คุมเข้ม! ลอบขายน้ำมันเมียนมา หลังฝั่งเมียวดีทะลุลิตรละ 100 บาท
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/242539
เจ้าหน้าที่คุมเข้มลักลอบขายน้ำมันชายแดนไทย-เมียนมา แนะปั๊มน้ำมันฝั่งไทยปฏิบัติตามพ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง หลังน้ำมันฝั่งเมียวดีทะลุลิตรละ 100 บาท
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) ร่วมกับพลังงานจังหวัดตาก ปกครองจังหวัดตาก ตำรวจภูธรแม่สอด ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่อำเภอแม่สอด จ.ตาก เพื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2542 จำนวน 3 แห่ง คือ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ปตท.ริมเมย ต.ท่าสายลวด, สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เชลล์ ต.แม่ปะ, สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เอสโซ่ ต.แม่ปะ
โดยได้เน้นย้ำ และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเคร่งครัดตามแนวทางที่รัฐบาลได้สั่งการ โดยมิให้ ผู้ที่มาใช้บริการได้มีการกักตุนน้ำมัน ใส่ในแกลลอนหรือถังน้ำมันขนาดใหญ่
รายงานข่าวจากจังหวัดเมียววดี ประเทศเมียนมา แจ้งว่า ราคาน้ำมัน ได้ขยับขึ้นทะลุลิตรละ 100 บาทแล้ว ทั้งดีเซลและเบนซิน ซึ่งเป็นที่ต้องการ ในการนำไปใส่เครื่องปั่นไฟ และสายยานพาหนะ โดยปั๊มน้ำมันในฝั่งจังหวัดเมียววดี เริ่มเหลือน้อยทุกวัน
DSI จ่อออกหมายจับ หม่องชิตตู พร้อมพวก คดีค้ามนุษย์ บังคับชาวอิเดียเป็นแก๊งคอล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5043532
ดีเอสไอ จ่อออกหมายจับ พันเอก หม่องชิตตู พร้อมพวก คดีค้ามนุษย์ บังคับชาวอิเดีย เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ รายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า ในวันนี้พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะนำหลักฐานคดีค้ามนุษย์เข้าพบพนักงานอัยการ สำนักคดีค้ามนุษย์ เพื่อหารือในประเด็นข้อกฎหมายในการออกหมายจับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นผู้นำกองกำลัง BGF หรือผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง กองกำลังสำคัญที่ปกครองเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ตามที่ปรากฏหลักฐานภายหลังการช่วยเหลือเหยื่อคดีค้ามนุษย์ ชาวอินเดีย ซึ่งถูกนำตัวไปบังคับทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เบื้องต้นมีรายงานด้วยว่า ผู้นำกองกำลัง BGF ที่จะมีการเสนอขอออกหมายจับ ประกอบด้วย พันเอก
ซอชิตตู่ (Colonel Saw Chit Thu) หรือ พันเอก
หม่องชิตตู, พันโท
โมเต โธน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และ พันตรี
ทิน วิน Tin Win (Major Tin Win)
พริษฐ์ เผย จัด 30 ขุนพล ชำแหละแก้รธน. ไม่หวั่นญัตติยื่นศาล ลั่น แม้ถูกตีตกก็จะผลักดันให้สำเร็จ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5043661
พริษฐ์ เผย จัด 30 ขุนพล ชำแหละแก้รธน. ไม่หวั่นญัตติยื่นศาล ลั่น แม้ถูกตีตกก็จะผลักดันให้สำเร็จ
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 และหมวด 15/1 ในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ ว่า มีความสำคัญ 2 ด้านคือ เป็นโอกาสสำคัญที่เราจะเข้าใกล้สู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มากที่สุด นับตั้งแต่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในปี 2564 ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการของประธานสภาฯ ไม่เคยบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมมาก่อน และอีกหนึ่งความสำคัญคือหากรัฐสภาไม่มีมติเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ที่เราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการเลือกตั้งในครั้งหน้า
นาย
พริษฐ์ กล่าวต่อว่า วาระการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ใช่เป็นแค่ข้อเรียกร้องของพรรคแกนนำฝ่ายค้าน หรือเป็นนโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภา ฉะนั้น ตนจึงคิดว่าบุคคลที่ควรมีส่วนสำคัญในการที่จะพยายามช่วยผลักดันให้วาระดังกล่าวสำเร็จคือนายกรัฐมนตรี แต่ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยสื่อสารเรื่องนี้ในที่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาประกบมีเพียงของพรรคเพื่อไทย ฉะนั้น ในอีก 2-3 วันนี้อยากเห็นบทบาทของนายกรัฐมนตรีเข้ามาผลักดันวาระดังกล่าวให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
