โรม ชี้ ดึงเหยื่อแก๊งคอลเข้าไทย คุ้มค่า เป็นโอกาสดึงข้อมูล จัดการระดับบอส มั่นใจได้มากกว่าเสีย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5066697
โรม ชี้ ดึงเหยื่อแก๊งคอลเข้าไทย คุ้มค่า เป็นโอกาสดึงข้อมูล จัดการระดับบอส มั่นใจได้มากกว่าเสีย
เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมผลักดันเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะทะลักเข้ามาในประเทศไทย
ว่า ขณะนี้ตนเข้าใจว่าสถานการณ์วิกฤตจริงๆ เพราะมีเหยื่อและอาจจะมีคนที่ร่วมกระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ค้างอยู่ประมาณ 7 พันคน การที่ตัวเลขนี้ค้างอยู่ในพื้นที่ของกองกำลัง อาจจะทำให้มีปัญหาตามมาว่าการจะไปช่วยเหลือหรือทลายเพิ่มเติมนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบากได้ เพราะกองกำลังอาจจะไม่มีศักยภาพพอที่จะดูแลการให้ข้าวให้น้ำให้อาหารทุกอย่างกับบรรดาเหล่านี้ได้เป็นเวลานาน
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น การจะดึงเข้ามาในประเทศไทย เราสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ หมายความว่าต่อให้เขาเป็นเหยื่อหรืออาชญากร เขาย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะบางคนอยู่มานาน เขาจึงสามารถให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐฝั่งไทยได้ว่า ใครเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ ซึ่งตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์ในการที่จะทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเป็นรูปธรรมได้ โดยประเทศไทยเรามีเครื่องมือที่จะสามารถช่วยดูดข้อมูลจากโทรศัพท์ได้ และเราก็อาจจะเสริมทัพโดยการใช้บุคลากรในการสอบถามข้อมูลได้ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในเวลานี้ เพื่อนำไปขยายผลปราบปรามจีนเทา ไทยเทา ต่อไปได้
“
หากเรารีบส่งคนเหล่านี้เร็วเกินไป สุดท้ายก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคนเหล่านี้หากเขากลับไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาอีกได้ และไม่มีการการันตีว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะถูกทำลาย อย่าลืมว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้เขาชักจูงกันมา คนที่เป็นเอเยนต์ในการพามาและได้เงินไปแล้วนั้น ตอนนี้เขายังอยู่ในเมืองไทย ยังอยู่เชียงใหม่ ยังอยู่กรุงเทพฯ ยังอยู่ภูเก็ตหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องนำไปสู่การสอบสวนต่อไปให้ได้” นาย
รังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากรับเข้ามาแล้วมองว่าจะคุ้มหรือไม่กับข้อมูลที่เราจะได้ นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า หากถามตน ตนคิดว่าเมื่อแลกกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนชาวไทยระยะยาว ก็คุ้ม และเวลาที่เราบอกจะรับเขาเข้ามานั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่กับเขาเป็นปีๆ แต่ต้องมีการประสานงานกับสถานทูตต่างๆ และส่วนใหญ่จะต้องมีการประสานงานกับทางประเทศจีน ซึ่งจากที่ตนทราบมาทางรัฐบาลจีนก็พร้อมดูแลคนของเขา แต่ก็อยู่ที่เรา
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น หากเขาพร้อมดูแลและใช้เวลาไม่นานเกินไปในการสกรีนคนเหล่านี้ ตนเชื่อว่าก็ไม่ได้ใช้ทรัพยากรมากกับความคุ้มค่าในความปลอดภัยคนไทย และคิดว่าการพูดคุยกับจีนในการเอาข้อมูลชุดนี้ แหล่งข่าวตนก็บอกว่าทางจีนยินดี ยืนยันว่าจีนไม่ได้มีปัญหา แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่ยอมคุยกับจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเหล่านี้จะเข้ามายังประเทศไทยก็จะต้องมีการสกรีนคนที่เป็นอาชญากรและเหยื่ออยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามโปรโตคอลของประเทศไทยที่มีอยู่แล้ว ทุกประเทศต้องเคารพ หากไทยไม่ยอมเอาเข้าสู่กระบวนการนี้ ขณะที่ประเทศอื่นเอาเข้า ก็อาจจะเกิดคำถามว่าประเทศไทยปฎิบัติต่อคนประเทศอื่นไม่เท่าเทียมกัน
