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์” หลังจากที่กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 2%
เพราะ “จีดีพี” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงฝีไม้ลายมือในการบริหารประเทศ
โดย
“ศ.ดร.พรายพล” กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า รัฐบาลต้องออกแรงมาก ถ้าต้องการให้ตัวเลขจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ 3.5% ซึ่งตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศจะต้องออกมาเป็นบวกค่อนข้างมาก
“
ถ้าจะให้ผลักไปถึง 3.5 นี่ก็คงต้องออกแรงเยอะเลย รัฐบาลคงไม่ได้ออกแรงได้แต่เพียงอย่างเดียว สภาพเศรษฐกิจโลก เรื่องของตัวเลขการท่องเที่ยว เรื่องของการส่งออก เรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศก็จะต้องเป็นบวกค่อนข้างมากสำหรับประเทศไทย ซึ่งมอง ณ ขนาดนี้ก็ยังถือว่าเป็นไปได้ยากพอสมควร”
“ศ.ดร.พรายพล” กล่าวอีกว่า ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีนโยบายพิเศษทางเศรษฐกิจออกมาเพื่อที่จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ตามเป้า
“ถ้าจะทำให้จริงๆ ก็ต้องเหนื่อยพอสมควร ซึ่งอาจจะต้องมีนโยบายพิเศษอะไรออกมา ซึ่งผมก็ยังนึกไม่ออกแต่ว่ามันต้องมีอะไรที่เรียกว่าเด่นๆ จริงๆซึ่งผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขึ้นไปสูงเกินระดับ 3% ได้ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายว่างั้นดีกว่า อย่าเรียกว่าเหนื่อย ก็เหนื่อยแน่นอน แต่ว่าท้าทาย น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมกว่า เพราะว่ามันเป็นท้าทายทั้งในเรื่องของสภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในตัวของเราเอง ท้าทายในเรื่องของความที่เกิดจากเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายของทรัมป์นี่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับโลกไม่ใช่แค่สำหรับประเทศไทยเพียงอย่างเดียว”
ก่อนหน้านี้ นาย
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเป็นการหารือเกี่ยวกับมาตรการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังจากนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการว่าต้องการเห็นเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ของรัฐบาลในเชิงรุก ที่ 3-3.5%
ทั้งนี้ นาย
พิชัย กล่าวว่า อาจต้องมีการจัดทำเป็น Master Plan ใหญ่ว่า จะมีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนใดบ้าง เพื่อให้ได้ผลที่แท้จริง และเป็นแผนขับเคลื่อนที่สามารถจับต้องได้ โดยเน้นไปที่จุดแข็งของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และถือว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรตัวที่ 1 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์ กรณีที่กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนยโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.0% ด้วยปัจจัยหลักๆ จากในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าขยายตัวดี
ทั้งนี้ มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิมที่ 2.9% จากภาคการผลิต อุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากสงครามการค้า โดยคาดว่า GDP ของไทยจะปรับมาอยู่ที่สูงกว่า 2.5% เล็กน้อย
อย่างไรตาม หากพิจารณาจากข้อมูลนับตั้งแต่ปี 2007 กนง. มีการ “
เซอร์ไพร์สปรับลดดอกเบี้ย” มาแล้ว 11 ครั้ง โดยในวันที่ลงมติ จะหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.78% ก่อนที่จะเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางในช่วงสั้น ขณะที่ภาพระยะถัดไป “
กรณีเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จริง” หรือ GDP เติบโตสูงขึ้น มักจะหนุนให้ SET Index ดีดตัวขึ้นต่อได้ สังเกตุ จากผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยหลังจาก กนง. เซอร์ไพร์สปรับลดดอกเบี้ย 90 วันเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.77% แต่ในทางกลับกัน “กรณีเศรษฐกิจเติบโตต่ำ” อาจกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