นาย
พริษฐ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นการประชุมครม. ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็หวังว่าจะมีสัญญาณอะไรออกมา ส่วนที่มีสว. บางคนออกมาให้สัมภาษณ์เหมือนกับรัฐสภาไม่สามารถที่จะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ ซึ่งหากไปเปิดดูคำวินิจฉัยเมื่อปี 2564 จะเห็นย่อหน้าสุดท้ายระบุว่ารัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือบางคนอาจจะบอกว่าแม้รัฐสภาจะสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ก็ต้องทำประชามติ ก่อนที่จะมีการพิจารณาในวาระที่ 1 ตนต้องบอกว่าแม้รัฐสภาจะมีมติเห็นชอบแต่ก็ไม่ได้นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที แต่ต้องมีการทำประชามติก่อนหลังวาระ 3 ตามมาตรา 256 (8) และหลังจากที่ทำรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็จะต้องมีการทำประชามติอีกรอบ
เมื่อถามว่า พรรคปชน.เตรียมความพร้อมในการอภิปรายอย่างไร นาย
พริษฐ์ กล่าวว่า เราพยายามเต็มที่ในการที่จะสื่อสารกับสังคมและสมาชิกรัฐสภาเพื่อคลายทุกข้อสงสัย โดยเราจัดทัพคนที่จะอภิปรายไว้ประมาณ 30 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 โจทย์คือ โจทย์ที่หนึ่งจะอธิบายให้เห็นชัดว่าทำไมควรต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือทำไมรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 จึงมีปัญหา โจทย์ที่สองคือ เราเสนอให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไร และโจทย์ที่สามคือ จะอภิปรายให้คลายข้อสงสัยและข้อกังวลระหว่างการอภิปราย
“
แม้เราจะคาดการณ์การลงมติล่วงหน้าไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอเมื่อปี 2563 และที่ประชุมรัฐสภามีมติรับหลักการไปแล้ว และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะมีการพิจารณาในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ เราจะเห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องกัน ไม่ได้มีการเสนอเนื้อหาอะไรที่เกินเลยไปกว่าที่เคยเสนอเมื่อปี 2563 เลย อย่างไรก็ตาม เรายินดีรับฟังทุกข้อทักท้วงและชี้แจงทุกข้อสงสัย” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ ดังกล่าวไม่ผ่านหรือมีการเสนอญัตติส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พรรค ปชน.จะทำอย่างไรต่อ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ต้องรอดูวันนั้น หากมีการเสนอยติให้ส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน ตนก็จะอภิปรายว่าไม่เห็นด้วย และขอยืนยันว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทุกอย่าง รวมถึงเราต้องถามกลับไปว่าคนที่จะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญนั้นคาดหวังที่จะได้รับผลอะไร อย่างไรก็ตาม แม้จะลงมติแล้วไม่ผ่าน พรรค ปชน.คงจะต้องมีการหาแนวทางต่อไปในการผลักดันที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่คำถามนี้ก็ควรที่จะทำรัฐบาลด้วย เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่เพราะวันดังกล่าวก็จะมีมวลชนมาปักหลักรอติดตามการพิจารณาในสภาด้วย นายพริษฐ์ กล่าวว่า การที่ประชาชนมาแสดงออกหรือชุมนุมอย่างสันตินั้น เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยอยู่แล้ว แน่นอนว่าอาจจะมีประชาชนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เรากำลังจะจัดทำ แต่เราก็ยินดีรับฟังทุกเสียง และขอให้สมาชิกรัฐสภารับฟังทุกเสียงด้วย ถือเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนที่ให้ความสำคัญกับวาระที่พิจารณาในสภา อาจจะมาแสดงออกและดูว่ารัฐสภาคิดเห็นอย่างไร
JJNY : คุมเข้ม!ลอบขายน้ำมัน│DSIจ่อออกหมายจับหม่องชิตตู│พริษฐ์ลั่นแม้ถูกตีตกก็จะผลักดัน│CDCพบหวัดนกหวัดนกหวัดนกพันธุ์ใหม่
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/242539
