วันเค้กทั้งก้อน วันที่ 8 ของทุกเดือน Whole Cake Day (Japan)
...
เค้กเต็มก้อน 1 ปอนด์ 2 ปอนด์ ไม่ได้หมายถึงให้กินคนเดียวจนหมดนะ (หรือมีคนกินคนเดียว..)
ความหมายที่แอบแฝงอยู่จริงๆ แล้วคือ ความสัมพันธ์ดีๆ กับครอบครัวหรือเพื่อนต่างหาก
เพราะเค้กเต้มก่อน คือการช่วยให้ผู้คนมารวมตัว และแบ่งปันช่วงเวลาอร่อยแห่งความสุขด้วยกัน
หลายคนคงไม่เคยได้ยิน "วันเค้กทั้งก้อน" เป็นแน่!
แต่เบื้องหลังการก่อตั้งวันเค้กทั้งก้อนพิเศษนี้ ก่อตั้งขึ้นโดย Ichiyanagi บริษัทจำกัดที่ดำเนินกิจการ "Patisserie Ichiryu" ในเขตชูโอ เมืองฟุกุโอกะ จังหวัดฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายขนมตะวันตก โดยให้วันที่ 8 ของทุกเดือนถูกกำหนดให้เป็น "วันเค้กทั้งก้อน" ในวันนี้จะมีการเฉลิมฉลองด้วยการกินเค้กทั้งก้อน โดยไม่มีการแบ่งแยกออกเป็นชิ้นๆ และเนื่องจากเลข 8 มีลักษณะคล้ายฐานของเทียนและเค้ก และวันที่ 8 ของทุกเดือนถือเป็นวันที่สำคัญในปฏิทินรายสัปดาห์ โดยวันที่ 8 นี้จะมีความต่อเนื่องกันในแต่ละสัปดาห์ของเดือน
วันนี้ยังได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสมาคมวันรำลึกแห่งญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2020 โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ช่วงเวลากับคนที่คุณรักมีความสุข และมีค่ามากขึ้น และทำให้การรับประทานเค้กทั้งก้อนรวมกัน ซึ่งปกติอาจกินเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี กลายเป็นเรื่องที่คุ้นเคยและเพลิดเพลินได้บ่อยขึ้น
.
แม้ว่าวันเค้กทั้งก้อนจะยังเป็นวันครบรอบที่ค่อนข้างใหม่ แต่ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเป็นโอกาสให้ผู้คนได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับคนที่รักผ่านเค้กทั้งก้อน และค้นพบวิธีการเพลิดเพลินกับเค้กแบบใหม่ๆ
...
เค้กเป็นของหวานที่มีมาอย่างยาวนาน และได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมายตลอดหลายศตวรรษ ตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณไปจนถึงนักอบขนมยุคใหม่ แม้ว่าต้นกำเนิดที่แน่ชัดของเค้กจะยังไม่สามารถระบุได้ แต่มีหลักฐานว่าชาวอียิปต์โบราณเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่เริ่มอบเค้กโดยใช้ส่วนผสมอย่างน้ำผึ้งและผลไม้ ซึ่งมักถูกใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา เพราะพวกเขาเชื่อว่าเค้กเป็นสัญลักษณ์ของความหวานในชีวิต
ชาวอียิปต์โบราณได้รับการยกย่องว่าเป็นอารยธรรมแรกที่มีการอบเค้ก เมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน พวกเขาผสมส่วนผสมอย่างน้ำผึ้ง ถั่ว และผลไม้เข้ากับข้าวบาร์เลย์ แล้วนำมาอบเป็นเค้กขนาดเล็ก เค้กเหล่านี้ไม่เพียงแต่ใช้ในงานเลี้ยงทั่วไปเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปถวายเทพเจ้าเพื่อแสดงความขอบคุณอีกด้วย
.