สรท. จี้รัฐ เร่งยุทธศาสตร์-ดึงเอกชนร่วมทีมเจรจาต่อรอง ทรัมป์ หวั่นล่าช้า ส่งออกสหรัฐฯดิ่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_5073418
สรท. จี้รัฐ เร่งยุทธศาสตร์-ดึงเอกชนร่วมทีมเจรจาต่อรอง ทรัมป์ หวั่นล่าช้าส่งออกสหรัฐฯดิ่ง ควบเร่งแก้ไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม นาย
ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงการเตรียมการของรัฐบาลไทย เพื่อรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 ว่า ขณะนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าของการเตรียมรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 หรือมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐฯอาจนำมาใช้ เพื่อหวังลดการขาดดุลการค้ากับไทย ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่มียุทธศาตร์ในการเจรจาต่อรอง หรือ กำหนดออกมาเป็น Single Trade Policy อาจไม่ทันกับการรับมือ และอาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯได้รับผลกระทบแน่นอน
นอกจากนี้ องค์การภาคเอกชนต่างๆ รวมถึง สรท.ต้องการให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเตรียมการรับมือ เพราะภาคเอกชนเป็นผู้ส่งออก ผู้ทำการค้ากับสหรัฐฯตัวจริง มีข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้สามารถวางแผน และกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรองได้อย่างชัดเจน ซึ่งในเรื่องนี้ ภาคเอกชนเรียกร้องมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้รับติดต่อจากรัฐบาลให้เข้าร่วมด้วยเลย
“
การเตรียมรับมือของภาครัฐล่าช้าเกินไป ผ่านมาหลายเดือน ยังไม่มียุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองที่ชัดเจน ทำให้เกรงว่า การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯอาจได้รับผลกระทบ โดยมูลค่าส่งออกอาจหายไป หรือลดลง จากปีก่อน ที่มีมูลค่าเกือบ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนประมาณ 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งน่าจะเห็นภาพผลกระทบที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี2568 นี้ ” นาย
ชัยชาญ กล่าว
นาย
ชัยชาญ กล่าวว่า สำหรับการเจรจาต่อรอง ที่มีข่าวออกมาว่า ไทยอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯในรายการที่นำเข้าอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงน้ำมันดิบด้วยนั้น ต้องการให้รัฐบาลชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร ที่อาจก่อปัญหาให้กับภาคเกษตรในระยะยาว กับการลดมูลค่าการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ไทยได้ดุลมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และล่าสุดปี 2567 ไทยได้ดุลเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มูลค่ากว่า 35,000 ล้านเหรียญฯ หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เพราะต้องเพิ่มมูลค่าการนำเข้าเท่าไร จึงจะถึงจุดที่สามารถลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯได้
นาย
ชัยชาญ กล่าวว่า นอกจากเรื่องแก้ปัญหาได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯแล้ว ไทยยังต้องแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีนด้วย ที่ล่าสุดปี 2567 ไทยขาดดุลมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท โดยต้องเร่งแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ไทยจำนวนมาก และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าจีน ที่ส่งผลให้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนทวีความรุนแรงมากขึ้น
นาย
