***ต่อEp.2***
>> เราเริ่มมารักษาตัวต่อที่สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี
เริ่มแรกเราได้ทำECHOหัวใจ หมอบอกว่าหัวใจเราโตมาก เส้นเลือดโปร่งพอง และก็มีความดันในหลอดเลือดปอดสูง
มันคือสาเหตุที่ทำให้เราเหนื่อยแบบนี้ สาเหตุที่เป็นความดันในหลอดเลือดปอดสูงเพราะโรคลิ้มเลือดอุดตันในปอดเรื้อรัง
หมอเรยส่งตัวเราต่อไปที่หมอโรคปอด
ตอนนั้นเราพึ้งได้ยาลดความดันเลือดในปอดสูงครั้งแรก (ยาSildenafil) หมอปรับยาให้เราหลายรอบมากค่ะ เราไปหาหมอ1-2เดือนครั้งทุกเดือน
พอปรับยาอาการก็ดีขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมาก เราก็ยังมีอาการเหนื่อยเหมือนเดิม
หมอโรคปอดบอกว่าเราต้องผ่าตัด เป็นทางเดียวที่เราจะดีขึ้น

(ภาพที่หมอวาดนะค่ะว่าเรามีลิ้มเลือดตรงไหนบ้างและสามารถผ่าตัดเอาลิ้มเลือดออกจากตรงไหนได้บ้าง)
>> หมอเลยส่งตัวเราไปเจอคุณหมอผ่าตัด หมอบอกยังไม่อยากผ่าตัดให้เรา ให้เราลองปรับยาไปก่อน
หมอบอกว่าการผ่าตัดของเรามันอัตรายและก็ยากมาก และก็ไม่รู้ว่าผ่าตัดมาแล้ว เราจะอาการดีขึ้นหรือแย่ลงหรือจะเป็นเหมือนเดิม
>> แต่ตอนนั้นเราบอกหมอว่าเราอยากผ่ามากๆ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าผลการผ่าตัดจะเป็นยังไง
คือตอนนั้นเราอาการแย่มากค่ะ เราทำอะไรไม่ได้เลยเดินนิดๆหน่อยๆก็เหนื่อย ท้องก็บวม สะโพกด้านหลังก็บวม ขาก็บวมมาก
เรากินข้าวได้น้อยมาก ทั้งๆที่เราหิว เราก็กินได้แค่นิดเดียว เวลากินก็จะอยากอาเจียนตลอด เหมือนคนอิ่มตลอดเวลา
หายใจไม่อิ่มและก็มีเจ็บหน้าอก ตอนนั้นค่าNT-pro BNP ก็ยังสูงอยู่ แต่ปรับยาไปก็ลดลงจากตามลำดับค่ะ

>> เราได้ยาขับปัสสวะ ยาละลายลิ้มเลือด และยาลดความดันในหลอดเลือดปอด อาการก็ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมาก ยังทรมานอยู่ดีค่ะ
เวลานอนเราก็นอนราบไม่ได้เลย ต้องนั่งนอน ไม่ก็นอนแบบ เอาหลังพิงกำแพงหลับ ไม่ก็ต้องนอนหมอนสูงๆ
เวลาอาบน้ำก็เหนื่อย ต้องเอาเก้าอี้ไปนั่งค่อยๆอาบน้ำ
>> ตอนนั้นเรารับตัวเองที่เป็นแบบนี้ไม่ได้ จิตตกมากๆ ทรมานมากๆ เหมือนอยากจากไปสะดีกว่า มาทรมานแบบนี้
เรารับตัวเองไม่ได้เลย ไม่คิดว่าเราจะมาป่วยเป็นแบบนี้ได้ยังไง
(เรามีคำถามกับตัวเองตลอดว่าทำไม ทำไมต้องเป็นเราด้วยที่ต้องมาเป็นแบบนี้)
>> เราไปหมอผ่าตัดทุกๆ 2-3เดือน
หมอผ่าตัดเอาเรี่องเข้าไปประชุมก่อน ว่าเราสามารถผ่าตัดได้ไหม เราก็ทำได้แค่รอความหวังในตอนนั้น