ส่วนชาวกรีกและโรมันนั้นมีการอบเค้กโดยใช้ส่วนผสมอย่างน้ำมันมะกอกและเครื่องเทศ เช่น อบเชยและจันทน์เทศ เพื่อเพิ่มรสชาติให้โดดเด่น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการทำเค้กของชาวอียิปต์ และได้นำมาพัฒนาให้มีเอกลักษณ์ของตนเอง ชาวกรีกนิยมเติมชีสลงไปในเค้ก ขณะที่ชาวโรมันได้ทดลองใช้ส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น น้ำผึ้งและเครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติ วัฒนธรรมการทำเค้กเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วจักรวรรดิโรมัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันของพวกเขา
.
ยุคเรอเนซองส์ (ระหว่างปี ค.ศ. 1460 ไปจนถึง ค.ศ. 1530 ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒณธรรมในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒณธรรมยุคใหม่) เป็นช่วงเวลาแห่งความสร้างสรรค์ทั้งในด้านศิลปะและอาหาร และเค้กก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นักอบขนมเริ่มพัฒนาทักษะให้ก้าวหน้าขึ้น มีการใช้วัตถุดิบอย่างน้ำตาลและเนย เพื่อทำให้เค้กมีรสชาติหวานมันและเนื้อนุ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการบันทึกสูตรการทำเค้กเป็นลายลักษณ์อักษรและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
.
เมื่อสังคมเปลี่ยนไป รสชาติและประเภทของเค้กก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ในศตวรรษที่ 20 เค้กที่มีส่วนผสมจากผลไม้ เช่น บานาน่าบริด (Banana Bread) และแครอทเค้ก (Carrot Cake) ได้รับความนิยม และต่อมาเค้กช็อกโกแลตเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
...
ในปัจจุบัน เราได้เห็นรสชาติที่แปลกใหม่มากมาย และยากที่จะอดใจไหว จะขอยกตัวอยากเค้กที่น่ากินน่าสนใจมาฝาก
1. Lane cake
เค้กเลน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เค้กรางวัล" และ "เค้กเลนอลาบามา" เป็นหนึ่งในขนมหวานสุดคลาสสิกของภาคใต้สหรัฐฯ โดดเด่นด้วยเนื้อเค้กฟองน้ำเนียนนุ่ม ผสานความหอมหวานจากมะพร้าว ลูกเกด คัสตาร์ด และเบอร์เบิน ที่ช่วยเติมเสน่ห์ให้กับรสชาติได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ เค้กยังถูกปิดท้ายด้วยฟรอสติ้งเนื้อนุ่ม เพิ่มความละมุนและความหรูหราให้กับขนมชนิดนี้
เค้กเลนนั้นถูกคิดค้นขึ้นโดย เอ็มม่า ไรแลนเดอร์ เลน (Emma Rylander Lane) หญิงสาวจากเมืองเคลย์ตัน รัฐอลาบามา เธอได้นำสูตรเค้กสุดพิเศษนี้ไปแข่งขันในงานเทศกาลประจำมณฑลที่เมืองโคลัมบัส รัฐจอร์เจีย และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้อย่างภาคภูมิใจ จึงทำให้เค้กชนิดนี้ถูกขนานนามว่า "เค้กรางวัล"
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1898 เธอได้บันทึกสูตรของเค้กเลนลงในหนังสือทำอาหารของเธอชื่อ Some Good Things to Eat ทำให้สูตรขนมนี้แพร่หลายไปทั่วภาคใต้ของสหรัฐฯ และกลายเป็นหนึ่งในขนมที่ได้รับความนิยมในงานเลี้ยง งานเลี้ยงรับรอง รวมถึงงานแต่งงาน
เค้กเลนไม่ได้เป็นเพียงขนมหวานที่ขึ้นชื่อในแวดวงอาหารเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในโลกวรรณกรรมอีกด้วย ขนมชนิดนี้ถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมระดับตำนานอย่าง To Kill a Mockingbird ของ ฮาร์เปอร์ ลี ซึ่งเป็นหนึ่งในนิยายคลาสสิกของอเมริกา
.