เจ้าหน้าที่คุมเข้มลักลอบขายน้ำมันชายแดนไทย-เมียนมา แนะปั๊มน้ำมันฝั่งไทยปฏิบัติตามพ.ร.บ.ควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง หลังน้ำมันฝั่งเมียวดีทะลุลิตรละ 100 บาท
เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหน่วยเฉพาะกิจราชมนู (ฉก.ราชมนู) ร่วมกับพลังงานจังหวัดตาก ปกครองจังหวัดตาก ตำรวจภูธรแม่สอด ลงพื้นที่ร่วมตรวจสอบสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่อำเภอแม่สอด จ.ตาก เพื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้ประกอบการสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ให้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2542 จำนวน 3 แห่ง คือ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง ปตท.ริมเมย ต.ท่าสายลวด, สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เชลล์ ต.แม่ปะ, สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เอสโซ่ ต.แม่ปะ
โดยได้เน้นย้ำ และประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการสถานีน้ำมันเชื้อเพลิงในพื้นที่ชายแดนจังหวัดตาก ดำเนินการตามพระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเคร่งครัดตามแนวทางที่รัฐบาลได้สั่งการ โดยมิให้ ผู้ที่มาใช้บริการได้มีการกักตุนน้ำมัน ใส่ในแกลลอนหรือถังน้ำมันขนาดใหญ่
รายงานข่าวจากจังหวัดเมียววดี ประเทศเมียนมา แจ้งว่า ราคาน้ำมัน ได้ขยับขึ้นทะลุลิตรละ 100 บาทแล้ว ทั้งดีเซลและเบนซิน ซึ่งเป็นที่ต้องการ ในการนำไปใส่เครื่องปั่นไฟ และสายยานพาหนะ โดยปั๊มน้ำมันในฝั่งจังหวัดเมียววดี เริ่มเหลือน้อยทุกวัน
DSI จ่อออกหมายจับ หม่องชิตตู พร้อมพวก คดีค้ามนุษย์ บังคับชาวอิเดียเป็นแก๊งคอล
https://www.matichon.co.th/politics/news_5043532
ดีเอสไอ จ่อออกหมายจับ พันเอก หม่องชิตตู พร้อมพวก คดีค้ามนุษย์ บังคับชาวอิเดีย เป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ รายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า ในวันนี้พนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะนำหลักฐานคดีค้ามนุษย์เข้าพบพนักงานอัยการ สำนักคดีค้ามนุษย์ เพื่อหารือในประเด็นข้อกฎหมายในการออกหมายจับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นผู้นำกองกำลัง BGF หรือผู้นำกองกำลังกะเหรี่ยง กองกำลังสำคัญที่ปกครองเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ตามที่ปรากฏหลักฐานภายหลังการช่วยเหลือเหยื่อคดีค้ามนุษย์ ชาวอินเดีย ซึ่งถูกนำตัวไปบังคับทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เบื้องต้นมีรายงานด้วยว่า ผู้นำกองกำลัง BGF ที่จะมีการเสนอขอออกหมายจับ ประกอบด้วย พันเอก ซอชิตตู่ (Colonel Saw Chit Thu) หรือ พันเอก หม่องชิตตู, พันโท โมเต โธน (Lieutenant Colonel Mote Thone) และ พันตรี ทิน วิน Tin Win (Major Tin Win)
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมมาตรา 256 และหมวด 15/1 ในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ ว่า มีความสำคัญ 2 ด้านคือ เป็นโอกาสสำคัญที่เราจะเข้าใกล้สู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มากที่สุด นับตั้งแต่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในปี 2564 ที่ผ่านมาทางคณะกรรมการของประธานสภาฯ ไม่เคยบรรจุร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมมาก่อน และอีกหนึ่งความสำคัญคือหากรัฐสภาไม่มีมติเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ที่เราจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันการเลือกตั้งในครั้งหน้า
นายพริษฐ์ กล่าวต่อว่า วาระการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่ใช่เป็นแค่ข้อเรียกร้องของพรรคแกนนำฝ่ายค้าน หรือเป็นนโยบายของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรี เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภา ฉะนั้น ตนจึงคิดว่าบุคคลที่ควรมีส่วนสำคัญในการที่จะพยายามช่วยผลักดันให้วาระดังกล่าวสำเร็จคือนายกรัฐมนตรี แต่ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีกลับไม่เคยสื่อสารเรื่องนี้ในที่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังเห็นว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ได้ยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาประกบมีเพียงของพรรคเพื่อไทย ฉะนั้น ในอีก 2-3 วันนี้อยากเห็นบทบาทของนายกรัฐมนตรีเข้ามาผลักดันวาระดังกล่าวให้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น