ชัยชาญ กล่าวว่า การป้องกันสินค้านำเข้าจากจีน รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ ที่มีอยู่ เพื่อปกป้องผู้ผลิตไทย และผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะการออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) หรือการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) โดยเฉพาะในสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ต่างๆ ที่ปัจจุบันทะลักเข้าไทยจำนวนมาก จนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทย รวมถึงผู้บริโภค ที่ใช้สินค้าไม่ได้มาตรฐานด้วย
“
หลายเรื่องที่ภาคเอกชนยำ้มาตลอด หากยังไม่เตรียมทิศทางให้รับรู้กันโดยทั่ว เพื่อให้เอกชนได้รับมือ หรือ มีส่วนร่วมแก้ปัญหา ด้วยเป็นผู้ส่งออก จะรู้ว่าปัญหาอย่างไร ปัญหาระดับประเทศ ต้องดึงทุกฝ่ายร่วมกัน ครึ่งหลังปีนี้ หากไม่ชัดเจนว่าจะรับมือเทรดวอร์ มาเป็นเทรดดิว ที่สหรัฐเน้นเจรจาเป็นคู่ประเทศ หรือกลุ่มประเทศ มากกว่า เราจะเสียหายมาก และแก้ไขยากขึ้น” นาย
ชัยชาญ กล่าว
JJNY : วุฒิสภา เตรียมถกวาระ PM 2.5│อิ๊งค์เหนื่อยแน่ เข็น GDP│สรท.หวั่นล่าช้า ส่งออกสหรัฐฯดิ่ง│เตือนร้อนพุ่งสูง 40 องศา
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_849138/
วุฒิสภา เตรียมพิจารณาวาระกระทู้ถามรัฐบาลถึงมาตรการรับมือปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรและหมอกควันข้ามแดนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5
การประชุมวุฒิสภา ในเวลา 09.30 น. วันนี้ (3 มี.ค.68) มีวาระพิจารณากระทู้ถามด้วยวาจาและกระทู้ถามเป็นหนังสือ เช่น เรื่อง มาตรการควบคุมการดำเนินคดีของ DSI ให้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ กรณีกลุ่มผู้เสียหายถูกหลอกลวงจากการลงทุนในแชร์ลูกโซ่ซื้อขายเหรียญคริปโต , เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรในจังหวัดชุมพรไร้ที่ดินทำกิน ,เรื่อง การบริหารหนี้สาธารณะและการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ , , เรื่อง มาตรการรับมือปัญหาการเผาในพื้นที่การเกษตรและหมอกควันข้ามแดนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 และเรื่อง แนวทางในการส่งเสริมและสนับสนุนอาชีพรักษาความปลอดภัย จากนั้น มีวาระพิจารณาเรื่องด่วน 1 เรื่อง ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติอำนาจเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. …. ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว
นอกจากนี้ ยังมีวาระพิจารณาวาระเรื่องที่เสนอใหม่ 1 เรื่อง คือ เรื่องขอเสนอญัตติให้วุฒิสภาพิจารณาปัญหาราคาข้าวตกต่ำ
นายกฯอิ๊งค์ เหนื่อยแน่นอน งานท้าทายมาก เข็น GDP
https://www.innnews.co.th/video/hot-clips/news_849091/
เปิดโรดแมปรัฐบาล “อิ๊งค์” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ผ่านมุมมองอดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน “ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์” หลังจากที่กนง. มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 2%
เพราะ “จีดีพี” ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่สะท้อนถึงฝีไม้ลายมือในการบริหารประเทศ
โดย “ศ.ดร.พรายพล” กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า รัฐบาลต้องออกแรงมาก ถ้าต้องการให้ตัวเลขจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้ 3.5% ซึ่งตัวเลขการส่งออก การท่องเที่ยว รวมทั้งการลงทุนจากต่างประเทศจะต้องออกมาเป็นบวกค่อนข้างมาก
“ถ้าจะให้ผลักไปถึง 3.5 นี่ก็คงต้องออกแรงเยอะเลย รัฐบาลคงไม่ได้ออกแรงได้แต่เพียงอย่างเดียว สภาพเศรษฐกิจโลก เรื่องของตัวเลขการท่องเที่ยว เรื่องของการส่งออก เรื่องของการลงทุนจากต่างประเทศก็จะต้องเป็นบวกค่อนข้างมากสำหรับประเทศไทย ซึ่งมอง ณ ขนาดนี้ก็ยังถือว่าเป็นไปได้ยากพอสมควร”
“ศ.ดร.พรายพล” กล่าวอีกว่า ดังนั้นรัฐบาลจะต้องมีนโยบายพิเศษทางเศรษฐกิจออกมาเพื่อที่จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้ตามเป้า