2. Ice cream cake
เค้กไอศกรีม เป็นของหวานที่ผสมผสานความอร่อยระหว่าง ไอศกรีมและแป้งเค้ก เป็นชั้นๆ หรือในบางกรณี อาจเป็นเค้กที่มีแต่ไอศกรีมล้วน
โดยทั่วไปแล้ว เค้กไอศกรีมมักถูกตกแต่งด้วยไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่ทำหน้าที่แทนน้ำตาลไอซิ่ง เพื่อเพิ่มความเนียนนุ่มและรสชาติที่ละมุนละไม อย่างไรก็ตาม บางสูตรอาจใช้ไอซิ่งแบบดั้งเดิมแทนไอศกรีมเพื่อให้ได้สัมผัสที่แตกต่าง
แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเค้กไอศกรีม บางคนเชื่อว่าขนมชนิดนี้มีรากฐานมาจากอังกฤษ แต่ในปัจจุบันกลับได้รับความนิยมอย่างมากใน อเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในงานวันเกิดและโอกาสพิเศษต่างๆ
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ไอศกรีมยังถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่เข้าถึงได้เฉพาะคนมีฐานะเท่านั้น ทำให้เค้กไอศกรีมเป็นของหวานสุดหรูหราที่พบได้เฉพาะในงานเลี้ยงของชนชั้นสูง
.
3. Boston Cream Pie
ชื่ออาจจะเข้าใจว่าเป็นพาย แต่จริงแล้วเป็นเค้ก ไม่ใช่พายนะ ซึ่งประกอบไปด้วย เค้กฟองน้ำสองชั้น สอดไส้ด้วยคัสตาร์ดวานิลลาเข้มข้น และปิดท้ายด้วยการเคลือบ ช็อกโกแลตเงาวาว หรือในบางสูตรอาจโรยน้ำตาลไอซิ่งเพิ่มความสวยงาม
เหตุผลที่ขนมชนิดนี้ถูกเรียกว่า "พาย" นั้นมาจาก วิธีการอบในยุคแรกๆ โดยในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พิมพ์พายได้รับความนิยมมากกว่าพิมพ์เค้ก เชฟจึงเลือกใช้พิมพ์พายในการอบเค้กฟองน้ำ ส่งผลให้ชื่อ "Boston Cream Pie" ถือกำเนิดขึ้น
ขนมชนิดนี้ถูกคิดค้นโดย เชฟชาวฝรั่งเศสชื่อ Sanzian ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงแรม Parker House ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โรงแรมแห่งนี้อ้างว่าได้เสิร์ฟ Boston Cream Pie มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 ซึ่งเดิมทีชื่อว่า "Parker House Chocolate Cream Pie" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อนี้ค่อยๆ ถูกเรียกสั้นลงจนกลายเป็น "Boston Cream Pie"
ด้วยความโดดเด่นและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ในปี ค.ศ. 1996 Boston Cream Pie ได้รับการประกาศให้เป็น ของหวานประจำรัฐแมสซาชูเซตส์อย่างเป็นทางการ
.
4. Dirt Cake
เรียกได้ว่าเป็นเค้กแห่งความสนุก ทำขึ้นจากส่วนผสมที่ชอบได้เลย โดยไม่ต้องอบ ไม่ว่าจะใช้คุกกี้โอรีโอ พุดดิ้ง วิปครีม โรยด้วยเยลลี่ไว้ด้านบน ให้ดูเลอะเทอะ ที่เป็นที่มาของชื่อนี้
แม้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของ Dirt Cake จะไม่ชัดเจน แต่มันกลายเป็นที่นิยมในช่วง ทศวรรษ 1970 และได้รับความรักจากเด็กๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ทำง่าย สนุก และให้บรรยากาศที่เล่นกันในงานปาร์ตี้ งานวันเกิดสำหรับเด็กๆ
.
