Fairy Meadows สวนดอกไม้ของนางฟ้าหรือทุ่งหญ้าในเทพนิยาย
.
แฟรี่มิโดวส์ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่คนไปเยือนปากีสถานอยากไป
เค้าว่าสวยเป็นอันดับ 3 ในโลก และคนปากีสถานบอกว่าสวยเป็นอันดับ 2 ในปากีสถาน
อันดับหนึ่งคือ แคชมีร์ (ติดกับแคชเมียร์ ของอินเดีย ป้าเลยเดาว่าเป็นที่เดียวกันแต่อยู่ฝั่งปากีสถาน)
จากที่นี่จะมองเห็นยอดเขา นังกาปาร์บัต (Nang Parbat) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก
และจุดที่สวยที่สุดคือ Fairy Meadows Lake ซึ่งจะมองเห็นยอดเขา นังกาปาร์บัต สะท้อนในน้ำสวยงาม หรือเรียกกันว่า Reflection Point
.
ก่อนขึ้น Fairy Meadows ป้านอนที่ Chilas คืนนึง ทัวร์บอกว่าเพื่อปรับความสูง แต่จริงๆ แล้ว ถ้าไม่ขึ้นคอปเตอร์ไปลงบนยอดแฟรี่มิโดวส์เลย ไม่มีทางที่จะเดินทางจากอิสลามาบัดไปถึงแฟรี่มิโดวส์ได้ในวันเดียว เพราะการเดินทางค่อนข้างโหด
.
ตื่นแต่เช้าทานอาหารที่โรงแรมเสร็จ มีเวลาเดินช็อปปิ้งพวกถั่วพักใหญ่ แล้วก็ออกเดินทาง
เมื่อคืนป้าๆ ต้องจัดเป้ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 7 กก. เพื่อขึ้น Fairy Meadows ค้าง 1 คืน กระเป๋าใบใหญ่ทิ้งไว้ในรถบัส ไกด์บอกพวกเราว่า เป็นไปได้ที่พวกเราจะเจออุณหภูมิ -20 พวกป้าๆ ยังไม่เคยเจอหนาวขนาดนี้ พอมีข้อจำกัดเรื่องน้ำหนักเลยจัดกระเป๋าไม่ถูกเลยทีเดียว ที่สำคัญเมื่อวานก็มีเพื่อนเกิดอาการแพ้ความสูงน็อคไป ทำให้หลายคนในกลุ่มป้าใจไม่ดี บางคนถึงกับคิดว่า “จะไปต่อหรือพอแค่นี้” แต่สุดท้ายเราก็ไปต่อ เพื่อนที่น็อคไปเมื่อวานหายดีแล้ว
.
เส้นทางวันนี้คือ นั่งบัส ประมาณ 50 ก.ม. ไปต่อจี๊ปท้องถิ่น 16 ก.ม. เดินอีก 300 เมตร ไปต่อม้า ขี่ม้าไปอีก 6 ก.ม.ถึงที่พัก Raikot Sarai Fairy Meadows ฟังดูจิ๊บๆ แต่ ป้าไม่ใช่สายลุย
.
การเดินทางเริ่มต้น

จากชิลาสไปถึงเบสต่อรถจี๊ปท้องถิ่นที่โรงแรมจองไว้ให้เรา นั่งได้คันละ 5 คน แบบปลากระป๋องเนื้อแน่น ต้องนั่งแน่นๆ นะ ไม่อย่างนั้นถูกเหวี่ยงตกรถ ออกจากเบสรถจี๊ปประมาณ 10 โมงเช้าโชคดีจะขึ้นถึงแฟรี่ประมาณ 4 โมงเย็น จะไปที่แอ่งน้ำที่สะท้อนภาพนังกาปาร์บัตทัน ระยะทางรวมจากเบสถึงแฟรี่มีโดว์ประมาณ 24 ก.ม.
.