เมื่อถามว่า หากมีการอพยพเข้ามาจะเป็นเหมือนผึ้งแตกรังหรือไม่ นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องอพยพอะไรต่างๆ เป็นคนละส่วนกัน หากเป็นเหยื่อเขาก็ต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น หากเราสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่าจะมีกระบวนการและพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เชื่อว่าแม้เขาจะเป็นผึ้งแตกรังแต่เขาจะเป็นผึ้งแตกรังที่เข้ามาหาเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถควบคุมได้ แม้อาจจะมีบางส่วนที่กลัวจะเป็นอาญา แต่เราน่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และไม่ต้องห่วงเพราะวันนี้เรามีผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมามาหลักล้าน น่าจะอยู่ในประเทศไทยเป็นหลักล้านแล้ว สเกลมันน้อยกว่าเยอะมาก ซึ่งที่ต้องยาวไปกว่านั้นคือในจำนวนเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7 พันกว่าคนอาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยของจำนวนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด ยืนยันว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ชเวก๊กโกและเคเคปาร์คนั้นอาจจะมีกว่าแสนคน
เมื่อถามว่า จะต้องมีการติดตามการส่งต่อเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยไปยังรัฐบาลจีนหรือไม่ นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า จะต้องมีการติดตามต่อและต้องปราบให้เด็ดขาด หากคิดว่าวันนี้เราปราบแล้ว พอแล้ว เดี๋ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะกลับมา ความเสียหายในประเทศไทยก็จะเกิดขึ้นอีก ซึ่งตนทราบมาว่าวันนี้จำนวนสายและการแจ้งความเรื่องนี้น้อยลงแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ เรายังต้องปฎิบัติการเชิงรุกต่อไป ต้องขยับให้มากกว่านี้ และทราบมาว่าทางประเทศกัมพูชาก็ขอข้อมูลมา ฉะนั้น เราต้องแชร์ข้อมูลกันเพื่อให้เกิดความร่วมมือกัน แต่ต้องดูว่าจะสามารถแชร์ได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงต้องไปดูว่ายังมีกระบวนการนี้อยู่ที่ประเทศไหนบ้างเพื่อจะได้ไปจัดการ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่เป็นระดับบอสนั้น เรายังจัดการได้ค่อนข้างน้อย
“โรม” ปูด คนมีอำนาจไปล็อบบี้คดีฮั้ว ส.ว. แปลกใจสงสัยทำไม กกต. ไม่ดำเนินการเอง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2844014
“โรม” แฉ คนมีอำนาจไปล็อบบี้คดีฮั้ว สว. ถาม แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ หวั่นเป็นแค่เกมต่อรองทางการเมือง แปลกใจ กกต. ติดอะไร ทำไมไม่ดำเนินการเอง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นาย
รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา ถึงกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (กคพ.) เลื่อนการพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว. โดยจะมีการเรียกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาสอบสวนก่อนนั้น นายรังสิมันต์ ระบุ เห็นว่ามีคนไปล็อบบี้ มีอำนาจมากที่ไปล็อบบี้ ตนก็ไม่รู้ว่าใคร แต่คิดว่าการทำแบบนี้เข้าข่ายการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ และคิดว่าการใช้ดุลยพินิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการในการรับเป็นคดีพิเศษ เรื่องนี้ต้องเป็นอำนาจของกรรมการในระดับที่ต้องไปว่ากัน อย่างไรก็ตามตนเรียนตามตรงว่าในส่วนของการทำหน้าที่ของ กกต. ก็ต้องทำ แต่ในส่วนที่ดีเอสไอต้องดำเนินการ ซึ่งจะเป็นเรื่องของอั้งยี่ ซ่องโจร ถ้ามีจริงทางดีเอสไอก็สามารถรับทำคดีได้ แต่ปัญหาวันนี้เรื่องฮั้ว สว. ตนไม่อยากให้มองว่าเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรืออะไร แต่อยากให้มองว่าเป็นคดีหนึ่งที่หน่วยงานรัฐจะต้องดำเนินการ