หมอเอาเรื่องเราไปเข้าไปประชุม 2รอบ ระหว่างนั้น หมอผ่าตัดก็ปรับยาให้เราทุกๆ 2-3เดือน
เรากินยาหลายอย่างมาก บางตัวก็ถูกกับร่างกายเรา บางตัวกินไปเราก็เจ็บปวดตัวมาก แต่อาการก็ยังไม่ได้ดีขึ้น
>> ตอนนั้นเราเป็นลมอีกครั้ง เดินๆอยู่ก็วูปลงไปและก็รู้สึกตัวขึ้นมา
หมอโรคปอดบอกกับเราว่า ถ้าเราไม่ได้ผ่าตัด
อาการเราจะแย่ลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็ต้องจากไป หรือเราก็อาจจะวูปไปแล้วไม่ตื่นเลยก็ได้
>> จริงๆเราไม่เคยกลัวการจากไปเลยค่ะ แต่เรากลัวความทรมานมากกว่า
เราที่พยายามที่จะเข้มแข็งมากๆเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราอ่อนแอ ทั้งๆที่เราไม่อยากเข้มแข็งเลยสักนิด
เราไม่กล้าที่จะบอกใครว่าเราอ่อนแอและเจ็บปวดแค่ไหน
ทุกครั้งที่เราป่วยหรืออาการแย่ลง เราจะเห็นแม่แอบร้องไห้ทุกครั้ง นั้นคือสิ่งที่เราเสียใจที่สุด
ครอบครัวเราพยายามทำทุกวิธีทางที่อยากจะให้เราดีขึ้น เราเองก็อดทนมาตลอด เผื่อสักวันเราอาการจะดีขึ้น
เราเองก็อยากกับมาใช่ชีวิตแบบเหมือนคนอื่นๆได้อีกครั้ง
>> ตอนนั้นเราคิดที่จะทำทุกอย่างให้เราจากไปหลายครั้งมาก
เราทรมานกับอาการป่วยมาก
(ไม่มีใครมาเข้าใจเราในวันที่เราเจ็บปวด ต่อให้เราพูดอธิบายเป็นร้อยๆครั้ง ว่าเราเจ็บปวดและทรมานแค่ไหนก็ไม่มีใครเข้าใจเราได้)
มันเป็นความคิดที่แย่มากในช่วงเวลานั้น
เราคิดตลอดว่าเราเป็นภาระของที่บ้าน
>> จนเราต้องไปหาหมอจิตเวช แต่ก็เหมือนเราไม่รับอะไรเลย
กินยาซึมเศร้าก็อาเจียนทุกครั้ง สุดท้ายก็ไม่ได้ดีขึ้น ทั้งอาการป่วยและอาการทางจิต
เรากลายเป็นคนเก็บตัวอยู่แต่กับบ้าน เราไม่ไปไหน ไม่เจอใคร
ไม่ค่อยพูดกับใคร เพราะรับสภาพตัวเองไม่ได้
>> เวลาเหนื่อยมากๆเราก็ต้องใส่ออกซิเจนนอนพักอยู่ในห้อง
ถ้ามีอาการเหนื่อยมากก็จะเจ็บหน้าอก
อยู่อากาศร้อนก็ไม่ค่อยได้ ต้องอยู่ห้องแอร์แทบจะตลอด เราทรมานแบบนี้มาปีกว่าค่ะ
>> จนสุดท้ายหมอปรับยาแล้วเราไม่ได้ดีขึ้นมาก ก็เลยต้องผ่าตัด เราดีใจมากๆๆๆ
ตอนที่หมอกำลังดูวันผ่าตัดให้เรา (ดีใจจนร้องไห้) ไม่รู้ว่าผลของการผ่าตัดจะออกมาเป็นยังไง แต่เราพร้อมที่จะยอมรับ
อย่างน้อยเราก็ยังมีความหวังว่าอาการเราจะดีขึ้น เรารอคิวผ่าตัดประมาณ3เดือน
ตอนนั้นก็ใช่ชีวิตแบบมีความหวังมากๆๆ
เราได้คิวผ่า วันที่6ตุลาคม2566 ตอนนั้นเราเตรียมตัวพร้อมมากเตรียมของ จัดกระเป๋า รอที่จะไปนอน รพ.