5. Gooey Butter Cake
เป็นเค้กขึ้นชื่อของเมือง เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจาก ย่านทางตอนใต้ของเมือง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมันจำนวนมากในอดีต
เค้กนี้มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ มีเนื้อแน่น หนึบ และหวานมัน ทำจากแป้งสาลี เนย น้ำตาล และไข่ โดยโรยหน้าด้วย น้ำตาลไอซิ่ง บางสูตรอาจเพิ่มราสเบอร์รี่เพื่อเพิ่มความสดชื่น
ว่ากันว่าเค้กชนิดนี้เกิดขึ้น โดยความบังเอิญ ในช่วง ทศวรรษ 1930 เมื่อคนทำขนมปังพยายามทำเค้กเนยสีเหลือง แต่เผลอใส่เนยหรือไขมันมากเกินไป แทนที่เขาจะทิ้งเค้ก เขากลับนำออกมาขาย และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะผู้คนชื่นชอบเนื้อสัมผัสหนึบหนับและรสชาติที่เข้มข้น
ช่วงเวลานั้นเป็นยุค เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) การที่ขนมชนิดนี้ถูกขายและได้รับความนิยม อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยน "ความผิดพลาด" ให้กลายเป็นของอร่อยที่อยู่ยาวมาจนถึงปัจจุบัน
.
6. Huguenot Torte
เค้กพุดดิ้ง แอปเปิ้ลอบและพีแคนหรือวอลนัท อบจนได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ทำจาก แอปเปิ้ลและพีแคนหรือวอลนัท ด้านบนเป็น เมอแรงค์บางกรอบ และมักเสิร์ฟพร้อม วิปครีม เพื่อเพิ่มความละมุน
เป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา แต่ถึงแม้ชื่อจะทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเกี่ยวข้องกับ ชาวฮูเกอโนต์ (Huguenots) ซึ่งเป็นชาวโปรเตสแตนต์ฝรั่งเศสที่อพยพมายังอเมริกาเพื่อแสวงหาเสรีภาพทางศาสนาในศตวรรษที่ 17 แต่แท้จริงแล้ว Huguenot Torte ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสเลย
Huguenot Torte เป็นขนมที่เกิดขึ้น ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 และมีรากฐานมาจากของหวานในแถบมิดเวสต์ที่เรียกว่า พุดดิ้งโอซาร์ก (Ozark pudding) สูตรของขนมชนิดนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือทำอาหารชุมชนชื่อดัง Charleston Receipts ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1950 และกลายเป็นที่นิยมในชาร์ลสตัน
ผู้ที่นำเสนอสูตรนี้คือ Evelyn Anderson Florance เธอทำงานเป็นเชฟขนมหวานในร้านอาหารชื่อ Huguenot Tavern และตั้งชื่อขนมตามร้านที่เธอทำงานอยู่ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นเค้กประจำท้องถิ่น
.
7. Lady Baltimore Cake
ว่ากันว่าเค้กคลาสสิกอเมริกัน ชิ้นนี้คิดค้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยฟลอเรนซ์ (Florence) และนินา อ็อตเตเลนกุย (Nina Ottelengui) เจ้าของร้านน้ำชาเลดี้บัลติมอร์ในเมืองชาร์ลสตัน ในปี ค.ศ. 1906 และ โอเวน วิสเตอร์ ( Owen Wister) เขียนนวนิยายรักชื่อเดียวกันนี้ ที่บรรยายถึงเค้กหวานแสนอร่อยด้วยบทกวี ทำให้เค้กนี้กลายเป็นเค้กโปรดมาโดยตลอด
Lady Baltimore Cake ทำจากเค้กสปันจ์สีขาวหลายชั้น และฟรอสติ้งรสเข้มข้น ผสมกับถั่วสับและผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด มะกอก และอินทผลัม นอกจากนี้ นอกจากเค้กเลดี้ที่ใส่ไข่ขาวอย่างเดียวแล้ว ยังมีเค้กอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าลอร์ดบัลติมอร์ ซึ่งทำจากไข่แดงที่เหลือและไส้เป็นอัลมอนด์คั่ว มาการองบด และเชอร์รีเคลือบน้ำตาล
.
เค้กมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ใครที่ได้กินเป็นต้องหลงไหล (ปล. การบริโภคเค้กมากเกิน อาจส่งผลทำให้เกิดโรคได้ กินแต่พอดีในปริมาณพอเหมาะดีที่สุดครับผม)
...
เพื่อนๆ ที่ได้ไปญี่ปุ่นลองแวะร้าน Patisserie Ichiryu :
https://ichiryu.jp/ เหมือนจะทุกวันที่ 8 ของเดือนจะมีเค้กพิเศษเฉพาะในวันนี้..