“
ปัญหาคือมีคนมาแทรกแซงหรือไม่ ผมอยากให้คนที่ใช้อำนาจนั้นหยุด และควรใช้กระบวนการตามกระบวนการยุติธรรมดำเนินการ ผมคิดว่าเรื่องฮั้ว สว. เป็นเรื่องที่มีความร้ายแรง วันนี้เราจะยอมรับกันได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ทำลายความน่าเชื่อถือความศรัทธาของพี่น้องประชาชนที่มีต่อฝ่ายนิติบัญญัติ และ สว. ก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาฯ ดังนั้นถ้าเรื่องนี้จบด้วยการเคลียร์ จบด้วยการล็อบบี้ หรือจบด้วยการไม่มีความจริงออกมา มันจบแค่การต่อรองทางการเมือง ผมคิดว่าประชาชนจะเชื่อมั่นและศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร ฉะนั้นผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรจบด้วยความไม่โปร่งใส วิธีการที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คือความโปร่งใส ถ้ามีพยานหลักฐาน มีคนที่เกี่ยวข้องกับการฮั้ว สว. จริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”
กมธ.มั่นคงฯ ยื่น ร่างกม.แก้วิธีพิจารณาความอาญา 2 ฉบับ ให้ อัยการ-ตร.ทำคดีร่วมกัน แก้ปัญหาแพะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5066728
กมธ.มั่นคงฯ ยื่น ร่างกม.แก้วิธีพิจารณาความอาญา 2 ฉบับ ให้ อัยการ-ตร.ทำคดีร่วมกัน แก้ปัญหาแพะ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นาย
รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)
ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ….. และร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ….. ต่อนาย
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 จำนวน 2 ฉบับ
โดยนาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น เป็นเรื่องของการทำให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากยิ่งขึ้น หากร่างนี้ได้มีการบังคับใช้เป็นกฎหมาย ทั้งอัยการและตำรวจจะทำสำนวนคดีร่วมกัน และในหลายประเทศก็มีการใช้ โดยปัญหาอย่างหนึ่งของบ้านเราคือตำรวจทำสำนวนไป ส่งให้อัยการ บางครั้งอัยการก็ตีกลับ ซึ่งวิธีการแบบนี้บางครั้งไม่ได้เป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชน และยิ่งกว่านั้นเมื่อตำรวจส่งสำนวนให้อัยการ บางอัยการที่ไม่ได้ทำสำนวนมาแต่ต้น เขาก็จะไม่ทราบในรายละเอียดทั้งหมดและจะมีปัญหาในแง่ของการติดตามพยานหลักฐานหรือรายละเอียดต่างๆของคดี ซึ่งตนคิดว่าการมาร่วมกันทำตั้งแต่ต้นจะเป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และคิดว่าหากทำสำเร็จจะเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมครั้งใหญ่ของประเทศไทยได้
นาย
รังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าต่อไปนี้หากได้ยินเสียงบ่นว่าตำรวจส่งสำนวนอ่อนมาให้กับอัยการ หรือไม่เอาพยานหลักฐานใส่เข้ามาปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ตนคิดว่าครั้งนี้เป็นการปฏิรูปที่สำคัญและขอบคุณทุกฝ่ายที่สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งคนที่เซ็นชื่อในกฎหมายฉบับนี้มีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จึงเห็นได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ทุกฝ่ายเห็นด้วย และจากนั้นจะประสานไปยังคณะกรรมการประสานงานทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อผลักดันเข้าสู่วาระการประชุมสภาที่เร็วที่สุด
ด้าน พ.ต.อ.
วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) ในฐานะที่ปรึกษากมธ. กล่าวว่า ร่างดังกล่าวเป็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในส่วนว่าด้วยการสอบสวนประมาณ 5-6 มาตรา ซึ่งปัญหาที่มีแพะ อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากร่างกฎหมายนี้ผ่าน และสาระสำคัญเรื่องการตรวจสอบการสอบสวน ที่ปัจจุบันตำรวจกับอัยการทำงานคนละส่วนกัน จะจริงหรือเท็จอย่างไรอัยการก็ต้องสั่งฟ้องตามที่ตำรวจเสนอ แล้วไปว่ากันในชั้นศาล ซึ่งหลักคิดที่บอกว่าผิดถูกค่อยไปว่าในชั้นศาลนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป ต่อไปนี้ผิดถูกต้องว่ากันในชั้นสอบสวน ทางพนักงานอัยการต้องมีหน้าที่เข้าตรวจสอบคดีสำคัญ โดยเฉพาะคดีฆ่าคนตายต้องเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ หรือคดีที่มีปัญหา อัยการต้องเข้าตรวจสอบได้หมด เพื่อแก้ปัญหาตำรวจไม่รับแจ้งความหรือไม่รับคำร้องทุกข์ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป
เมื่อถามว่า ถ้ามีคนเห็นแย้งว่าการแยกชั้นตำรวจและอัยการ เป็นการถ่วงดุลกันดีอยู่แล้วจะอธิบายอย่างไร นาย
รังสิมันต์ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราใช้ระบบแบบนี้มาโดยตลอด และต้องยอมรับว่ามีปัญหาจริง ซึ่งวิธีการที่คิดว่าได้ผลและได้มาจากประเทศที่เขาใช้กันคือทำมาตั้งแต่ต้น โอกาสที่จะมีการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือโอกาสที่จ่ายเงินให้กับทุกคนจะยากขึ้น เพราะทุกคนเห็นพยานหลักฐานเห็นข้อเท็จจริงต่างๆไปพร้อมกัน รู้กันในระดับที่พอกัน และโอกาสที่จะซื้อบางคน ปิดบังพยานหลักฐานไม่ให้เข้าสู่สำนวนจะทำได้ยากขึ้น ซึ่งตนคิดว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งในเมื่อเราดึงให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และพยานหลักฐานก็ยังมีอยู่รับรู้ในระดับที่เท่ากัน โอกาสที่จะป้องกันการคอรัปชั่นจะมีสูงกว่า
นาย
รังสิมันต์ กล่าวอีกว่า กฎหมายนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ และมีความสนใจอย่างกว้างขวาง หากแต่ไปดูแลรายละเอียดไม่แก้ไขเยอะ เพราะเป็นการแก้ในจุดสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้เป็นเรื่องมีผลได้ผลเสียทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้น ตนเชื่อว่าน่าจะขอใช้ส
JJNY : โรมชี้ดึงเหยื่อเข้าไทยคุ้ม│“โรม”ปูดล็อบบี้คดีฮั้วส.ว.│กมธ.มั่นคงฯ ยื่นร่างกม.แก้│“สรยุทธ”ลั่นทำไมต้องถูกตัดสิทธิ์
https://www.matichon.co.th/politics/news_5066697
โรม ชี้ ดึงเหยื่อแก๊งคอลเข้าไทย คุ้มค่า เป็นโอกาสดึงข้อมูล จัดการระดับบอส มั่นใจได้มากกว่าเสีย
เมื่อเวลา 09.50 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมผลักดันเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่จะทะลักเข้ามาในประเทศไทย
ว่า ขณะนี้ตนเข้าใจว่าสถานการณ์วิกฤตจริงๆ เพราะมีเหยื่อและอาจจะมีคนที่ร่วมกระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ค้างอยู่ประมาณ 7 พันคน การที่ตัวเลขนี้ค้างอยู่ในพื้นที่ของกองกำลัง อาจจะทำให้มีปัญหาตามมาว่าการจะไปช่วยเหลือหรือทลายเพิ่มเติมนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบากได้ เพราะกองกำลังอาจจะไม่มีศักยภาพพอที่จะดูแลการให้ข้าวให้น้ำให้อาหารทุกอย่างกับบรรดาเหล่านี้ได้เป็นเวลานาน