เราดีใจมากที่จะใกล้ถึงวันผ่าตัด เราตั้งความหวังไว้มากค่ะ

>> แต่!! <<
วันที่4 พยาบาลโทรมาบอกว่าหมอขอเลื่อนคิวผ่าตัดไปก่อน
คุณหมอติดประชุม
เราถามพี่พยาบาลว่าแล้วเลี่ยนไปวันไหนค่ะ
พี่พยาบาลบอกว่ายังไม่มีกำหนด
>> เรางงไปหมดค่ะ เหมือนทุกอย่างแตกสลาย เราทำอะไรไม่ถูก
หัววิ๊งมาก ไม่รับรู้อะไรเลย ร้องไห้เป็นผีบ้า
เหมือนเราหวังกับอะไรมากๆและมันผิดหวัง สงสารตัวเองมากตอนนั้น
>> แต่สุดท้ายพี่พยาบาลก็โทมาบอกว่าเราได้คิวผ่าตัด
วันที่10ตุลาคม2566
(คนที่บ้านบอกเราว่าเห็นไหมเลื่อนไปแค่ไม่กี่วันเอง แต่คือตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะเลื่อนไปวันไหน ถ้าเลื่อนไปนาน
เราจะทนอยู่แบบนี้ได้อีกนานไหม)
>> เราไปนอน รพ. วันที่8ตุลาคม2566
เพื่อเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เราพร้อมสุดๆที่จะผ่าตัด
เราไม่กลัวเจ็บไม่กลัวอะไรเลย
ป้าข้างๆเตียงที่ผ่ามาแล้ว เขาบอกว่าไม่เจ็บเลยหนูแค่ตึงๆ 7วันก็กับบ้านได้ 55555555

เราก็เชื่อป้านะตอนนั้น เราบอกแม่ว่าไม่ต้องห่วงแม่
7วันเดี๋ยวเราก็กับบ้านได้แล้ว สบายๆเจ็บทนได้
>> ถึงวันผ่าตัดพี่พยาบาลก็จะมาทำความสะอาดตัวเรา
โดนสวนปกติทั่วไป อาบน้ำสระผมด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
เราถูกเข็นไปห้องผ่าตัดประมาน 8โมงกว่าๆ
แม่กับพี่ๆก็มาให้กำลังใจหน้าห้องผ่าตัดค่ะ
(แม่บอกทุกคนเครียดและกังวลมาก)
>> เราเข้าห้องผ่าตัด ห้องผ่าตัดเย็นมากๆ พี่พยาบาลก็ชวนคุยไปเรื่อย
ตอนโดนเจาะเส้นเลือดก็เจ็บมาก แต่พยาบาลบอกเจ็บนิดเดียว5555
พี่พยาบาลเอาออกซิเจนใส่จมูกเรา เราเห็นนาฬิกาครั้งสุดท้ายคือเกือบๆ 9โมงเช้า
หลังจากนั้นก็หลับสนิทไม่รุ้เรื่องอะไรเลย
>> เรารู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่ห้องICUแล้ว เราดูนาฬิกาก็คือ6โมงเย็น
เราผ่าตัดไป 8-9ชม.