“ถ้าจะทำให้จริงๆ ก็ต้องเหนื่อยพอสมควร ซึ่งอาจจะต้องมีนโยบายพิเศษอะไรออกมา ซึ่งผมก็ยังนึกไม่ออกแต่ว่ามันต้องมีอะไรที่เรียกว่าเด่นๆ จริงๆซึ่งผลักดันขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ขึ้นไปสูงเกินระดับ 3% ได้ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายว่างั้นดีกว่า อย่าเรียกว่าเหนื่อย ก็เหนื่อยแน่นอน แต่ว่าท้าทาย น่าจะเป็นคำที่เหมาะสมกว่า เพราะว่ามันเป็นท้าทายทั้งในเรื่องของสภาพโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในตัวของเราเอง ท้าทายในเรื่องของความที่เกิดจากเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะนโยบายของทรัมป์นี่ก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมากสำหรับโลกไม่ใช่แค่สำหรับประเทศไทยเพียงอย่างเดียว”
ก่อนหน้านี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประชุมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2568 ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง , ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยเป็นการหารือเกี่ยวกับมาตรการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หลังจากนายกรัฐมนตรี ได้มีข้อสั่งการว่าต้องการเห็นเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีนี้ของรัฐบาลในเชิงรุก ที่ 3-3.5%
ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า อาจต้องมีการจัดทำเป็น Master Plan ใหญ่ว่า จะมีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในส่วนใดบ้าง เพื่อให้ได้ผลที่แท้จริง และเป็นแผนขับเคลื่อนที่สามารถจับต้องได้ โดยเน้นไปที่จุดแข็งของประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการท่องเที่ยว ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ และถือว่ารายได้จากการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรตัวที่ 1 ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ได้วิเคราะห์ กรณีที่กนง. มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนยโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ระดับ 2.0% ด้วยปัจจัยหลักๆ จากในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ แม้อุปสงค์ในประเทศ การท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าขยายตัวดี
ทั้งนี้ มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เดิมที่ 2.9% จากภาคการผลิต อุตสาหกรรมที่ถูกกดดันจากปัญหาเชิงโครงสร้างและการแข่งขันจากสินค้าต่างประเทศ รวมทั้งมีความเสี่ยงสูงขึ้นจากสงครามการค้า โดยคาดว่า GDP ของไทยจะปรับมาอยู่ที่สูงกว่า 2.5% เล็กน้อย
อย่างไรตาม หากพิจารณาจากข้อมูลนับตั้งแต่ปี 2007 กนง. มีการ “เซอร์ไพร์สปรับลดดอกเบี้ย” มาแล้ว 11 ครั้ง โดยในวันที่ลงมติ จะหนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย หรือ SET Index ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 0.78% ก่อนที่จะเคลื่อนไหวแบบไร้ทิศทางในช่วงสั้น ขณะที่ภาพระยะถัดไป “กรณีเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้จริง” หรือ GDP เติบโตสูงขึ้น มักจะหนุนให้ SET Index ดีดตัวขึ้นต่อได้ สังเกตุ จากผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยหลังจาก กนง. เซอร์ไพร์สปรับลดดอกเบี้ย 90 วันเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8.77% แต่ในทางกลับกัน “กรณีเศรษฐกิจเติบโตต่ำ” อาจกดดันต่อตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน
สรท. จี้รัฐ เร่งยุทธศาสตร์-ดึงเอกชนร่วมทีมเจรจาต่อรอง ทรัมป์ หวั่นล่าช้า ส่งออกสหรัฐฯดิ่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_5073418