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: bestcalendar .jp
: cakere
: candiesandsweets
: wikipedia
: tasteatlas
: alabamachanin
: whatscookingamerica
: cookist
.
LookAt
ว่าด้วยเค้กเต็มก้อน..คำเตือน! ไม่กลัวความอวบก็เข้ามาอ่านได้ครับผม
แต่เบื้องหลังการก่อตั้งวันเค้กทั้งก้อนพิเศษนี้ ก่อตั้งขึ้นโดย Ichiyanagi บริษัทจำกัดที่ดำเนินกิจการ "Patisserie Ichiryu" ในเขตชูโอ เมืองฟุกุโอกะ จังหวัดฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายขนมตะวันตก โดยให้วันที่ 8 ของทุกเดือนถูกกำหนดให้เป็น "วันเค้กทั้งก้อน" ในวันนี้จะมีการเฉลิมฉลองด้วยการกินเค้กทั้งก้อน โดยไม่มีการแบ่งแยกออกเป็นชิ้นๆ และเนื่องจากเลข 8 มีลักษณะคล้ายฐานของเทียนและเค้ก และวันที่ 8 ของทุกเดือนถือเป็นวันที่สำคัญในปฏิทินรายสัปดาห์ โดยวันที่ 8 นี้จะมีความต่อเนื่องกันในแต่ละสัปดาห์ของเดือน
วันนี้ยังได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากสมาคมวันรำลึกแห่งญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 2020 โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ช่วงเวลากับคนที่คุณรักมีความสุข และมีค่ามากขึ้น และทำให้การรับประทานเค้กทั้งก้อนรวมกัน ซึ่งปกติอาจกินเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี กลายเป็นเรื่องที่คุ้นเคยและเพลิดเพลินได้บ่อยขึ้น
.
แม้ว่าวันเค้กทั้งก้อนจะยังเป็นวันครบรอบที่ค่อนข้างใหม่ แต่ก็กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยเป็นโอกาสให้ผู้คนได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับคนที่รักผ่านเค้กทั้งก้อน และค้นพบวิธีการเพลิดเพลินกับเค้กแบบใหม่ๆ
ชาวอียิปต์โบราณได้รับการยกย่องว่าเป็นอารยธรรมแรกที่มีการอบเค้ก เมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน พวกเขาผสมส่วนผสมอย่างน้ำผึ้ง ถั่ว และผลไม้เข้ากับข้าวบาร์เลย์ แล้วนำมาอบเป็นเค้กขนาดเล็ก เค้กเหล่านี้ไม่เพียงแต่ใช้ในงานเลี้ยงทั่วไปเท่านั้น แต่ยังถูกนำไปถวายเทพเจ้าเพื่อแสดงความขอบคุณอีกด้วย
.
ส่วนชาวกรีกและโรมันนั้นมีการอบเค้กโดยใช้ส่วนผสมอย่างน้ำมันมะกอกและเครื่องเทศ เช่น อบเชยและจันทน์เทศ เพื่อเพิ่มรสชาติให้โดดเด่น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากการทำเค้กของชาวอียิปต์ และได้นำมาพัฒนาให้มีเอกลักษณ์ของตนเอง ชาวกรีกนิยมเติมชีสลงไปในเค้ก ขณะที่ชาวโรมันได้ทดลองใช้ส่วนผสมที่หลากหลาย เช่น น้ำผึ้งและเครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติ วัฒนธรรมการทำเค้กเหล่านี้แพร่กระจายไปทั่วจักรวรรดิโรมัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันของพวกเขา
.
ยุคเรอเนซองส์ (ระหว่างปี ค.ศ. 1460 ไปจนถึง ค.ศ. 1530 ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒณธรรมในทวีปยุโรป ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒณธรรมยุคใหม่) เป็นช่วงเวลาแห่งความสร้างสรรค์ทั้งในด้านศิลปะและอาหาร และเค้กก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น นักอบขนมเริ่มพัฒนาทักษะให้ก้าวหน้าขึ้น มีการใช้วัตถุดิบอย่างน้ำตาลและเนย เพื่อทำให้เค้กมีรสชาติหวานมันและเนื้อนุ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีการบันทึกสูตรการทำเค้กเป็นลายลักษณ์อักษรและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
.