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น การจะดึงเข้ามาในประเทศไทย เราสามารถเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ หมายความว่าต่อให้เขาเป็นเหยื่อหรืออาชญากร เขาย่อมรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะบางคนอยู่มานาน เขาจึงสามารถให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่รัฐฝั่งไทยได้ว่า ใครเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ ซึ่งตนคิดว่าจะเป็นประโยชน์ในการที่จะทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเป็นรูปธรรมได้ โดยประเทศไทยเรามีเครื่องมือที่จะสามารถช่วยดูดข้อมูลจากโทรศัพท์ได้ และเราก็อาจจะเสริมทัพโดยการใช้บุคลากรในการสอบถามข้อมูลได้ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในเวลานี้ เพื่อนำไปขยายผลปราบปรามจีนเทา ไทยเทา ต่อไปได้
“หากเรารีบส่งคนเหล่านี้เร็วเกินไป สุดท้ายก็ไม่มีอะไรการันตีว่าคนเหล่านี้หากเขากลับไปแล้วจะไม่สามารถกลับมาอีกได้ และไม่มีการการันตีว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะถูกทำลาย อย่าลืมว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้เขาชักจูงกันมา คนที่เป็นเอเยนต์ในการพามาและได้เงินไปแล้วนั้น ตอนนี้เขายังอยู่ในเมืองไทย ยังอยู่เชียงใหม่ ยังอยู่กรุงเทพฯ ยังอยู่ภูเก็ตหรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่เราต้องนำไปสู่การสอบสวนต่อไปให้ได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากรับเข้ามาแล้วมองว่าจะคุ้มหรือไม่กับข้อมูลที่เราจะได้ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า หากถามตน ตนคิดว่าเมื่อแลกกับความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนชาวไทยระยะยาว ก็คุ้ม และเวลาที่เราบอกจะรับเขาเข้ามานั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะอยู่กับเขาเป็นปีๆ แต่ต้องมีการประสานงานกับสถานทูตต่างๆ และส่วนใหญ่จะต้องมีการประสานงานกับทางประเทศจีน ซึ่งจากที่ตนทราบมาทางรัฐบาลจีนก็พร้อมดูแลคนของเขา แต่ก็อยู่ที่เรา
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น หากเขาพร้อมดูแลและใช้เวลาไม่นานเกินไปในการสกรีนคนเหล่านี้ ตนเชื่อว่าก็ไม่ได้ใช้ทรัพยากรมากกับความคุ้มค่าในความปลอดภัยคนไทย และคิดว่าการพูดคุยกับจีนในการเอาข้อมูลชุดนี้ แหล่งข่าวตนก็บอกว่าทางจีนยินดี ยืนยันว่าจีนไม่ได้มีปัญหา แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่ยอมคุยกับจีน อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเหล่านี้จะเข้ามายังประเทศไทยก็จะต้องมีการสกรีนคนที่เป็นอาชญากรและเหยื่ออยู่แล้ว ซึ่งเป็นไปตามโปรโตคอลของประเทศไทยที่มีอยู่แล้ว ทุกประเทศต้องเคารพ หากไทยไม่ยอมเอาเข้าสู่กระบวนการนี้ ขณะที่ประเทศอื่นเอาเข้า ก็อาจจะเกิดคำถามว่าประเทศไทยปฎิบัติต่อคนประเทศอื่นไม่เท่าเทียมกัน
เมื่อถามว่า หากมีการอพยพเข้ามาจะเป็นเหมือนผึ้งแตกรังหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนคิดว่าเรื่องอพยพอะไรต่างๆ เป็นคนละส่วนกัน หากเป็นเหยื่อเขาก็ต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น หากเราสามารถสร้างความมั่นใจได้ว่าจะมีกระบวนการและพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เชื่อว่าแม้เขาจะเป็นผึ้งแตกรังแต่เขาจะเป็นผึ้งแตกรังที่เข้ามาหาเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถควบคุมได้ แม้อาจจะมีบางส่วนที่กลัวจะเป็นอาญา แต่เราน่าจะสามารถบริหารจัดการได้ และไม่ต้องห่วงเพราะวันนี้เรามีผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมามาหลักล้าน น่าจะอยู่ในประเทศไทยเป็นหลักล้านแล้ว สเกลมันน้อยกว่าเยอะมาก ซึ่งที่ต้องยาวไปกว่านั้นคือในจำนวนเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 7 พันกว่าคนอาจจะเป็นเปอร์เซ็นต์น้อยของจำนวนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งหมด ยืนยันว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่อยู่ชเวก๊กโกและเคเคปาร์คนั้นอาจจะมีกว่าแสนคน