ความรู้สึกแรกคือได้ยินเสียงพยาบาลบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยแล้วค่ะ
หลังจากนั่นก็หลับๆตื่นๆไม่รู้เรื่องอะไร เราเริ่มรู้สึกตัวก็คือปวดเจ็บแผลแบบมากๆๆๆๆแบบปวดที่สุดในชีวิต
ไม่คิดว่าจะปวดขนาดนี้
ตอนนั้นเรายังมึนยาสลบอยู่ไม่รุ้ว่าพูดอะไรไปบ้าง
แต่แม่บอกว่า พี่พยาบาลบอกว่าเราเรียกหาแต่แม่ตลอดเลย และก็บอกอยากกินน้ำ อยู่แบบนั้น
>> แม่บอกตอนเราอยู่ ICU เราออกซิเจนตก ความดันก็ตก หมอบอกให้แม่เราทำใจไว้บ้างเผื่อเราอาการแย่ลง
เราใส่ท่อช่วยหายใจ สายที่จมูก สายฉี่ สายท่อที่ระบายเลือดที่ช่องปอดอีก2สาย สายเส้นเลือดที่คอ และก็สายอะไรเยอะแยะไปหมด



>> แต่พอเวลาผ่านไปอาการเราก็ดีขึ้น หมอก็ให้ถอดท่อช่วยหายใจกับสายที่จมูกออก และย้ายไปพักฟื้นที่ห้องกึ่งวิกฤติต่อ
พยาบาลบอกถ้าปวดแผลทนไม่ไหวให้ขอมอร์ฟีนฉีดได้นะ เราขอจนพยายาบาลบอกว่า พึ้งฉีดไปเองนะค่ะ55555
มันปวดจริงๆค่ะสำหรับเรา

>> พอเราถอดท่อช่วยหายใจแล้วระหว่างนั้นพยาบาลจะให้
เรากอดหมอนและไอเพื่อที่จะเอาเสมหะที่เป็นเลือดออกจากคอให้หมด
(เสมหะที่ออกมาจะเป็นเลือดสีดำๆจากการใส่ท่อช่วยหายใจ)
>> เราออกจากห้องกึ่งวิกฤติ เราก็ย้ายไปพักที่ห้องพิเศษค่ะ
พยาบาลถอดสายระบายเลือดที่ช่องปอดออกหลังผ่าตัดได้ 5วัน
ช่วงแรกๆจะปวดแผลมากกกกสำหรับเรานะค่ะ แต่ก็ทนได้อยู่

>> พอเราเริ่มดีขึ้น หมอก็จะให้เราฝึกกายภาพปอดให้เราเป่าลูกบอลขยายปอดไม่ให้ปอดแฟบ ให้ฝึกเดิน ฝึกนั่งปั่นจักรยาน




ช่วงแรกๆก็ยังทำไม่ได้ เราเจ็บแผลและก็มึนหัวมาก หมอบอกอาจจะยังมึนยาอยู่
ด้วยที่เราผ่าตัดปอดเราเลยจะฟื้นตัวช้ากว่าคนอื่นนิดหน่อย เราเริ่มฝึกเดินช่วงแรกออกซิเจนเราก็ตก
เราก็ต้องหยุดพัก พอหายเหนื่อย ออกซิเจนขึ้น เราก็เดินใหม่ อยู่แบบนั้น
แต่เราก็พยายามเดินตลอด เพื่ออยากให้ฟื้นตัวไว ช่วงนั้นค่าเลือดเราเกินด้วย เราไอเป็นเลือด 2รอบ


>> เราอยู่ปรับยาต่ออีก1อาทิตย์
คุณหมอและพี่พยาบาลดูแลดีมาก ระหว่างนั้นเราฉีดยาแก้อาเจียนเกือบทุกวัน
เพราะเรามีอาการอาเจียนและมึนหัวมากค่ะ
***อ่านต่อEp.3***
(Ep.2) เราป่วยเป็นโรคลิ้มเลือดอุดกั้นในปอดและภาวะความดันหลอดเลือดปอดสูง
>> เราเริ่มมารักษาตัวต่อที่สถาบันโรคทรวงอก จ.นนทบุรี