เมื่อสังคมเปลี่ยนไป รสชาติและประเภทของเค้กก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ในศตวรรษที่ 20 เค้กที่มีส่วนผสมจากผลไม้ เช่น บานาน่าบริด (Banana Bread) และแครอทเค้ก (Carrot Cake) ได้รับความนิยม และต่อมาเค้กช็อกโกแลตเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น
...
ในปัจจุบัน เราได้เห็นรสชาติที่แปลกใหม่มากมาย และยากที่จะอดใจไหว จะขอยกตัวอยากเค้กที่น่ากินน่าสนใจมาฝาก
1. Lane cake
เค้กเลน หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เค้กรางวัล" และ "เค้กเลนอลาบามา" เป็นหนึ่งในขนมหวานสุดคลาสสิกของภาคใต้สหรัฐฯ โดดเด่นด้วยเนื้อเค้กฟองน้ำเนียนนุ่ม ผสานความหอมหวานจากมะพร้าว ลูกเกด คัสตาร์ด และเบอร์เบิน ที่ช่วยเติมเสน่ห์ให้กับรสชาติได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ เค้กยังถูกปิดท้ายด้วยฟรอสติ้งเนื้อนุ่ม เพิ่มความละมุนและความหรูหราให้กับขนมชนิดนี้
เค้กเลนนั้นถูกคิดค้นขึ้นโดย เอ็มม่า ไรแลนเดอร์ เลน (Emma Rylander Lane) หญิงสาวจากเมืองเคลย์ตัน รัฐอลาบามา เธอได้นำสูตรเค้กสุดพิเศษนี้ไปแข่งขันในงานเทศกาลประจำมณฑลที่เมืองโคลัมบัส รัฐจอร์เจีย และสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้อย่างภาคภูมิใจ จึงทำให้เค้กชนิดนี้ถูกขนานนามว่า "เค้กรางวัล"
หลังจากนั้น ในปี ค.ศ. 1898 เธอได้บันทึกสูตรของเค้กเลนลงในหนังสือทำอาหารของเธอชื่อ Some Good Things to Eat ทำให้สูตรขนมนี้แพร่หลายไปทั่วภาคใต้ของสหรัฐฯ และกลายเป็นหนึ่งในขนมที่ได้รับความนิยมในงานเลี้ยง งานเลี้ยงรับรอง รวมถึงงานแต่งงาน
เค้กเลนไม่ได้เป็นเพียงขนมหวานที่ขึ้นชื่อในแวดวงอาหารเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในโลกวรรณกรรมอีกด้วย ขนมชนิดนี้ถูกกล่าวถึงในวรรณกรรมระดับตำนานอย่าง To Kill a Mockingbird ของ ฮาร์เปอร์ ลี ซึ่งเป็นหนึ่งในนิยายคลาสสิกของอเมริกา
.
2. Ice cream cake
เค้กไอศกรีม เป็นของหวานที่ผสมผสานความอร่อยระหว่าง ไอศกรีมและแป้งเค้ก เป็นชั้นๆ หรือในบางกรณี อาจเป็นเค้กที่มีแต่ไอศกรีมล้วน
โดยทั่วไปแล้ว เค้กไอศกรีมมักถูกตกแต่งด้วยไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่ทำหน้าที่แทนน้ำตาลไอซิ่ง เพื่อเพิ่มความเนียนนุ่มและรสชาติที่ละมุนละไม อย่างไรก็ตาม บางสูตรอาจใช้ไอซิ่งแบบดั้งเดิมแทนไอศกรีมเพื่อให้ได้สัมผัสที่แตกต่าง
แม้ว่าจะมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเค้กไอศกรีม บางคนเชื่อว่าขนมชนิดนี้มีรากฐานมาจากอังกฤษ แต่ในปัจจุบันกลับได้รับความนิยมอย่างมากใน อเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในงานวันเกิดและโอกาสพิเศษต่างๆ
ในช่วงศตวรรษที่ 19 ไอศกรีมยังถือเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่เข้าถึงได้เฉพาะคนมีฐานะเท่านั้น ทำให้เค้กไอศกรีมเป็นของหวานสุดหรูหราที่พบได้เฉพาะในงานเลี้ยงของชนชั้นสูง
.