นายพริษฐ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เป็นการประชุมครม. ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะมีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็หวังว่าจะมีสัญญาณอะไรออกมา ส่วนที่มีสว. บางคนออกมาให้สัมภาษณ์เหมือนกับรัฐสภาไม่สามารถที่จะพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ ซึ่งหากไปเปิดดูคำวินิจฉัยเมื่อปี 2564 จะเห็นย่อหน้าสุดท้ายระบุว่ารัฐสภามีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือบางคนอาจจะบอกว่าแม้รัฐสภาจะสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ แต่ก็ต้องทำประชามติ ก่อนที่จะมีการพิจารณาในวาระที่ 1 ตนต้องบอกว่าแม้รัฐสภาจะมีมติเห็นชอบแต่ก็ไม่ได้นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที แต่ต้องมีการทำประชามติก่อนหลังวาระ 3 ตามมาตรา 256 (8) และหลังจากที่ทำรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วก็จะต้องมีการทำประชามติอีกรอบ
เมื่อถามว่า พรรคปชน.เตรียมความพร้อมในการอภิปรายอย่างไร นายพริษฐ์ กล่าวว่า เราพยายามเต็มที่ในการที่จะสื่อสารกับสังคมและสมาชิกรัฐสภาเพื่อคลายทุกข้อสงสัย โดยเราจัดทัพคนที่จะอภิปรายไว้ประมาณ 30 คน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 โจทย์คือ โจทย์ที่หนึ่งจะอธิบายให้เห็นชัดว่าทำไมควรต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หรือทำไมรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 จึงมีปัญหา โจทย์ที่สองคือ เราเสนอให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างไร และโจทย์ที่สามคือ จะอภิปรายให้คลายข้อสงสัยและข้อกังวลระหว่างการอภิปราย
“แม้เราจะคาดการณ์การลงมติล่วงหน้าไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอเมื่อปี 2563 และที่ประชุมรัฐสภามีมติรับหลักการไปแล้ว และร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะมีการพิจารณาในวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ เราจะเห็นว่ามีเนื้อหาสาระที่สอดคล้องกัน ไม่ได้มีการเสนอเนื้อหาอะไรที่เกินเลยไปกว่าที่เคยเสนอเมื่อปี 2563 เลย อย่างไรก็ตาม เรายินดีรับฟังทุกข้อทักท้วงและชี้แจงทุกข้อสงสัย” นายพริษฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากวันที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้ ดังกล่าวไม่ผ่านหรือมีการเสนอญัตติส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญ พรรค ปชน.จะทำอย่างไรต่อ นายพริษฐ์ กล่าวว่า ต้องรอดูวันนั้น หากมีการเสนอยติให้ส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญก่อน ตนก็จะอภิปรายว่าไม่เห็นด้วย และขอยืนยันว่าสิ่งที่เราทำอยู่เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทุกอย่าง รวมถึงเราต้องถามกลับไปว่าคนที่จะไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญนั้นคาดหวังที่จะได้รับผลอะไร อย่างไรก็ตาม แม้จะลงมติแล้วไม่ผ่าน พรรค ปชน.คงจะต้องมีการหาแนวทางต่อไปในการผลักดันที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่คำถามนี้ก็ควรที่จะทำรัฐบาลด้วย เพราะเป็นนโยบายของรัฐบาลเช่นกัน
เมื่อถามว่า ห่วงหรือไม่เพราะวันดังกล่าวก็จะมีมวลชนมาปักหลักรอติดตามการพิจารณาในสภาด้วย นายพริษฐ์ กล่าวว่า การที่ประชาชนมาแสดงออกหรือชุมนุมอย่างสันตินั้น เป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยอยู่แล้ว แน่นอนว่าอาจจะมีประชาชนที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เรากำลังจะจัดทำ แต่เราก็ยินดีรับฟังทุกเสียง และขอให้สมาชิกรัฐสภารับฟังทุกเสียงด้วย ถือเป็นเรื่องปกติที่ประชาชนที่ให้ความสำคัญกับวาระที่พิจารณาในสภา อาจจะมาแสดงออกและดูว่ารัฐสภาคิดเห็นอย่างไร