เริ่มแรกเราได้ทำECHOหัวใจ หมอบอกว่าหัวใจเราโตมาก เส้นเลือดโปร่งพอง และก็มีความดันในหลอดเลือดปอดสูง
มันคือสาเหตุที่ทำให้เราเหนื่อยแบบนี้ สาเหตุที่เป็นความดันในหลอดเลือดปอดสูงเพราะโรคลิ้มเลือดอุดตันในปอดเรื้อรัง
หมอเรยส่งตัวเราต่อไปที่หมอโรคปอด
ตอนนั้นเราพึ้งได้ยาลดความดันเลือดในปอดสูงครั้งแรก (ยาSildenafil) หมอปรับยาให้เราหลายรอบมากค่ะ เราไปหาหมอ1-2เดือนครั้งทุกเดือน
พอปรับยาอาการก็ดีขึ้นค่ะ แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมาก เราก็ยังมีอาการเหนื่อยเหมือนเดิม
หมอโรคปอดบอกว่าเราต้องผ่าตัด เป็นทางเดียวที่เราจะดีขึ้น
(ภาพที่หมอวาดนะค่ะว่าเรามีลิ้มเลือดตรงไหนบ้างและสามารถผ่าตัดเอาลิ้มเลือดออกจากตรงไหนได้บ้าง)
>> หมอเลยส่งตัวเราไปเจอคุณหมอผ่าตัด หมอบอกยังไม่อยากผ่าตัดให้เรา ให้เราลองปรับยาไปก่อน
หมอบอกว่าการผ่าตัดของเรามันอัตรายและก็ยากมาก และก็ไม่รู้ว่าผ่าตัดมาแล้ว เราจะอาการดีขึ้นหรือแย่ลงหรือจะเป็นเหมือนเดิม
>> แต่ตอนนั้นเราบอกหมอว่าเราอยากผ่ามากๆ ทั้งๆที่ก็ไม่รู้ว่าผลการผ่าตัดจะเป็นยังไง
คือตอนนั้นเราอาการแย่มากค่ะ เราทำอะไรไม่ได้เลยเดินนิดๆหน่อยๆก็เหนื่อย ท้องก็บวม สะโพกด้านหลังก็บวม ขาก็บวมมาก
เรากินข้าวได้น้อยมาก ทั้งๆที่เราหิว เราก็กินได้แค่นิดเดียว เวลากินก็จะอยากอาเจียนตลอด เหมือนคนอิ่มตลอดเวลา
หายใจไม่อิ่มและก็มีเจ็บหน้าอก ตอนนั้นค่าNT-pro BNP ก็ยังสูงอยู่ แต่ปรับยาไปก็ลดลงจากตามลำดับค่ะ
>> เราได้ยาขับปัสสวะ ยาละลายลิ้มเลือด และยาลดความดันในหลอดเลือดปอด อาการก็ดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้ดีขึ้นมาก ยังทรมานอยู่ดีค่ะ
เวลานอนเราก็นอนราบไม่ได้เลย ต้องนั่งนอน ไม่ก็นอนแบบ เอาหลังพิงกำแพงหลับ ไม่ก็ต้องนอนหมอนสูงๆ
เวลาอาบน้ำก็เหนื่อย ต้องเอาเก้าอี้ไปนั่งค่อยๆอาบน้ำ
>> ตอนนั้นเรารับตัวเองที่เป็นแบบนี้ไม่ได้ จิตตกมากๆ ทรมานมากๆ เหมือนอยากจากไปสะดีกว่า มาทรมานแบบนี้
เรารับตัวเองไม่ได้เลย ไม่คิดว่าเราจะมาป่วยเป็นแบบนี้ได้ยังไง
(เรามีคำถามกับตัวเองตลอดว่าทำไม ทำไมต้องเป็นเราด้วยที่ต้องมาเป็นแบบนี้)
>> เราไปหมอผ่าตัดทุกๆ 2-3เดือน
หมอผ่าตัดเอาเรี่องเข้าไปประชุมก่อน ว่าเราสามารถผ่าตัดได้ไหม เราก็ทำได้แค่รอความหวังในตอนนั้น
หมอเอาเรื่องเราไปเข้าไปประชุม 2รอบ ระหว่างนั้น หมอผ่าตัดก็ปรับยาให้เราทุกๆ 2-3เดือน