3. Boston Cream Pie
ชื่ออาจจะเข้าใจว่าเป็นพาย แต่จริงแล้วเป็นเค้ก ไม่ใช่พายนะ ซึ่งประกอบไปด้วย เค้กฟองน้ำสองชั้น สอดไส้ด้วยคัสตาร์ดวานิลลาเข้มข้น และปิดท้ายด้วยการเคลือบ ช็อกโกแลตเงาวาว หรือในบางสูตรอาจโรยน้ำตาลไอซิ่งเพิ่มความสวยงาม
เหตุผลที่ขนมชนิดนี้ถูกเรียกว่า "พาย" นั้นมาจาก วิธีการอบในยุคแรกๆ โดยในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 พิมพ์พายได้รับความนิยมมากกว่าพิมพ์เค้ก เชฟจึงเลือกใช้พิมพ์พายในการอบเค้กฟองน้ำ ส่งผลให้ชื่อ "Boston Cream Pie" ถือกำเนิดขึ้น
ขนมชนิดนี้ถูกคิดค้นโดย เชฟชาวฝรั่งเศสชื่อ Sanzian ซึ่งทำงานอยู่ที่โรงแรม Parker House ในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ โรงแรมแห่งนี้อ้างว่าได้เสิร์ฟ Boston Cream Pie มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1856 ซึ่งเดิมทีชื่อว่า "Parker House Chocolate Cream Pie" แต่เมื่อเวลาผ่านไป ชื่อนี้ค่อยๆ ถูกเรียกสั้นลงจนกลายเป็น "Boston Cream Pie"
ด้วยความโดดเด่นและประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ในปี ค.ศ. 1996 Boston Cream Pie ได้รับการประกาศให้เป็น ของหวานประจำรัฐแมสซาชูเซตส์อย่างเป็นทางการ
.
4. Dirt Cake
เรียกได้ว่าเป็นเค้กแห่งความสนุก ทำขึ้นจากส่วนผสมที่ชอบได้เลย โดยไม่ต้องอบ ไม่ว่าจะใช้คุกกี้โอรีโอ พุดดิ้ง วิปครีม โรยด้วยเยลลี่ไว้ด้านบน ให้ดูเลอะเทอะ ที่เป็นที่มาของชื่อนี้
แม้ว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของ Dirt Cake จะไม่ชัดเจน แต่มันกลายเป็นที่นิยมในช่วง ทศวรรษ 1970 และได้รับความรักจากเด็กๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ทำง่าย สนุก และให้บรรยากาศที่เล่นกันในงานปาร์ตี้ งานวันเกิดสำหรับเด็กๆ
.
5. Gooey Butter Cake
เป็นเค้กขึ้นชื่อของเมือง เซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เชื่อกันว่ามีต้นกำเนิดมาจาก ย่านทางตอนใต้ของเมือง ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเยอรมันจำนวนมากในอดีต
เค้กนี้มีลักษณะเป็นแผ่นแบนๆ มีเนื้อแน่น หนึบ และหวานมัน ทำจากแป้งสาลี เนย น้ำตาล และไข่ โดยโรยหน้าด้วย น้ำตาลไอซิ่ง บางสูตรอาจเพิ่มราสเบอร์รี่เพื่อเพิ่มความสดชื่น
ว่ากันว่าเค้กชนิดนี้เกิดขึ้น โดยความบังเอิญ ในช่วง ทศวรรษ 1930 เมื่อคนทำขนมปังพยายามทำเค้กเนยสีเหลือง แต่เผลอใส่เนยหรือไขมันมากเกินไป แทนที่เขาจะทิ้งเค้ก เขากลับนำออกมาขาย และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะผู้คนชื่นชอบเนื้อสัมผัสหนึบหนับและรสชาติที่เข้มข้น
ช่วงเวลานั้นเป็นยุค เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) การที่ขนมชนิดนี้ถูกขายและได้รับความนิยม อาจเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการเปลี่ยน "ความผิดพลาด" ให้กลายเป็นของอร่อยที่อยู่ยาวมาจนถึงปัจจุบัน
.