ที่เบสต่อรถจี๊บ วิวสวย

ขั้นรถคันละ 4 - 5 คน กรุ๊ปเราได้รถ 3 คัน

ต้องอัดเป็นปลากระป๋อง ไม่งั้นตกรถแน่ๆ
จากท่ารถจี๊ป ออกเดินทางแรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ถนนดินหินขุรขระ แต่พอสูงสักหน่อยก็ข้างหนึ่งเป็นหน้าผา
อีกข้างเป็นภูเขาความกว้างถนนแค่รถจี๊ปสองคันสวนกันได้แบบกระจกชนกัน ถนนคดเคี้ยวตามภูเขา บางตอนมีหินถล่มทำให้ทางแคบไปอีกสวนกันไม่ได้คันใดคันหนึ่งต้องถอยถ้าเป็นเมืองไทยคนต่อยกันตาย นี่เค้าบอกว่าทางดีขึ้นเยอะแล้วนะ
.

กรุ๊ปป้า เจอทางขาด มีชาวบ้านและคนขับรถทั้งหลายที่รอผ่านมาช่วยกันซ่อมทาง ตอนแรกพวกป้าๆ ก็เดินถ่ายรูปเล่น ที่นี่ป้าเจอแพะภูเขา มันวิ่งเล่นบนภูเขา ลงมาบนถนน แล้วกระโดดลงหน้าผา ป้าวิ่งตามไปดูว่ามันตายไหม เปล่าค่ะ หน้าผาสูงน่าจะเกือบ 5 เมตรนางเดินเล่นเฉย เสียดายถ่ายคลิปไม่ทัน มันเกิดขันเร็วมาก

รถที่กำลังจะสวนลงจากเขา เห็นยอดขาวๆ ไกลๆ นั่นคือ "นังกาปาร์บัต" ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก

ท้องฟ้าสวยมาก รอซ่อมทาง จากหนาวจนถึงร้อนกันเลย

ทางขาดขนาดนี้ จะเสร็จกี่โมง
.
ผ่านไปซักชั่วโมงถ่ายรูปจนเบื่อ ก็ไม่มีวี่แววว่าถนนก็เลยไปช่วยเค้าซ่อมทาง ช่วยขนหิน ต้องเลือกหินด้วยนะ
ต้องแบบแบนๆ (จริงๆ ก็ไปขนหินแค่ 2 – 3 รอบ เพราะหินที่เราเอาไปเค้าใช้ไม่ได้ โยนทิ้ง ป้าเลยได้แค่ถ่ายรูปทำ Content) ถนนที่นี่สร้างด้วยมือจริงๆ คือเอาหินมาเรียงซ้อนกันจนเป็นทางใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงถึงจะเสร็จ

Content สร้างทางของป้า

ให้ดูการเรียงหินสร้างทาง ทางแถวนี้เค้าสร้างกันแบบนี้ทั้งนั้น
.
แล้วพวกป้าก็ต้องเดินผ่านทางที่ขาดไปรอรถเพื่อขึ้นไปต่อ ฝั่งตรงข้าม (ที่จะลง) ก็เหมือนกัน เดินสวนกันกับเรา
อ้าว..แล้วทำไมไม่สลับรถซะแต่แรกล่ะ คือเราไปขึ้นรถเค้า เค้ามาขึ้นรถเราแล้วต่างคนต่างไป
ไม่ได้นะ รถลงเค้าต้องไปรับคนมาใหม่ มันเป็นรายได้เค้า เค้าไม่ยอมกัน

ซ่อมทางเสร็จแล้ว ลงเดินข้ามไปอีกฝั่ง เพราะกลัวทางถล่มลงมาอีก
.
ถึงจุดจอดรถจี๊ป ที่หมู่บ้าน Tato ต้องเดินข้ามลำธารไปขึ้นม้า ระยะทางประมาณ 300 เมตร วิวสวย อากาศเย็นสบาย เดินไม่ลำบาก ด่านนี้ผ่านได้สวยงาม แต่เหนื่อยหน่อยเพราะอากาศบางหายใจยาก จุดนี้จะมีบ้านคนและหมู่บ้านเล็กๆ