เรากินยาหลายอย่างมาก บางตัวก็ถูกกับร่างกายเรา บางตัวกินไปเราก็เจ็บปวดตัวมาก แต่อาการก็ยังไม่ได้ดีขึ้น
>> ตอนนั้นเราเป็นลมอีกครั้ง เดินๆอยู่ก็วูปลงไปและก็รู้สึกตัวขึ้นมา
หมอโรคปอดบอกกับเราว่า ถ้าเราไม่ได้ผ่าตัด
อาการเราจะแย่ลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายเราก็ต้องจากไป หรือเราก็อาจจะวูปไปแล้วไม่ตื่นเลยก็ได้
>> จริงๆเราไม่เคยกลัวการจากไปเลยค่ะ แต่เรากลัวความทรมานมากกว่า
เราที่พยายามที่จะเข้มแข็งมากๆเราไม่อยากให้คนอื่นมองว่าเราอ่อนแอ ทั้งๆที่เราไม่อยากเข้มแข็งเลยสักนิด
เราไม่กล้าที่จะบอกใครว่าเราอ่อนแอและเจ็บปวดแค่ไหน
ทุกครั้งที่เราป่วยหรืออาการแย่ลง เราจะเห็นแม่แอบร้องไห้ทุกครั้ง นั้นคือสิ่งที่เราเสียใจที่สุด
ครอบครัวเราพยายามทำทุกวิธีทางที่อยากจะให้เราดีขึ้น เราเองก็อดทนมาตลอด เผื่อสักวันเราอาการจะดีขึ้น
เราเองก็อยากกับมาใช่ชีวิตแบบเหมือนคนอื่นๆได้อีกครั้ง
>> ตอนนั้นเราคิดที่จะทำทุกอย่างให้เราจากไปหลายครั้งมาก
เราทรมานกับอาการป่วยมาก
(ไม่มีใครมาเข้าใจเราในวันที่เราเจ็บปวด ต่อให้เราพูดอธิบายเป็นร้อยๆครั้ง ว่าเราเจ็บปวดและทรมานแค่ไหนก็ไม่มีใครเข้าใจเราได้)
มันเป็นความคิดที่แย่มากในช่วงเวลานั้น
เราคิดตลอดว่าเราเป็นภาระของที่บ้าน
>> จนเราต้องไปหาหมอจิตเวช แต่ก็เหมือนเราไม่รับอะไรเลย
กินยาซึมเศร้าก็อาเจียนทุกครั้ง สุดท้ายก็ไม่ได้ดีขึ้น ทั้งอาการป่วยและอาการทางจิต
เรากลายเป็นคนเก็บตัวอยู่แต่กับบ้าน เราไม่ไปไหน ไม่เจอใคร
ไม่ค่อยพูดกับใคร เพราะรับสภาพตัวเองไม่ได้
>> เวลาเหนื่อยมากๆเราก็ต้องใส่ออกซิเจนนอนพักอยู่ในห้อง
ถ้ามีอาการเหนื่อยมากก็จะเจ็บหน้าอก
อยู่อากาศร้อนก็ไม่ค่อยได้ ต้องอยู่ห้องแอร์แทบจะตลอด เราทรมานแบบนี้มาปีกว่าค่ะ
>> จนสุดท้ายหมอปรับยาแล้วเราไม่ได้ดีขึ้นมาก ก็เลยต้องผ่าตัด เราดีใจมากๆๆๆ
ตอนที่หมอกำลังดูวันผ่าตัดให้เรา (ดีใจจนร้องไห้) ไม่รู้ว่าผลของการผ่าตัดจะออกมาเป็นยังไง แต่เราพร้อมที่จะยอมรับ
อย่างน้อยเราก็ยังมีความหวังว่าอาการเราจะดีขึ้น เรารอคิวผ่าตัดประมาณ3เดือน
ตอนนั้นก็ใช่ชีวิตแบบมีความหวังมากๆๆ
เราได้คิวผ่า วันที่6ตุลาคม2566 ตอนนั้นเราเตรียมตัวพร้อมมากเตรียมของ จัดกระเป๋า รอที่จะไปนอน รพ.