สรท. จี้รัฐ เร่งยุทธศาสตร์-ดึงเอกชนร่วมทีมเจรจาต่อรอง ทรัมป์ หวั่นล่าช้าส่งออกสหรัฐฯดิ่ง ควบเร่งแก้ไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยถึงการเตรียมการของรัฐบาลไทย เพื่อรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 ว่า ขณะนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าของการเตรียมรับมือกับนโยบายทรัมป์ 2.0 หรือมาตรการต่างๆ ที่สหรัฐฯอาจนำมาใช้ เพื่อหวังลดการขาดดุลการค้ากับไทย ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่มียุทธศาตร์ในการเจรจาต่อรอง หรือ กำหนดออกมาเป็น Single Trade Policy อาจไม่ทันกับการรับมือ และอาจทำให้การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯได้รับผลกระทบแน่นอน
นอกจากนี้ องค์การภาคเอกชนต่างๆ รวมถึง สรท.ต้องการให้รัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเตรียมการรับมือ เพราะภาคเอกชนเป็นผู้ส่งออก ผู้ทำการค้ากับสหรัฐฯตัวจริง มีข้อมูล รายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้สามารถวางแผน และกำหนดยุทธศาสตร์ในการเจรจาต่อรองได้อย่างชัดเจน ซึ่งในเรื่องนี้ ภาคเอกชนเรียกร้องมาโดยตลอด แต่กลับไม่ได้รับติดต่อจากรัฐบาลให้เข้าร่วมด้วยเลย
“การเตรียมรับมือของภาครัฐล่าช้าเกินไป ผ่านมาหลายเดือน ยังไม่มียุทธศาสตร์การเจรจาต่อรองที่ชัดเจน ทำให้เกรงว่า การส่งออกสินค้าไทยไปสหรัฐฯอาจได้รับผลกระทบ โดยมูลค่าส่งออกอาจหายไป หรือลดลง จากปีก่อน ที่มีมูลค่าเกือบ 55,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สัดส่วนประมาณ 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย ซึ่งน่าจะเห็นภาพผลกระทบที่ชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี2568 นี้ ” นายชัยชาญ กล่าว
นายชัยชาญ กล่าวว่า สำหรับการเจรจาต่อรอง ที่มีข่าวออกมาว่า ไทยอาจเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯในรายการที่นำเข้าอยู่แล้ว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง รวมถึงน้ำมันดิบด้วยนั้น ต้องการให้รัฐบาลชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร ที่อาจก่อปัญหาให้กับภาคเกษตรในระยะยาว กับการลดมูลค่าการได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯ ที่ไทยได้ดุลมาอย่างต่อเนื่องหลายปี และล่าสุดปี 2567 ไทยได้ดุลเป็นอันดับที่ 11 ของโลก มูลค่ากว่า 35,000 ล้านเหรียญฯ หรือกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เพราะต้องเพิ่มมูลค่าการนำเข้าเท่าไร จึงจะถึงจุดที่สามารถลดขาดดุลการค้าของสหรัฐฯได้
นายชัยชาญ กล่าวว่า นอกจากเรื่องแก้ปัญหาได้ดุลการค้ากับสหรัฐฯแล้ว ไทยยังต้องแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีนด้วย ที่ล่าสุดปี 2567 ไทยขาดดุลมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท โดยต้องเร่งแก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าจากจีนที่ทะลักเข้าสู่ไทยจำนวนมาก และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นอีกหลังจากสหรัฐฯใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้าจีน ที่ส่งผลให้สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนทวีความรุนแรงมากขึ้น
นายชัยชาญ กล่าวว่า การป้องกันสินค้านำเข้าจากจีน รัฐบาลต้องใช้มาตรการต่างๆ ที่มีอยู่ เพื่อปกป้องผู้ผลิตไทย และผู้บริโภคไทย โดยเฉพาะการออกมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (เอดี/ซีวีดี) หรือการปกป้องการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น (เซฟการ์ด) โดยเฉพาะในสินค้าเหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ของใช้ต่างๆ ที่ปัจจุบันทะลักเข้าไทยจำนวนมาก จนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในไทย รวมถึงผู้บริโภค ที่ใช้สินค้าไม่ได้มาตรฐานด้วย
“หลายเรื่องที่ภาคเอกชนยำ้มาตลอด หากยังไม่เตรียมทิศทางให้รับรู้กันโดยทั่ว เพื่อให้เอกชนได้รับมือ หรือ มีส่วนร่วมแก้ปัญหา ด้วยเป็นผู้ส่งออก จะรู้ว่าปัญหาอย่างไร ปัญหาระดับประเทศ ต้องดึงทุกฝ่ายร่วมกัน ครึ่งหลังปีนี้ หากไม่ชัดเจนว่าจะรับมือเทรดวอร์ มาเป็นเทรดดิว ที่สหรัฐเน้นเจรจาเป็นคู่ประเทศ หรือกลุ่มประเทศ มากกว่า เราจะเสียหายมาก และแก้ไขยากขึ้น” นายชัยชาญ กล่าว