สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมขอหยิบยกประเด็นที่อาจจะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วส่งผลกระทบอย่างมากต่อวงการวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และระบบการทำงานในหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบราชการ นั่นคือ การเรียกวิศวกรและสถาปนิกว่า "ช่าง" รวมถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ และการมีหัวหน้างานที่ไม่ตรงสายงาน
ทำไมการเรียก "วิศวกร" ว่า "ช่าง" ถึงเป็นปัญหา?
หลายคนอาจจะมองว่าการเรียกวิศวกรว่า "ช่าง" ก็ไม่ได้ผิดอะไร เรียกง่ายๆ สบายๆ ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเรียกแบบเหมารวมนี้สะท้อนถึงความไม่เข้าใจในบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างวิศวกรและช่าง
วิศวกร (Engineer) คือผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ มีหน้าที่ในการออกแบบ วางแผน วิเคราะห์ คำนวณ ควบคุม และตรวจสอบงานทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน ต้องใช้ความรู้ทางทฤษฎีและหลักการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง เพื่อให้งานนั้นมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมาตรฐาน
ช่าง (Technician/Craftsman) คือผู้ที่มีทักษะและความชำนาญในการปฏิบัติงานฝีมือ มักจะได้รับการฝึกอบรมในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) มีหน้าที่ในการปฏิบัติงานตามแบบหรือคำสั่งของวิศวกร
การเรียกวิศวกรว่า "ช่าง" จึงเป็นการลดทอนคุณค่าของวิชาชีพ ทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจถึงความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบที่วิศวกรต้องแบกรับ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย
ผลกระทบต่อตัวบุคคล, องค์กร, และระบบราชการ
ผลกระทบต่อตัวบุคคล
1. วิศวกรและสถาปนิกที่ถูกเรียกว่า "ช่าง" อาจรู้สึกว่าความรู้ความสามารถของตนเองไม่ได้รับการยอมรับ
2. อาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่พึงพอใจในการทำงาน ลดความกระตือรือร้น และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
3. อาจถูกจำกัดโอกาสในการเติบโตในสายงาน เนื่องจากถูกมองว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ
ผลกระทบต่อองค์กร
1. องค์กรที่เรียกผู้ประกอบวิชาชีพควบคุมว่า "ช่าง" อาจถูกมองว่าไม่ให้ความสำคัญกับวิชาชีพเฉพาะทาง ขาดความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ
2. อาจเกิดความสับสนในบทบาทหน้าที่ ทำให้การสื่อสารและการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ประกอบวิชาชีพเป็นไปได้ยาก เกิดความขัดแย้ง
การตัดสินใจที่ผิดพลาด: ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ที่ไม่เข้าใจบทบาทของวิศวกร/สถาปนิก อาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ได้อย่างไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ
3. การมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของบุคลากร ทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น
ผลกระทบต่อระบบราชการ (และประโยชน์ของชาติ)
1. ความไม่เข้าใจในบทบาทของผู้เชี่ยวชาญ อาจนำไปสู่การวางแผนงาน การออกแบบ การก่อสร้าง หรือการควบคุมงานที่ไม่ถูกต้อง ทำให้โครงการล่าช้า เสียหาย หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
2. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของประชาชน หากเกิดข้อผิดพลาดจากการขาดความเข้าใจในวิชาชีพ อาจนำไปสู่อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
3. ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในหน่วยงานราชการและกระบวนการทำงานของรัฐ
อาจผิดกฏหมาย เนื่องจากการกระทำที่ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในความสามารถของวิศวกร จนเกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายได้
ปัญหาการมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ
นอกจากการเรียกชื่อที่ไม่ถูกต้องแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยคือการมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของบุคลากร
1. เป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลไม่คุ้มค่า ลดประสิทธิภาพการทำงาน และบั่นทอนขวัญกำลังใจของวิศวกร
2. อาจเกิดข้อผิดพลาดที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพของงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะ
3. การมอบหมายงานวิศวกรรมที่ไม่อยู่ในขอบข่ายวิศวกรรมควบคุม ให้กับบุคคลที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม (หรืออาจจะเป็นวิศวกร แต่ไม่มีใบอนุญาต หรือมีใบอนุญาตแต่คนละสาขา) โดยให้ไปทำหน้าที่ที่ โดยปกติแล้ว ต้องใช้วิศวกรนั้น ไม่ถูกต้อง