เราดีใจมากที่จะใกล้ถึงวันผ่าตัด เราตั้งความหวังไว้มากค่ะ
>> แต่!! <<
วันที่4 พยาบาลโทรมาบอกว่าหมอขอเลื่อนคิวผ่าตัดไปก่อน
คุณหมอติดประชุม
เราถามพี่พยาบาลว่าแล้วเลี่ยนไปวันไหนค่ะ
พี่พยาบาลบอกว่ายังไม่มีกำหนด
>> เรางงไปหมดค่ะ เหมือนทุกอย่างแตกสลาย เราทำอะไรไม่ถูก
หัววิ๊งมาก ไม่รับรู้อะไรเลย ร้องไห้เป็นผีบ้า
เหมือนเราหวังกับอะไรมากๆและมันผิดหวัง สงสารตัวเองมากตอนนั้น
>> แต่สุดท้ายพี่พยาบาลก็โทมาบอกว่าเราได้คิวผ่าตัด
วันที่10ตุลาคม2566
(คนที่บ้านบอกเราว่าเห็นไหมเลื่อนไปแค่ไม่กี่วันเอง แต่คือตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะเลื่อนไปวันไหน ถ้าเลื่อนไปนาน
เราจะทนอยู่แบบนี้ได้อีกนานไหม)
>> เราไปนอน รพ. วันที่8ตุลาคม2566
เพื่อเตรียมตัวก่อนผ่าตัด เราพร้อมสุดๆที่จะผ่าตัด
เราไม่กลัวเจ็บไม่กลัวอะไรเลย
ป้าข้างๆเตียงที่ผ่ามาแล้ว เขาบอกว่าไม่เจ็บเลยหนูแค่ตึงๆ 7วันก็กับบ้านได้ 55555555
เราก็เชื่อป้านะตอนนั้น เราบอกแม่ว่าไม่ต้องห่วงแม่
7วันเดี๋ยวเราก็กับบ้านได้แล้ว สบายๆเจ็บทนได้
>> ถึงวันผ่าตัดพี่พยาบาลก็จะมาทำความสะอาดตัวเรา
โดนสวนปกติทั่วไป อาบน้ำสระผมด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
เราถูกเข็นไปห้องผ่าตัดประมาน 8โมงกว่าๆ
แม่กับพี่ๆก็มาให้กำลังใจหน้าห้องผ่าตัดค่ะ
(แม่บอกทุกคนเครียดและกังวลมาก)
>> เราเข้าห้องผ่าตัด ห้องผ่าตัดเย็นมากๆ พี่พยาบาลก็ชวนคุยไปเรื่อย
ตอนโดนเจาะเส้นเลือดก็เจ็บมาก แต่พยาบาลบอกเจ็บนิดเดียว5555
พี่พยาบาลเอาออกซิเจนใส่จมูกเรา เราเห็นนาฬิกาครั้งสุดท้ายคือเกือบๆ 9โมงเช้า
หลังจากนั้นก็หลับสนิทไม่รุ้เรื่องอะไรเลย
>> เรารู้สึกตัวอีกทีตอนอยู่ห้องICUแล้ว เราดูนาฬิกาก็คือ6โมงเย็น
เราผ่าตัดไป 8-9ชม.