ทางข้ามไปจุดขึ้นม้า

ระหว่างทางวิวสวย อากาศเย็น
.
คนเลี้ยงม้ามารอที่จุดขึ้นม้า เราต้องขึ้นไปบนโขดหินเพื่อขึ้นคร่อมม้าได้ง่ายขึ้น ใครสปริงตัวไม่ดีแบบป้า ก็ลำบากพอดู ขี่ม้าต่อไปอีก 6 กม. (คนบังคับม้าบอกว่างั้น) มีจุดพัก 2 จุด ห่างจุดละประมาณ 2 ก.ม. ใครจะเดินก็ได้นะ ตอนอยู่เมืองไทยพวกป้ายังปากดีคิดว่าจะเดินเองไปจนไม่ไหวค่อยขึ้นม้า สรุป เดินจากจี๊ปมาขึ้นม้าแค่ 300 เมตร ก็เลิกความคิดจะเดินต่อ
คนจูงม้าจะถือเป้ให้เรา (รวมราคาไว้แต่แรก) ถ้าหนักเค้าจะชั่งกิโลวัดกันเลยว่าเกิน 7 กก.ไหม ถ้าเกิน เค้าไม่ถือให้ เราต้องแบกเอง
.
ทางม้าแคบ เลาะไปตามไหล่เขาด้านข้างเป็นหน้าผา มีลำธารน้ำไหล น้ำแข็งเกาะ บางช่วงลื่น ม้าล้ม ป้าก็ลุ้นตามม้า บางทีก็มีเพื่อนม้ามาทักทายกัน บางทีมันก็หยอกล้อกันเอง บางทีแพะภูเขาก็มาวิ่งเล่น ม้าก็วิ่งโยนไปโยนมา ป้ากลัวตกหลังม้ากำอานม้าแน่น สงสารม้าก็สงสารกลัวก็กลัว บางทีคนจูงม้าก็ปล่อยม้าให้วิ่งแล้วแวะสูบบุหรี่ สูบเสร็จก็วิ่งตามม้า
เฮ้ย...ถ้าม้าเตลิดตอนนี้ป้าจะทำไง
แต่.....เค้าก็วิ่งตามม้าทัน
คนจูงม้านี่เก่งมากเดินได้จูงได้ไม่มีหอบ เดินกันชิวมาก
.

ด้านขวาเป็นเขา ด้านซ้ายเป็นผา
ทางขึ้นมีจุดพัก 2 จุด ที่เค้าจะให้ม้าพักดื่มน้ำพวกเราดื่มชาอุ่นๆ
คนเลี้ยงม้าสูบบุหรี่ ที่นี่เค้าสูบบุหรี่กันจัดมาก แต่ดีนะ เค้าไปสูบไกลๆ เราไม่ได้กลิ่น
.

ได้รูปนี้มาก่อนจะน็อค เริ่มเย็นแสงสุดท้ายส่องยอดเขาเป็นสีทอง
ผ่านจุดพักที่ 1 ป้าเริ่มอาการไม่ดี ท้องไส้ปั่นป่วน หายใจลำบาก เริ่มต้องเอาออกซิเจนกระป๋องออกมาใช้ พอถึงจุดที่ 2 ลงม้าได้ก็อาเจียนจนหมดท้อง และอาเจียนไม่หยุดตลอดทางที่เหลือ พ่นออกซิเจนกระป๋องเป็นระยะ ขึ้นถึงโรงแรมมืดพอดี ถ้าเราไม่ติดถนนขาด เราจะขึ้นมาถึงตอนเย็น เห็นพระอาทิตย์ตกแต่อด