เมื่อถามว่า จะต้องมีการติดตามการส่งต่อเรื่องระหว่างรัฐบาลไทยไปยังรัฐบาลจีนหรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า จะต้องมีการติดตามต่อและต้องปราบให้เด็ดขาด หากคิดว่าวันนี้เราปราบแล้ว พอแล้ว เดี๋ยวแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะกลับมา ความเสียหายในประเทศไทยก็จะเกิดขึ้นอีก ซึ่งตนทราบมาว่าวันนี้จำนวนสายและการแจ้งความเรื่องนี้น้อยลงแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอ เรายังต้องปฎิบัติการเชิงรุกต่อไป ต้องขยับให้มากกว่านี้ และทราบมาว่าทางประเทศกัมพูชาก็ขอข้อมูลมา ฉะนั้น เราต้องแชร์ข้อมูลกันเพื่อให้เกิดความร่วมมือกัน แต่ต้องดูว่าจะสามารถแชร์ได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงต้องไปดูว่ายังมีกระบวนการนี้อยู่ที่ประเทศไหนบ้างเพื่อจะได้ไปจัดการ อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่เป็นระดับบอสนั้น เรายังจัดการได้ค่อนข้างน้อย
“โรม” ปูด คนมีอำนาจไปล็อบบี้คดีฮั้ว ส.ว. แปลกใจสงสัยทำไม กกต. ไม่ดำเนินการเอง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2844014
“โรม” แฉ คนมีอำนาจไปล็อบบี้คดีฮั้ว สว. ถาม แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ หวั่นเป็นแค่เกมต่อรองทางการเมือง แปลกใจ กกต. ติดอะไร ทำไมไม่ดำเนินการเอง
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา ถึงกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (กคพ.) เลื่อนการพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว. โดยจะมีการเรียกคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาสอบสวนก่อนนั้น นายรังสิมันต์ ระบุ เห็นว่ามีคนไปล็อบบี้ มีอำนาจมากที่ไปล็อบบี้ ตนก็ไม่รู้ว่าใคร แต่คิดว่าการทำแบบนี้เข้าข่ายการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ และคิดว่าการใช้ดุลยพินิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการในการรับเป็นคดีพิเศษ เรื่องนี้ต้องเป็นอำนาจของกรรมการในระดับที่ต้องไปว่ากัน อย่างไรก็ตามตนเรียนตามตรงว่าในส่วนของการทำหน้าที่ของ กกต. ก็ต้องทำ แต่ในส่วนที่ดีเอสไอต้องดำเนินการ ซึ่งจะเป็นเรื่องของอั้งยี่ ซ่องโจร ถ้ามีจริงทางดีเอสไอก็สามารถรับทำคดีได้ แต่ปัญหาวันนี้เรื่องฮั้ว สว. ตนไม่อยากให้มองว่าเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) หรืออะไร แต่อยากให้มองว่าเป็นคดีหนึ่งที่หน่วยงานรัฐจะต้องดำเนินการ
“ปัญหาคือมีคนมาแทรกแซงหรือไม่ ผมอยากให้คนที่ใช้อำนาจนั้นหยุด และควรใช้กระบวนการตามกระบวนการยุติธรรมดำเนินการ ผมคิดว่าเรื่องฮั้ว สว. เป็นเรื่องที่มีความร้ายแรง วันนี้เราจะยอมรับกันได้หรือไม่ว่าเรื่องนี้ทำลายความน่าเชื่อถือความศรัทธาของพี่น้องประชาชนที่มีต่อฝ่ายนิติบัญญัติ และ สว. ก็เป็นส่วนหนึ่งของสภาฯ ดังนั้นถ้าเรื่องนี้จบด้วยการเคลียร์ จบด้วยการล็อบบี้ หรือจบด้วยการไม่มีความจริงออกมา มันจบแค่การต่อรองทางการเมือง ผมคิดว่าประชาชนจะเชื่อมั่นและศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมได้อย่างไร ฉะนั้นผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรจบด้วยความไม่โปร่งใส วิธีการที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คือความโปร่งใส ถ้ามีพยานหลักฐาน มีคนที่เกี่ยวข้องกับการฮั้ว สว. จริงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป”
กมธ.มั่นคงฯ ยื่น ร่างกม.แก้วิธีพิจารณาความอาญา 2 ฉบับ ให้ อัยการ-ตร.ทำคดีร่วมกัน แก้ปัญหาแพะ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5066728
กมธ.มั่นคงฯ ยื่น ร่างกม.แก้วิธีพิจารณาความอาญา 2 ฉบับ ให้ อัยการ-ตร.ทำคดีร่วมกัน แก้ปัญหาแพะ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.)
ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ยื่นร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ….. และร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ….. ต่อนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 จำนวน 2 ฉบับ
โดยนายรังสิมันต์ กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนั้น เป็นเรื่องของการทำให้ความคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากยิ่งขึ้น หากร่างนี้ได้มีการบังคับใช้เป็นกฎหมาย ทั้งอัยการและตำรวจจะทำสำนวนคดีร่วมกัน และในหลายประเทศก็มีการใช้ โดยปัญหาอย่างหนึ่งของบ้านเราคือตำรวจทำสำนวนไป ส่งให้อัยการ บางครั้งอัยการก็ตีกลับ ซึ่งวิธีการแบบนี้บางครั้งไม่ได้เป็นการคุ้มครองสิทธิของประชาชน และยิ่งกว่านั้นเมื่อตำรวจส่งสำนวนให้อัยการ บางอัยการที่ไม่ได้ทำสำนวนมาแต่ต้น เขาก็จะไม่ทราบในรายละเอียดทั้งหมดและจะมีปัญหาในแง่ของการติดตามพยานหลักฐานหรือรายละเอียดต่างๆของคดี ซึ่งตนคิดว่าการมาร่วมกันทำตั้งแต่ต้นจะเป็นการยกระดับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน และคิดว่าหากทำสำเร็จจะเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมครั้งใหญ่ของประเทศไทยได้
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ยืนยันว่าต่อไปนี้หากได้ยินเสียงบ่นว่าตำรวจส่งสำนวนอ่อนมาให้กับอัยการ หรือไม่เอาพยานหลักฐานใส่เข้ามาปัญหาเหล่านี้จะหมดไป ตนคิดว่าครั้งนี้เป็นการปฏิรูปที่สำคัญและขอบคุณทุกฝ่ายที่สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งคนที่เซ็นชื่อในกฎหมายฉบับนี้มีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล จึงเห็นได้ว่ากฎหมายฉบับนี้ทุกฝ่ายเห็นด้วย และจากนั้นจะประสานไปยังคณะกรรมการประสานงานทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อผลักดันเข้าสู่วาระการประชุมสภาที่เร็วที่สุด
ด้าน พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม (สป.ยธ.) ในฐานะที่ปรึกษากมธ. กล่าวว่า ร่างดังกล่าวเป็นร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ในส่วนว่าด้วยการสอบสวนประมาณ 5-6 มาตรา ซึ่งปัญหาที่มีแพะ อัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือศาลยกฟ้อง ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากร่างกฎหมายนี้ผ่าน และสาระสำคัญเรื่องการตรวจสอบการสอบสวน ที่ปัจจุบันตำรวจกับอัยการทำงานคนละส่วนกัน จะจริงหรือเท็จอย่างไรอัยการก็ต้องสั่งฟ้องตามที่ตำรวจเสนอ แล้วไปว่ากันในชั้นศาล ซึ่งหลักคิดที่บอกว่าผิดถูกค่อยไปว่าในชั้นศาลนั้นจะเปลี่ยนแปลงไป ต่อไปนี้ผิดถูกต้องว่ากันในชั้นสอบสวน ทางพนักงานอัยการต้องมีหน้าที่เข้าตรวจสอบคดีสำคัญ โดยเฉพาะคดีฆ่าคนตายต้องเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ หรือคดีที่มีปัญหา อัยการต้องเข้าตรวจสอบได้หมด เพื่อแก้ปัญหาตำรวจไม่รับแจ้งความหรือไม่รับคำร้องทุกข์ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป
เมื่อถามว่า ถ้ามีคนเห็นแย้งว่าการแยกชั้นตำรวจและอัยการ เป็นการถ่วงดุลกันดีอยู่แล้วจะอธิบายอย่างไร นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเราใช้ระบบแบบนี้มาโดยตลอด และต้องยอมรับว่ามีปัญหาจริง ซึ่งวิธีการที่คิดว่าได้ผลและได้มาจากประเทศที่เขาใช้กันคือทำมาตั้งแต่ต้น โอกาสที่จะมีการจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือโอกาสที่จ่ายเงินให้กับทุกคนจะยากขึ้น เพราะทุกคนเห็นพยานหลักฐานเห็นข้อเท็จจริงต่างๆไปพร้อมกัน รู้กันในระดับที่พอกัน และโอกาสที่จะซื้อบางคน ปิดบังพยานหลักฐานไม่ให้เข้าสู่สำนวนจะทำได้ยากขึ้น ซึ่งตนคิดว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งในเมื่อเราดึงให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และพยานหลักฐานก็ยังมีอยู่รับรู้ในระดับที่เท่ากัน โอกาสที่จะป้องกันการคอรัปชั่นจะมีสูงกว่า
นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า กฎหมายนี้ถึงแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ และมีความสนใจอย่างกว้างขวาง หากแต่ไปดูแลรายละเอียดไม่แก้ไขเยอะ เพราะเป็นการแก้ในจุดสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรม ไม่ได้เป็นเรื่องมีผลได้ผลเสียทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฉะนั้น ตนเชื่อว่าน่าจะขอใช้ส