ความรู้สึกแรกคือได้ยินเสียงพยาบาลบอกว่าผ่าตัดเรียบร้อยแล้วค่ะ
หลังจากนั่นก็หลับๆตื่นๆไม่รู้เรื่องอะไร เราเริ่มรู้สึกตัวก็คือปวดเจ็บแผลแบบมากๆๆๆๆแบบปวดที่สุดในชีวิต
ไม่คิดว่าจะปวดขนาดนี้
ตอนนั้นเรายังมึนยาสลบอยู่ไม่รุ้ว่าพูดอะไรไปบ้าง
แต่แม่บอกว่า พี่พยาบาลบอกว่าเราเรียกหาแต่แม่ตลอดเลย และก็บอกอยากกินน้ำ อยู่แบบนั้น
>> แม่บอกตอนเราอยู่ ICU เราออกซิเจนตก ความดันก็ตก หมอบอกให้แม่เราทำใจไว้บ้างเผื่อเราอาการแย่ลง
เราใส่ท่อช่วยหายใจ สายที่จมูก สายฉี่ สายท่อที่ระบายเลือดที่ช่องปอดอีก2สาย สายเส้นเลือดที่คอ และก็สายอะไรเยอะแยะไปหมด
>> แต่พอเวลาผ่านไปอาการเราก็ดีขึ้น หมอก็ให้ถอดท่อช่วยหายใจกับสายที่จมูกออก และย้ายไปพักฟื้นที่ห้องกึ่งวิกฤติต่อ
พยาบาลบอกถ้าปวดแผลทนไม่ไหวให้ขอมอร์ฟีนฉีดได้นะ เราขอจนพยายาบาลบอกว่า พึ้งฉีดไปเองนะค่ะ55555
มันปวดจริงๆค่ะสำหรับเรา
>> พอเราถอดท่อช่วยหายใจแล้วระหว่างนั้นพยาบาลจะให้
เรากอดหมอนและไอเพื่อที่จะเอาเสมหะที่เป็นเลือดออกจากคอให้หมด
(เสมหะที่ออกมาจะเป็นเลือดสีดำๆจากการใส่ท่อช่วยหายใจ)
>> เราออกจากห้องกึ่งวิกฤติ เราก็ย้ายไปพักที่ห้องพิเศษค่ะ
พยาบาลถอดสายระบายเลือดที่ช่องปอดออกหลังผ่าตัดได้ 5วัน
ช่วงแรกๆจะปวดแผลมากกกกสำหรับเรานะค่ะ แต่ก็ทนได้อยู่
>> พอเราเริ่มดีขึ้น หมอก็จะให้เราฝึกกายภาพปอดให้เราเป่าลูกบอลขยายปอดไม่ให้ปอดแฟบ ให้ฝึกเดิน ฝึกนั่งปั่นจักรยาน
ช่วงแรกๆก็ยังทำไม่ได้ เราเจ็บแผลและก็มึนหัวมาก หมอบอกอาจจะยังมึนยาอยู่
ด้วยที่เราผ่าตัดปอดเราเลยจะฟื้นตัวช้ากว่าคนอื่นนิดหน่อย เราเริ่มฝึกเดินช่วงแรกออกซิเจนเราก็ตก
เราก็ต้องหยุดพัก พอหายเหนื่อย ออกซิเจนขึ้น เราก็เดินใหม่ อยู่แบบนั้น
แต่เราก็พยายามเดินตลอด เพื่ออยากให้ฟื้นตัวไว ช่วงนั้นค่าเลือดเราเกินด้วย เราไอเป็นเลือด 2รอบ
>> เราอยู่ปรับยาต่ออีก1อาทิตย์
คุณหมอและพี่พยาบาลดูแลดีมาก ระหว่างนั้นเราฉีดยาแก้อาเจียนเกือบทุกวัน
เพราะเรามีอาการอาเจียนและมึนหัวมากค่ะ
***อ่านต่อEp.3***