จุดพักจุดที่ 2 ป้าน็อคตั้งแต่ตรงนี้
.
จากจุดพักที่ 2 เริ่มเจอหิมะ ม้าป้าลื่นล้ม แต่ยังดีป้าไม่ตกม้า
.
ถึงที่พัก...อาการแพ้ความสูงของป้าหนักขึ้น ลงจากม้าแทบไม่ไหว ไม่มีอารมณ์ดูวิว เค้าให้ไปรอรับห้องที่ล็อบบี้ (ป้าเรียกงั้น) เป็นห้องกว้างๆ ที่ทัวร์ทุกกรุ๊ปจะมานั่งรวมกัน มีเตาผิงใหญ่ และชาร้อนเสริฟ ป้านอนแผ่ ลุกไปอาเจียนในห้องน้ำเป็นระยะ
ตอนแจกห้องเพื่อนๆ ใจดี ให้ป้าอยู่ห้องใกล้สุด เพราะอาการป้าแย่มาก ห้องต้องขึ้นเขาป้าตะกายแทบไม่ไหว ถ้าอยู่ที่ความสูงปกติก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นี่อยู่ที่ความสูง 3,300 เมตร มันมีปัญหาเรื่องการหายใจ
.
ถึงห้องนอนเข้าห้องน้ำ แล้วนอนเลย คิดว่าเดี๋ยวจะลุกมาแปรงฟัน อากาศหนาวจัด เค้าไปกินข้าวกันป้านอน
.
โรงแรมเป็นไม้ หลบลมหลังเขา ในห้องพักมีเตาผิงอุ่นสบาย แต่ได้ฟืนเล็กน้อย จนคิดว่า “คืนนี้กูจะรอดมั๊ย”

เตาผิงและฟืน กับคำถามในใจว่า "กูจะรอดมั๊ย"
หลับไปตื่นนึง เพื่อนให้พนักงานโรงแรมเอาอาหารมาให้ พนักงานบอกให้ป้ากินแล้วจะดีขึ้น เป็นซุปไข่ชามใหญ่มาก กับข้าวอะไรจำไม่ได้ ฟืนในเตาผิงหมดแล้ว ขอฟืนเพิ่ม กินซุปไป 4-5 คำแล้วนอนต่อ เค้าเอาไม้ฟืนมาให้นิดดดดเดียว เพื่อนๆ มาตามป้าไปดูดาว บอกว่าข้างนอกฟ้าสวยมาก เห็นทางช้างเผือกชัด ไม่หละป้าจะนอน ซัก 2 ทุ่มฟืนก็หมด 4 ทุ่มตัดไฟ ทีเหลือก็หนาวทรมาน หนาวจนต้องนอนคลุมโปง จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ไหว เพราะนอกผ้าห่ม หนาวมาก สรุปฟันไม่แปรง ห้องน้ำไม่เข้า เพราะทนหนาวไม่ไหว รอเช้าเลยละกัน ตื่นมาพ่นออกซิเจนเป็นพักๆ เป็นตะคริวเพราะความหนาว จะลุกมานวดก็ไม่ไหวเพราะผ้าห่มหนัก และนอกผ้าห่มมันหนาวจัด จนอยู่ไม่ได้ ช่างมัน เดี๋ยวมันก็หายเอง
.
ขาขึ้นว่าโหดแล้ว ขาลงโหดกว่า จะมาเล่าต่อไป เอาสรุปทริปแฟรี่ที่ป้าทำไว้ไปดูก่อนละกัน
เครดิตเพลง : นักร้องเปิดหมวกชาวปากีสถาน ที่ป้าเจอในร้านอาหาร