ปัญหาหัวหน้างานไม่ตรงสายงาน
การมีหัวหน้างานที่ไม่ตรงกับสายงานวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรม ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน
1. หัวหน้างานที่ไม่เข้าใจหลักการทางวิศวกรรม/สถาปัตยกรรม อาจไม่สามารถตัดสินใจ วางแผน ควบคุม หรือประเมินงานได้อย่างถูกต้อง
2. อาจเกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารระหว่างหัวหน้างานกับวิศวกร/สถาปนิก ทำให้งานล่าช้าหรือผิดพลาด
3. วิศวกร/สถาปนิกอาจไม่เชื่อถือหรือไม่ยอมรับหัวหน้างานที่ไม่มีความรู้ความสามารถในสายงาน
4. การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องของหัวหน้างาน อาจนำไปสู่งานที่ไม่มีคุณภาพ หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ
ความผิดทางกฎหมายและจรรยาบรรณ
การกระทำต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น อาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายและจรรยาบรรณได้ เช่น
1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต (สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ)
2. การกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างหรือบุคคลอื่น
3. วิศวกรหรือสถาปนิกที่รับทำงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของตนเอง หรือไม่ดูแลให้งานที่ตนรับผิดชอบมีคุณภาพ อาจผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ
ปัญหาการเรียกวิศวกรว่า "ช่าง" การมอบหมายงานที่ไม่เหมาะสม และการมีหัวหน้างานที่ไม่ตรงสายงาน เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจในบทบาทของวิชาชีพเฉพาะทาง และการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคล องค์กร และประเทศชาติ
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของวิศวกรและสถาปนิกให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ
1. ใช้คำที่ถูกต้อง สื่อมวลชน หน่วยงานราชการ และองค์กรต่างๆ ควรใช้คำว่า "วิศวกร" และ "สถาปนิก" อย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้าใจและความเคารพในวิชาชีพ
2. ทบทวนโครงสร้างองค์กร หน่วยงานต่างๆ ควรทบทวนโครงสร้างองค์กร การกำหนดตำแหน่งงานและคุณสมบัติให้ชัดเจน เพื่อให้การมอบหมายงานเป็นไปอย่างเหมาะสม
3. ส่งเสริมจรรยาบรรณวิชาชีพ สภาวิศวกร สภาสถาปนิก และองค์กรวิชาชีพอื่นๆ ควรส่งเสริมและกำกับดูแลให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด
วิศวกร vs. ช่าง ความเข้าใจผิดในบทบาท, ผลกระทบต่อองค์กร, และปัญหาในระบบราชการ
ทำไมการเรียก "วิศวกร" ว่า "ช่าง" ถึงเป็นปัญหา?
หลายคนอาจจะมองว่าการเรียกวิศวกรว่า "ช่าง" ก็ไม่ได้ผิดอะไร เรียกง่ายๆ สบายๆ ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเรียกแบบเหมารวมนี้สะท้อนถึงความไม่เข้าใจในบทบาท หน้าที่ และความรับผิดชอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างวิศวกรและช่าง
วิศวกร (Engineer) คือผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ มีหน้าที่ในการออกแบบ วางแผน วิเคราะห์ คำนวณ ควบคุม และตรวจสอบงานทางวิศวกรรมที่ซับซ้อน ต้องใช้ความรู้ทางทฤษฎีและหลักการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูง เพื่อให้งานนั้นมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และเป็นไปตามมาตรฐาน
ช่าง (Technician/Craftsman) คือผู้ที่มีทักษะและความชำนาญในการปฏิบัติงานฝีมือ มักจะได้รับการฝึกอบรมในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) มีหน้าที่ในการปฏิบัติงานตามแบบหรือคำสั่งของวิศวกร
การเรียกวิศวกรว่า "ช่าง" จึงเป็นการลดทอนคุณค่าของวิชาชีพ ทำให้คนทั่วไปไม่เข้าใจถึงความรู้ ความสามารถ และความรับผิดชอบที่วิศวกรต้องแบกรับ ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย
ผลกระทบต่อตัวบุคคล, องค์กร, และระบบราชการ
ผลกระทบต่อตัวบุคคล
1. วิศวกรและสถาปนิกที่ถูกเรียกว่า "ช่าง" อาจรู้สึกว่าความรู้ความสามารถของตนเองไม่ได้รับการยอมรับ
2. อาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่พึงพอใจในการทำงาน ลดความกระตือรือร้น และอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
3. อาจถูกจำกัดโอกาสในการเติบโตในสายงาน เนื่องจากถูกมองว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ
ผลกระทบต่อองค์กร
1. องค์กรที่เรียกผู้ประกอบวิชาชีพควบคุมว่า "ช่าง" อาจถูกมองว่าไม่ให้ความสำคัญกับวิชาชีพเฉพาะทาง ขาดความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ
2. อาจเกิดความสับสนในบทบาทหน้าที่ ทำให้การสื่อสารและการประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ประกอบวิชาชีพเป็นไปได้ยาก เกิดความขัดแย้ง