6. Huguenot Torte
เค้กพุดดิ้ง แอปเปิ้ลอบและพีแคนหรือวอลนัท อบจนได้เนื้อสัมผัสกรอบนอกนุ่มใน ทำจาก แอปเปิ้ลและพีแคนหรือวอลนัท ด้านบนเป็น เมอแรงค์บางกรอบ และมักเสิร์ฟพร้อม วิปครีม เพื่อเพิ่มความละมุน
เป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองชาร์ลสตัน รัฐเซาท์แคโรไลนา แต่ถึงแม้ชื่อจะทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเกี่ยวข้องกับ ชาวฮูเกอโนต์ (Huguenots) ซึ่งเป็นชาวโปรเตสแตนต์ฝรั่งเศสที่อพยพมายังอเมริกาเพื่อแสวงหาเสรีภาพทางศาสนาในศตวรรษที่ 17 แต่แท้จริงแล้ว Huguenot Torte ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศสเลย
Huguenot Torte เป็นขนมที่เกิดขึ้น ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 และมีรากฐานมาจากของหวานในแถบมิดเวสต์ที่เรียกว่า พุดดิ้งโอซาร์ก (Ozark pudding) สูตรของขนมชนิดนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือทำอาหารชุมชนชื่อดัง Charleston Receipts ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1950 และกลายเป็นที่นิยมในชาร์ลสตัน
ผู้ที่นำเสนอสูตรนี้คือ Evelyn Anderson Florance เธอทำงานเป็นเชฟขนมหวานในร้านอาหารชื่อ Huguenot Tavern และตั้งชื่อขนมตามร้านที่เธอทำงานอยู่ ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นเค้กประจำท้องถิ่น
.
7. Lady Baltimore Cake
ว่ากันว่าเค้กคลาสสิกอเมริกัน ชิ้นนี้คิดค้นขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 โดยฟลอเรนซ์ (Florence) และนินา อ็อตเตเลนกุย (Nina Ottelengui) เจ้าของร้านน้ำชาเลดี้บัลติมอร์ในเมืองชาร์ลสตัน ในปี ค.ศ. 1906 และ โอเวน วิสเตอร์ ( Owen Wister) เขียนนวนิยายรักชื่อเดียวกันนี้ ที่บรรยายถึงเค้กหวานแสนอร่อยด้วยบทกวี ทำให้เค้กนี้กลายเป็นเค้กโปรดมาโดยตลอด
Lady Baltimore Cake ทำจากเค้กสปันจ์สีขาวหลายชั้น และฟรอสติ้งรสเข้มข้น ผสมกับถั่วสับและผลไม้แห้ง เช่น ลูกเกด มะกอก และอินทผลัม นอกจากนี้ นอกจากเค้กเลดี้ที่ใส่ไข่ขาวอย่างเดียวแล้ว ยังมีเค้กอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่าลอร์ดบัลติมอร์ ซึ่งทำจากไข่แดงที่เหลือและไส้เป็นอัลมอนด์คั่ว มาการองบด และเชอร์รีเคลือบน้ำตาล
.
เค้กมีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะรูปแบบไหนก็ล้วนแล้วแต่ทำให้ใครที่ได้กินเป็นต้องหลงไหล (ปล. การบริโภคเค้กมากเกิน อาจส่งผลทำให้เกิดโรคได้ กินแต่พอดีในปริมาณพอเหมาะดีที่สุดครับผม)
...
เพื่อนๆ ที่ได้ไปญี่ปุ่นลองแวะร้าน Patisserie Ichiryu : https://ichiryu.jp/ เหมือนจะทุกวันที่ 8 ของเดือนจะมีเค้กพิเศษเฉพาะในวันนี้..
.
ขอขอบคุณข้อมูล
: bestcalendar .jp
: cakere
: candiesandsweets
: wikipedia
: tasteatlas
: alabamachanin
: whatscookingamerica
: cookist
.
LookAt