.
ติดตามตอนอื่นๆ ได้ที่
EP 1 : Bkk – Islamabad :
https://ppantip.com/topic/43254795
EP 2 : Islamabas – Chilas :
https://ppantip.com/topic/43263775
EP 3 : Chailas – Fairy Medows :
https://ppantip.com/topic/43277209
EP 4 : Fairy Medows – Hunza Duikar
EP 5 : Hunza Duikar – Nagar – Attabad
EP 6 : Attabad – Passu – Hunza Aliabad
EP 7 : Hunza Aliabad – Skardu
EP 8 : Skardu – Khaplu
EP 9 : Skardu
EP 10 : Skardu – Basham
EP 11 : Basham – Islamabad - Bkk
หรือติดตามสาระอื่นๆ ได้จากเพจ หลากหลาย by Artima :
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064724916964
ปากีสถาน วิวพันล้าน หนาวติดลบ EP3:
.
แฟรี่มิโดวส์ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่คนไปเยือนปากีสถานอยากไป
เค้าว่าสวยเป็นอันดับ 3 ในโลก และคนปากีสถานบอกว่าสวยเป็นอันดับ 2 ในปากีสถาน
อันดับหนึ่งคือ แคชมีร์ (ติดกับแคชเมียร์ ของอินเดีย ป้าเลยเดาว่าเป็นที่เดียวกันแต่อยู่ฝั่งปากีสถาน)
จากที่นี่จะมองเห็นยอดเขา นังกาปาร์บัต (Nang Parbat) ซึ่งสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก
และจุดที่สวยที่สุดคือ Fairy Meadows Lake ซึ่งจะมองเห็นยอดเขา นังกาปาร์บัต สะท้อนในน้ำสวยงาม หรือเรียกกันว่า Reflection Point
.
ก่อนขึ้น Fairy Meadows ป้านอนที่ Chilas คืนนึง ทัวร์บอกว่าเพื่อปรับความสูง แต่จริงๆ แล้ว ถ้าไม่ขึ้นคอปเตอร์ไปลงบนยอดแฟรี่มิโดวส์เลย ไม่มีทางที่จะเดินทางจากอิสลามาบัดไปถึงแฟรี่มิโดวส์ได้ในวันเดียว เพราะการเดินทางค่อนข้างโหด
.
ตื่นแต่เช้าทานอาหารที่โรงแรมเสร็จ มีเวลาเดินช็อปปิ้งพวกถั่วพักใหญ่ แล้วก็ออกเดินทาง
เมื่อคืนป้าๆ ต้องจัดเป้ 1 ใบ น้ำหนักไม่เกิน 7 กก. เพื่อขึ้น Fairy Meadows ค้าง 1 คืน กระเป๋าใบใหญ่ทิ้งไว้ในรถบัส ไกด์บอกพวกเราว่า เป็นไปได้ที่พวกเราจะเจออุณหภูมิ -20 พวกป้าๆ ยังไม่เคยเจอหนาวขนาดนี้ พอมีข้อจำกัดเรื่องน้ำหนักเลยจัดกระเป๋าไม่ถูกเลยทีเดียว ที่สำคัญเมื่อวานก็มีเพื่อนเกิดอาการแพ้ความสูงน็อคไป ทำให้หลายคนในกลุ่มป้าใจไม่ดี บางคนถึงกับคิดว่า “จะไปต่อหรือพอแค่นี้” แต่สุดท้ายเราก็ไปต่อ เพื่อนที่น็อคไปเมื่อวานหายดีแล้ว
.
เส้นทางวันนี้คือ นั่งบัส ประมาณ 50 ก.ม. ไปต่อจี๊ปท้องถิ่น 16 ก.ม. เดินอีก 300 เมตร ไปต่อม้า ขี่ม้าไปอีก 6 ก.ม.ถึงที่พัก Raikot Sarai Fairy Meadows ฟังดูจิ๊บๆ แต่ ป้าไม่ใช่สายลุย
.
การเดินทางเริ่มต้น
จากชิลาสไปถึงเบสต่อรถจี๊ปท้องถิ่นที่โรงแรมจองไว้ให้เรา นั่งได้คันละ 5 คน แบบปลากระป๋องเนื้อแน่น ต้องนั่งแน่นๆ นะ ไม่อย่างนั้นถูกเหวี่ยงตกรถ ออกจากเบสรถจี๊ปประมาณ 10 โมงเช้าโชคดีจะขึ้นถึงแฟรี่ประมาณ 4 โมงเย็น จะไปที่แอ่งน้ำที่สะท้อนภาพนังกาปาร์บัตทัน ระยะทางรวมจากเบสถึงแฟรี่มีโดว์ประมาณ 24 ก.ม.
.
ที่เบสต่อรถจี๊บ วิวสวย
ขั้นรถคันละ 4 - 5 คน กรุ๊ปเราได้รถ 3 คัน
ต้องอัดเป็นปลากระป๋อง ไม่งั้นตกรถแน่ๆ
จากท่ารถจี๊ป ออกเดินทางแรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แค่ถนนดินหินขุรขระ แต่พอสูงสักหน่อยก็ข้างหนึ่งเป็นหน้าผา
อีกข้างเป็นภูเขาความกว้างถนนแค่รถจี๊ปสองคันสวนกันได้แบบกระจกชนกัน ถนนคดเคี้ยวตามภูเขา บางตอนมีหินถล่มทำให้ทางแคบไปอีกสวนกันไม่ได้คันใดคันหนึ่งต้องถอยถ้าเป็นเมืองไทยคนต่อยกันตาย นี่เค้าบอกว่าทางดีขึ้นเยอะแล้วนะ
.
กรุ๊ปป้า เจอทางขาด มีชาวบ้านและคนขับรถทั้งหลายที่รอผ่านมาช่วยกันซ่อมทาง ตอนแรกพวกป้าๆ ก็เดินถ่ายรูปเล่น ที่นี่ป้าเจอแพะภูเขา มันวิ่งเล่นบนภูเขา ลงมาบนถนน แล้วกระโดดลงหน้าผา ป้าวิ่งตามไปดูว่ามันตายไหม เปล่าค่ะ หน้าผาสูงน่าจะเกือบ 5 เมตรนางเดินเล่นเฉย เสียดายถ่ายคลิปไม่ทัน มันเกิดขันเร็วมาก
รถที่กำลังจะสวนลงจากเขา เห็นยอดขาวๆ ไกลๆ นั่นคือ "นังกาปาร์บัต" ยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 9 ของโลก
ท้องฟ้าสวยมาก รอซ่อมทาง จากหนาวจนถึงร้อนกันเลย
ทางขาดขนาดนี้ จะเสร็จกี่โมง
.
ผ่านไปซักชั่วโมงถ่ายรูปจนเบื่อ ก็ไม่มีวี่แววว่าถนนก็เลยไปช่วยเค้าซ่อมทาง ช่วยขนหิน ต้องเลือกหินด้วยนะ
ต้องแบบแบนๆ (จริงๆ ก็ไปขนหินแค่ 2 – 3 รอบ เพราะหินที่เราเอาไปเค้าใช้ไม่ได้ โยนทิ้ง ป้าเลยได้แค่ถ่ายรูปทำ Content) ถนนที่นี่สร้างด้วยมือจริงๆ คือเอาหินมาเรียงซ้อนกันจนเป็นทางใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงถึงจะเสร็จ
Content สร้างทางของป้า
ให้ดูการเรียงหินสร้างทาง ทางแถวนี้เค้าสร้างกันแบบนี้ทั้งนั้น
.
แล้วพวกป้าก็ต้องเดินผ่านทางที่ขาดไปรอรถเพื่อขึ้นไปต่อ ฝั่งตรงข้าม (ที่จะลง) ก็เหมือนกัน เดินสวนกันกับเรา
อ้าว..แล้วทำไมไม่สลับรถซะแต่แรกล่ะ คือเราไปขึ้นรถเค้า เค้ามาขึ้นรถเราแล้วต่างคนต่างไป
ไม่ได้นะ รถลงเค้าต้องไปรับคนมาใหม่ มันเป็นรายได้เค้า เค้าไม่ยอมกัน
ซ่อมทางเสร็จแล้ว ลงเดินข้ามไปอีกฝั่ง เพราะกลัวทางถล่มลงมาอีก
.
ถึงจุดจอดรถจี๊ป ที่หมู่บ้าน Tato ต้องเดินข้ามลำธารไปขึ้นม้า ระยะทางประมาณ 300 เมตร วิวสวย อากาศเย็นสบาย เดินไม่ลำบาก ด่านนี้ผ่านได้สวยงาม แต่เหนื่อยหน่อยเพราะอากาศบางหายใจยาก จุดนี้จะมีบ้านคนและหมู่บ้านเล็กๆ
ทางข้ามไปจุดขึ้นม้า
ระหว่างทางวิวสวย อากาศเย็น
.
คนเลี้ยงม้ามารอที่จุดขึ้นม้า เราต้องขึ้นไปบนโขดหินเพื่อขึ้นคร่อมม้าได้ง่ายขึ้น ใครสปริงตัวไม่ดีแบบป้า ก็ลำบากพอดู ขี่ม้าต่อไปอีก 6 กม. (คนบังคับม้าบอกว่างั้น) มีจุดพัก 2 จุด ห่างจุดละประมาณ 2 ก.ม. ใครจะเดินก็ได้นะ ตอนอยู่เมืองไทยพวกป้ายังปากดีคิดว่าจะเดินเองไปจนไม่ไหวค่อยขึ้นม้า สรุป เดินจากจี๊ปมาขึ้นม้าแค่ 300 เมตร ก็เลิกความคิดจะเดินต่อ
คนจูงม้าจะถือเป้ให้เรา (รวมราคาไว้แต่แรก) ถ้าหนักเค้าจะชั่งกิโลวัดกันเลยว่าเกิน 7 กก.ไหม ถ้าเกิน เค้าไม่ถือให้ เราต้องแบกเอง
.
ทางม้าแคบ เลาะไปตามไหล่เขาด้านข้างเป็นหน้าผา มีลำธารน้ำไหล น้ำแข็งเกาะ บางช่วงลื่น ม้าล้ม ป้าก็ลุ้นตามม้า บางทีก็มีเพื่อนม้ามาทักทายกัน บางทีมันก็หยอกล้อกันเอง บางทีแพะภูเขาก็มาวิ่งเล่น ม้าก็วิ่งโยนไปโยนมา ป้ากลัวตกหลังม้ากำอานม้าแน่น สงสารม้าก็สงสารกลัวก็กลัว บางทีคนจูงม้าก็ปล่อยม้าให้วิ่งแล้วแวะสูบบุหรี่ สูบเสร็จก็วิ่งตามม้า
เฮ้ย...ถ้าม้าเตลิดตอนนี้ป้าจะทำไง
แต่.....เค้าก็วิ่งตามม้าทัน
คนจูงม้านี่เก่งมากเดินได้จูงได้ไม่มีหอบ เดินกันชิวมาก
.
ด้านขวาเป็นเขา ด้านซ้ายเป็นผา
ทางขึ้นมีจุดพัก 2 จุด ที่เค้าจะให้ม้าพักดื่มน้ำพวกเราดื่มชาอุ่นๆ
คนเลี้ยงม้าสูบบุหรี่ ที่นี่เค้าสูบบุหรี่กันจัดมาก แต่ดีนะ เค้าไปสูบไกลๆ เราไม่ได้กลิ่น
.
ได้รูปนี้มาก่อนจะน็อค เริ่มเย็นแสงสุดท้ายส่องยอดเขาเป็นสีทอง
ผ่านจุดพักที่ 1 ป้าเริ่มอาการไม่ดี ท้องไส้ปั่นป่วน หายใจลำบาก เริ่มต้องเอาออกซิเจนกระป๋องออกมาใช้ พอถึงจุดที่ 2 ลงม้าได้ก็อาเจียนจนหมดท้อง และอาเจียนไม่หยุดตลอดทางที่เหลือ พ่นออกซิเจนกระป๋องเป็นระยะ ขึ้นถึงโรงแรมมืดพอดี ถ้าเราไม่ติดถนนขาด เราจะขึ้นมาถึงตอนเย็น เห็นพระอาทิตย์ตกแต่อด
จุดพักจุดที่ 2 ป้าน็อคตั้งแต่ตรงนี้
.
จากจุดพักที่ 2 เริ่มเจอหิมะ ม้าป้าลื่นล้ม แต่ยังดีป้าไม่ตกม้า
.
ถึงที่พัก...อาการแพ้ความสูงของป้าหนักขึ้น ลงจากม้าแทบไม่ไหว ไม่มีอารมณ์ดูวิว เค้าให้ไปรอรับห้องที่ล็อบบี้ (ป้าเรียกงั้น) เป็นห้องกว้างๆ ที่ทัวร์ทุกกรุ๊ปจะมานั่งรวมกัน มีเตาผิงใหญ่ และชาร้อนเสริฟ ป้านอนแผ่ ลุกไปอาเจียนในห้องน้ำเป็นระยะ
ตอนแจกห้องเพื่อนๆ ใจดี ให้ป้าอยู่ห้องใกล้สุด เพราะอาการป้าแย่มาก ห้องต้องขึ้นเขาป้าตะกายแทบไม่ไหว ถ้าอยู่ที่ความสูงปกติก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร นี่อยู่ที่ความสูง 3,300 เมตร มันมีปัญหาเรื่องการหายใจ
.
ถึงห้องนอนเข้าห้องน้ำ แล้วนอนเลย คิดว่าเดี๋ยวจะลุกมาแปรงฟัน อากาศหนาวจัด เค้าไปกินข้าวกันป้านอน
.
โรงแรมเป็นไม้ หลบลมหลังเขา ในห้องพักมีเตาผิงอุ่นสบาย แต่ได้ฟืนเล็กน้อย จนคิดว่า “คืนนี้กูจะรอดมั๊ย”
เตาผิงและฟืน กับคำถามในใจว่า "กูจะรอดมั๊ย"
หลับไปตื่นนึง เพื่อนให้พนักงานโรงแรมเอาอาหารมาให้ พนักงานบอกให้ป้ากินแล้วจะดีขึ้น เป็นซุปไข่ชามใหญ่มาก กับข้าวอะไรจำไม่ได้ ฟืนในเตาผิงหมดแล้ว ขอฟืนเพิ่ม กินซุปไป 4-5 คำแล้วนอนต่อ เค้าเอาไม้ฟืนมาให้นิดดดดเดียว เพื่อนๆ มาตามป้าไปดูดาว บอกว่าข้างนอกฟ้าสวยมาก เห็นทางช้างเผือกชัด ไม่หละป้าจะนอน ซัก 2 ทุ่มฟืนก็หมด 4 ทุ่มตัดไฟ ทีเหลือก็หนาวทรมาน หนาวจนต้องนอนคลุมโปง จะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ไหว เพราะนอกผ้าห่ม หนาวมาก สรุปฟันไม่แปรง ห้องน้ำไม่เข้า เพราะทนหนาวไม่ไหว รอเช้าเลยละกัน ตื่นมาพ่นออกซิเจนเป็นพักๆ เป็นตะคริวเพราะความหนาว จะลุกมานวดก็ไม่ไหวเพราะผ้าห่มหนัก และนอกผ้าห่มมันหนาวจัด จนอยู่ไม่ได้ ช่างมัน เดี๋ยวมันก็หายเอง
.
ขาขึ้นว่าโหดแล้ว ขาลงโหดกว่า จะมาเล่าต่อไป เอาสรุปทริปแฟรี่ที่ป้าทำไว้ไปดูก่อนละกัน
เครดิตเพลง : นักร้องเปิดหมวกชาวปากีสถาน ที่ป้าเจอในร้านอาหาร
.
ติดตามตอนอื่นๆ ได้ที่
EP 1 : Bkk – Islamabad : https://ppantip.com/topic/43254795
EP 2 : Islamabas – Chilas : https://ppantip.com/topic/43263775
EP 3 : Chailas – Fairy Medows : https://ppantip.com/topic/43277209
EP 4 : Fairy Medows – Hunza Duikar
EP 5 : Hunza Duikar – Nagar – Attabad
EP 6 : Attabad – Passu – Hunza Aliabad
EP 7 : Hunza Aliabad – Skardu
EP 8 : Skardu – Khaplu
EP 9 : Skardu
EP 10 : Skardu – Basham
EP 11 : Basham – Islamabad - Bkk
หรือติดตามสาระอื่นๆ ได้จากเพจ หลากหลาย by Artima : https://www.facebook.com/profile.php?id=100064724916964