การตัดสินใจที่ผิดพลาด: ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ที่ไม่เข้าใจบทบาทของวิศวกร/สถาปนิก อาจตัดสินใจในเรื่องสำคัญๆ ได้อย่างไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ
3. การมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของบุคลากร ทำให้สูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น
ผลกระทบต่อระบบราชการ (และประโยชน์ของชาติ)
1. ความไม่เข้าใจในบทบาทของผู้เชี่ยวชาญ อาจนำไปสู่การวางแผนงาน การออกแบบ การก่อสร้าง หรือการควบคุมงานที่ไม่ถูกต้อง ทำให้โครงการล่าช้า เสียหาย หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
2. งานวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมเกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของประชาชน หากเกิดข้อผิดพลาดจากการขาดความเข้าใจในวิชาชีพ อาจนำไปสู่อันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน
3. ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในหน่วยงานราชการและกระบวนการทำงานของรัฐ
อาจผิดกฏหมาย เนื่องจากการกระทำที่ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในความสามารถของวิศวกร จนเกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นอาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมายได้
ปัญหาการมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถ
นอกจากการเรียกชื่อที่ไม่ถูกต้องแล้ว อีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยคือการมอบหมายงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของบุคลากร
1. เป็นการใช้ทรัพยากรบุคคลไม่คุ้มค่า ลดประสิทธิภาพการทำงาน และบั่นทอนขวัญกำลังใจของวิศวกร
2. อาจเกิดข้อผิดพลาดที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัย คุณภาพ และประสิทธิภาพของงานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยสาธารณะ
3. การมอบหมายงานวิศวกรรมที่ไม่อยู่ในขอบข่ายวิศวกรรมควบคุม ให้กับบุคคลที่ไม่ได้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม (หรืออาจจะเป็นวิศวกร แต่ไม่มีใบอนุญาต หรือมีใบอนุญาตแต่คนละสาขา) โดยให้ไปทำหน้าที่ที่ โดยปกติแล้ว ต้องใช้วิศวกรนั้น ไม่ถูกต้อง
ปัญหาหัวหน้างานไม่ตรงสายงาน
การมีหัวหน้างานที่ไม่ตรงกับสายงานวิศวกรรมหรือสถาปัตยกรรม ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการทำงาน
1. หัวหน้างานที่ไม่เข้าใจหลักการทางวิศวกรรม/สถาปัตยกรรม อาจไม่สามารถตัดสินใจ วางแผน ควบคุม หรือประเมินงานได้อย่างถูกต้อง
2. อาจเกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารระหว่างหัวหน้างานกับวิศวกร/สถาปนิก ทำให้งานล่าช้าหรือผิดพลาด
3. วิศวกร/สถาปนิกอาจไม่เชื่อถือหรือไม่ยอมรับหัวหน้างานที่ไม่มีความรู้ความสามารถในสายงาน
4. การตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องของหัวหน้างาน อาจนำไปสู่งานที่ไม่มีคุณภาพ หรือไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และอาจเป็นอันตรายต่อสาธารณะ
ความผิดทางกฎหมายและจรรยาบรรณ
การกระทำต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น อาจเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายและจรรยาบรรณได้ เช่น
1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต (สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐ)
2. การกระทำที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่นายจ้างหรือบุคคลอื่น
3. วิศวกรหรือสถาปนิกที่รับทำงานที่ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของตนเอง หรือไม่ดูแลให้งานที่ตนรับผิดชอบมีคุณภาพ อาจผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ
ปัญหาการเรียกวิศวกรว่า "ช่าง" การมอบหมายงานที่ไม่เหมาะสม และการมีหัวหน้างานที่ไม่ตรงสายงาน เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจในบทบาทของวิชาชีพเฉพาะทาง และการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งตัวบุคคล องค์กร และประเทศชาติ
สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทและหน้าที่ของวิศวกรและสถาปนิกให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่างๆ
1. ใช้คำที่ถูกต้อง สื่อมวลชน หน่วยงานราชการ และองค์กรต่างๆ ควรใช้คำว่า "วิศวกร" และ "สถาปนิก" อย่างถูกต้อง เพื่อสร้างความเข้าใจและความเคารพในวิชาชีพ
2. ทบทวนโครงสร้างองค์กร หน่วยงานต่างๆ ควรทบทวนโครงสร้างองค์กร การกำหนดตำแหน่งงานและคุณสมบัติให้ชัดเจน เพื่อให้การมอบหมายงานเป็นไปอย่างเหมาะสม
3. ส่งเสริมจรรยาบรรณวิชาชีพ สภาวิศวกร สภาสถาปนิก และองค์กรวิชาชีพอื่นๆ ควรส่งเสริมและกำกับดูแลให้ผู้ประกอบวิชาชีพปฏิบัติตามจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด