“เวลา: ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของจักรวาล”
ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งมากมายที่ดูน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็น หลุมดำ ที่กลืนกินทุกสิ่ง การขยายตัวของเอกภพ ที่อาจทำให้ทุกอย่างแตกสลาย หรือแม้แต่ รังสีคอสมิก ที่สามารถทำลายชีวิตได้ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจักรวาลคือ ‘เวลา’ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งหรือย้อนกลับได้
1. เวลา: พลังที่ไม่มีวันถูกควบคุม
มนุษย์สามารถเดินทางไปในอวกาศ สร้างเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่ไม่สามารถควบคุมเวลาได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ไม่ว่าเราจะร่ำรวย มีอำนาจ หรือฉลาดแค่ไหน เราทุกคนต่างเป็นเหยื่อของกาลเวลา
• เวลาพรากทุกสิ่งไปจากเรา ชีวิตของเรา ค่าของเงิน ความเยาว์วัย และความฝัน
• แม้แต่จักรวาลเองก็ไม่รอดพ้น นักฟิสิกส์เชื่อว่าเอกภพจะค่อย ๆ เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวไปจนถึงจุดที่ทุกอย่างแยกจากกัน หรือการหดตัวกลับจนกลายเป็นภาวะ “Big Crunch”
2. อำนาจที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
เวลาไม่ได้ทำลายทุกสิ่งในทันที แต่มันค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ เช่น
• ดาวฤกษ์ที่เคยสว่างไสว จะดับลงกลายเป็นซุปเปอร์โนวา
• อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ล้วนล่มสลายไปตามกาลเวลา
• ความทรงจำของเราจะเลือนหายไป ไม่ว่าเราจะพยายามจดจำมันแค่ไหน
แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของเวลาได้
3. กับดักของเวลา: ยิ่งหนี ยิ่งถูกไล่ตาม
เราอาจคิดว่าการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น การมีสุขภาพดี หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์อาจอยู่ได้เป็นพันปีจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากกับดักของเวลา แต่ในที่สุด มันก็ไล่ตามเรามาจนได้
• คนที่พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ยังคงแก่ลงและสูญเสียสิ่งที่รักไป
• จักรวาลอาจอยู่ได้เป็นล้านล้านปี แต่ก็มีวันสิ้นสุด
• แม้แต่แนวคิด “อายุอมตะ” หากเป็นไปได้ ก็ไม่สามารถย้อนอดีตกลับมาแก้ไขสิ่งที่พลาดไปได้
4. วิธีเดียวที่จะเอาชนะเวลา
แม้เราไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถ ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด
• อย่ามัวแต่รอ “เวลาที่เหมาะสม” เพราะมันอาจไม่มีจริง
• ใช้ทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ สร้างสิ่งที่มีคุณค่าก่อนที่เวลาจะพรากมันไป
• อย่ากลัวอนาคตจนลืมใช้ชีวิตในปัจจุบัน
บทสรุป
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจักรวาล ไม่ใช่หลุมดำ หรืออำนาจลึกลับใด ๆ แต่คือ ‘เวลา’ เพราะมันเป็นสิ่งที่พรากทุกอย่างไปจากเราอย่างไม่ปรานี และไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขได้
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้คือใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ก่อนที่มันจะหมดลง
วันนี้ไปทำเรื่องโอนที่ดินมาแล้วเกิดปัญหา
โฉนดที่ดิน เป็นของย่า โอนให้พ่อ ประพัน
พ่อมีพี่น้อง2คน(รวมพ่อ) แต่ทั้งสองตายก่อนปู่กับย่า
พอผ่านมาไม่นาน ปู่กับย่าท่านก็เสีย เลยจะไปโอนที่ของพ่อมาเป็นชื่อผม
พ่อมีลูกคนเดียวซึ่งคือผม ท่านได้เลิกและจดทะเบียนหย่ากับแม่นานแล้ว
พอไปโอนนึกว่าเป็นชื่อพ่อแล้วจะตกมาสู่ท่ายาทลำดับ1คือเรา
แต่ไปทำเรื่องเขาบอกตอนนี้ มรดกมันไปเป็นกรรมสิทธิ์ของปู่กับย่า เพราะตายทีหลังพ่อ
ซึ่งทำให้พอปู่กับย่าท่านตาย ก็ต้องแบ่งโฉนดตรงนี้ไปในส่วนของน้องพ่อ
ต้องติดต่อญาติทางฝั่งของน้องพ่อมาทำเรื่องยกหรือแบ่ง
“ไอติมจีน” อาจไม่ปังอย่างที่คิด เมื่อทุกแบรนด์ทำได้ไม่ต่าง
นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นมา ต้องยอมรับว่าตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยเป็นกระแสมาอย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาบุกตลาดของแฟรนไชส์ไอศกรีมและชาจาก จีน อินโดฯ
อย่าง Mixue, Ai-Cha ตามมาด้วย Wedrink และ Bing Chun ชูกลยุทธ์ราคาถูก ขายไอศกรีมโคน 15 บาท สามารถสร้างสีสันให้กับตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยได้อย่างมาก
ทำเอาหลายๆ แบรนด์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ
ในไทยหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ด้วยมูลค่าตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยสูงถึง 25,000 ล้านบาท
เป็นสินค้าตลาด Mass ทานทุกเพศทุกวัย ทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งจากในไทยและต่างประเทศ กระโดดเข้ามาชิมลางในตลาดอย่างต่อเนื่อง จนสร้าง Volume ในการขายได้เป็นอย่างดี
แต่รู้หรือไม่ว่า? ปัจจุบันไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่ว่าเป็นกระแสเมื่อช่วง 2-3 ปีก่อน เริ่มที่จะซาลงไปบ้างแล้ว ตลาดไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน สังเกตได้ว่าคนสนใจซื้อแฟรนไชส์น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่แฟรนไชส์จีนเข้ามาเปิดตลาดในไทย
สาเหตุที่ทำให้ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยไม่เป็นกระแสเหมือนเดิม หรืออาจมองได้ว่าไอศกรีมจีนไม่ปังอีกแล้ว อาจเป็นเพราะ "แบรนด์ไทย" หรือ "ผู้ประกอบการไทย" สามารถทำไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟได้ไม่ต่างจากจีน
แถมหลายๆ แบรนด์ทำรสชาติออกมาอร่อยกว่าไอศกรีมจีนเสียอีก ใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าด้วยซ้ำ ทั้งใช้นมสด น้ำเต้าหู้ วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล
มาดูกันว่า..ในตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเมืองไทย มีผู้เล่นหน้าเก่าและหน้าใหม่ ที่เป็นคู่แข่งหลักๆ ของแฟรนไชส์ไอศกรีมจากจีน มีแบรนด์อะไรบ้าง?
จะเห็นได้ว่าแบรนด์ที่ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟข้างต้น ไม่ได้ใช้ไอศกรีมเป็นสินค้าหลักของร้าน แต่ใช้เป็นสินค้าทางเลือกให้กับลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการที่ร้าน จะเห็นว่าหลายๆ แบรนด์ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟถูกกว่าแบรนด์จีนด้วยซ้ำ
บางแบรนด์โดยเฉพาะ “แดรี่ควีน” มีไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟน้ำเต้าหู้ขายด้วย หรืออย่างร้านสะดวกซื้อ CJ ปั้นแบรนด์ "เถียน เถียน" ทำสินค้าเหมือน Mixue อีกต่างหาก ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ ราคาเริ่มต้น 15 บาทเหมือนกัน
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ในอนาคตตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและเครื่องดื่มในไทย จะกลายเป็นตลาดที่แข่งขันกันแบบ “สงครามราคา” หรือเรียกว่า Red Ocean หรือไม่
เหมือนกับตลาดขนส่งพัสดุในช่วงที่ผ่านมา กรณี Flash Express กับ Kerry Express สู้รบด้วยราคากันดุเดือด ยอมแม้กระทั่งตัวเองขาดทุน สุดท้ายเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย
ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยก็เช่นกัน จะเห็นว่าแบรนด์จากจีนมีสินค้าชูโรง 2 ตัว คือ ไอศกรีม กับ เครื่องดื่ม ขายไอศกรีม 15 บาท/โคน หลายคนอาจรู้สึกว่าสินค้าที่เป็นของจีนราคาถูก
แต่ถ้าดูให้ดีจะแพงกว่าแดรี่ควีน เคเอฟซี อีเกีย ท็อปส์ เม็คโคร-เมจิ ที่ขายแค่ 12 บาท ที่สำคัญแบรนด์ในไทยเหล่านี้ขายไอศกรีมเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า ไม่ได้หวังจะได้กำไรจากไอศกรีมมากนัก
ถ้ามองสงครามในตลาดไอศกรีมไปยาวๆ แบรนด์ที่น่าเป็นห่วงและมีโจทย์ที่ท้าทาย น่าจะเป็นแบรนด์จากจีนมากกว่า ถ้าไม่หาลูกเล่นใหม่ๆ มารับมือ
https://waybigblogs.com/
ผมเคยป่วยกระเพาะอาหารติดเชื้อแบคทีเรีย ทรมานมากแบบนึกถึงก็สยองเลย
ตอนนั้นยังดื้อเพราะไม่เคยป่วยอะไรแบบนี้ คิดว่าคงหายเองถ้าได้นอนพัก
สุดท้ายหนักเลย กินไรไม่ได้ อ้วกออกหมด แน่นจุกท้อง
สุดท้ายทนไม่ไหว ให้น้าที่รู้จักกันไปส่งโรงบาลแต่เลือกไปนอกเวลา (อย่าทำตามผมนะ)
ตอนเจอหน้าหมอ หมอทำหน้าตาตกใจมาก รีบสั่งแอทมิดด่วน
สุดท้ายได้นอนห้องรวมอยู่ 2 คืน แล้วขอทำเรื่องย้ายไปห้องพิเศษ ได้นอนต่ออีก 11 คืน
เข็ดแบบจำจนวันตาย 1-2 คืนแรกกินอะไรอ้วกหมด ได้น้ำเกลือช่วยหน่อยเลยไม่เพลีย
ตอนนั้นก็มานอนคิดว่า เรากินอะไรเข้าไปฟะ... ทำเราเกือบตายได้ขนาดนี้
โดนจับส่องกล้องกระเพาะก็แสนจะทรมาน เกือบตายคาเครื่องมือ เพราะโดนจับส่องครั้งแรก ไม่รู้วิธีรับมือ
โดนขังในโรงบาล 13คืน 14 วัน (รพ.รัฐ ที่ผมมีสิทธิประกันสังคม)
ค่าห้องคืนละ 2200 ได้ส่วนลด 700 ประกันสังคมช่วย เหลือคืนละ 1500
ลางานครึ่งเดือน ดีนะเจ้านายเมตตา แถมมาเยี่ยมที่โรงบาลด้วย
ต้องขอบคุณเจ้านายและเพื่อนร่วมงานมากๆที่ใจดีกับผมมาโดยตลอด
ปัจจุบันทำงานกับที่นี่เข้าปีที่ 9 แล้วครับ
อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลยที่มีเรื่องราวของ ลูกฉันเป็นคนดี ตามหน้าข่าวที่ออกมาหลายปีมานี้ แทบจะทุกข่าวจะออกมาเป็นแนวเดียวกันคือ เมื่อลูกทำผิด พ่อแม่จะออกมาพูดเสมอว่า ลูกฉันอยู่บ้านเป็นเด็กดี ไม่เคยทำอะไรแบบที่เป็นข่าวแน่นอน ซึ่งมันคือเรื่องจริงในสังคมไทยที่เราเห็นกันอยู่ กับหนังเรื่องนี้มันทำให้เราเห็นว่าสังคมไทย สังคมเกาหลี หรือสังคมอื่นๆ ก็มีเรื่องราวแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน
เรื่องราวของสองพี่น้อง แจวาน กับ แจกยู คนหนึ่งเป็นนักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จ ส่วนอีกคนเป็นกุมารแพทย์ผู้ยึดมั่น แจวานแต่งงานอยู่กินกับจีซู โดยที่มีลูกสาวติดมากับการแต่งงานครั้งก่อนของเขา ในขณะที่แจกยูใช้ชีวิตคู่กับยอนกยอง พวกเขามีลูกชายด้วยกัน กระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาทั้งสองคู่ได้นัดพบกันทานอาหารค่ำด้วยกัน แต่ระหว่างที่กำลังทานมื้อค่ำ แจวานได้เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดที่พบเห็นเหตุภาพเหตุการณ์อาชญากรรมที่ลูก ๆ วัยรุ่นของพวกเขาได้ก่อขึ้น ทำให้พวกเขาทั้ง 4 คนได้จับกลุ่มกันวิเคราะห์และไขประเด็นนี้จากมุมมองของพวกเขาแต่ละคน กลายเป็นความดุเดือดบนโต๊ะอาหารแบบว่าเกินจะคาดเดา
หนังเปิดมาได้อย่างตื่นเต้น ด้วยการสร้างเรื่องคดีการขับรถชนคนของลูกเศรษฐี แล้วก็โยงเข้าไปหาครอบครัวของตัวละครหลัก ด้วยคำถามที่ว่า มนุษยธรรมกับทุนนิยม อันไหนที่จะอยู่รอดมากกว่ากัน แล้วจึงบอกกล่าวเรื่องราวของครอบครัวที่พี่น้องแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเอง ต่างคนต่างมีหลักประจำใจของตัวเองที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการไม่ลงรอยกันอยู่ตลอดเวลา
ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งมากมายที่ดูน่ากลัว
ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาล มีสิ่งมากมายที่ดูน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็น หลุมดำ ที่กลืนกินทุกสิ่ง การขยายตัวของเอกภพ ที่อาจทำให้ทุกอย่างแตกสลาย หรือแม้แต่ รังสีคอสมิก ที่สามารถทำลายชีวิตได้ แต่แท้จริงแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจักรวาลคือ ‘เวลา’ เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งหรือย้อนกลับได้
1. เวลา: พลังที่ไม่มีวันถูกควบคุม
มนุษย์สามารถเดินทางไปในอวกาศ สร้างเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า แต่ไม่สามารถควบคุมเวลาได้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ ไม่ว่าเราจะร่ำรวย มีอำนาจ หรือฉลาดแค่ไหน เราทุกคนต่างเป็นเหยื่อของกาลเวลา
• เวลาพรากทุกสิ่งไปจากเรา ชีวิตของเรา ค่าของเงิน ความเยาว์วัย และความฝัน
• แม้แต่จักรวาลเองก็ไม่รอดพ้น นักฟิสิกส์เชื่อว่าเอกภพจะค่อย ๆ เสื่อมสลายไปตามกาลเวลา ไม่ว่าจะเป็นการขยายตัวไปจนถึงจุดที่ทุกอย่างแยกจากกัน หรือการหดตัวกลับจนกลายเป็นภาวะ “Big Crunch”
2. อำนาจที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
เวลาไม่ได้ทำลายทุกสิ่งในทันที แต่มันค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบ ๆ เช่น
• ดาวฤกษ์ที่เคยสว่างไสว จะดับลงกลายเป็นซุปเปอร์โนวา
• อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ล้วนล่มสลายไปตามกาลเวลา
• ความทรงจำของเราจะเลือนหายไป ไม่ว่าเราจะพยายามจดจำมันแค่ไหน
แม้แต่สิ่งที่เราคิดว่ายิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่สามารถต้านทานอำนาจของเวลาได้
3. กับดักของเวลา: ยิ่งหนี ยิ่งถูกไล่ตาม
เราอาจคิดว่าการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น การมีสุขภาพดี หรือแม้แต่เทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์อาจอยู่ได้เป็นพันปีจะช่วยให้เราหลุดพ้นจากกับดักของเวลา แต่ในที่สุด มันก็ไล่ตามเรามาจนได้
• คนที่พยายามใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ยังคงแก่ลงและสูญเสียสิ่งที่รักไป
• จักรวาลอาจอยู่ได้เป็นล้านล้านปี แต่ก็มีวันสิ้นสุด
• แม้แต่แนวคิด “อายุอมตะ” หากเป็นไปได้ ก็ไม่สามารถย้อนอดีตกลับมาแก้ไขสิ่งที่พลาดไปได้
4. วิธีเดียวที่จะเอาชนะเวลา
แม้เราไม่สามารถหยุดเวลาได้ แต่เราสามารถ ใช้เวลาที่มีอยู่ให้คุ้มค่าที่สุด
• อย่ามัวแต่รอ “เวลาที่เหมาะสม” เพราะมันอาจไม่มีจริง
• ใช้ทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ สร้างสิ่งที่มีคุณค่าก่อนที่เวลาจะพรากมันไป
• อย่ากลัวอนาคตจนลืมใช้ชีวิตในปัจจุบัน
บทสรุป
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของจักรวาล ไม่ใช่หลุมดำ หรืออำนาจลึกลับใด ๆ แต่คือ ‘เวลา’ เพราะมันเป็นสิ่งที่พรากทุกอย่างไปจากเราอย่างไม่ปรานี และไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขได้
ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้คือใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้ดีที่สุด ก่อนที่มันจะหมดลง
วันนี้ไปทำเรื่องโอนที่ดินมาแล้วเกิดปัญหา
โฉนดที่ดิน เป็นของย่า โอนให้พ่อ ประพัน
พ่อมีพี่น้อง2คน(รวมพ่อ) แต่ทั้งสองตายก่อนปู่กับย่า
พอผ่านมาไม่นาน ปู่กับย่าท่านก็เสีย เลยจะไปโอนที่ของพ่อมาเป็นชื่อผม
พ่อมีลูกคนเดียวซึ่งคือผม ท่านได้เลิกและจดทะเบียนหย่ากับแม่นานแล้ว
พอไปโอนนึกว่าเป็นชื่อพ่อแล้วจะตกมาสู่ท่ายาทลำดับ1คือเรา
แต่ไปทำเรื่องเขาบอกตอนนี้ มรดกมันไปเป็นกรรมสิทธิ์ของปู่กับย่า เพราะตายทีหลังพ่อ
ซึ่งทำให้พอปู่กับย่าท่านตาย ก็ต้องแบ่งโฉนดตรงนี้ไปในส่วนของน้องพ่อ
ต้องติดต่อญาติทางฝั่งของน้องพ่อมาทำเรื่องยกหรือแบ่ง
“ไอติมจีน” อาจไม่ปังอย่างที่คิด เมื่อทุกแบรนด์ทำได้ไม่ต่าง
นับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นมา ต้องยอมรับว่าตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยเป็นกระแสมาอย่างต่อเนื่อง จากการเข้ามาบุกตลาดของแฟรนไชส์ไอศกรีมและชาจาก จีน อินโดฯ
อย่าง Mixue, Ai-Cha ตามมาด้วย Wedrink และ Bing Chun ชูกลยุทธ์ราคาถูก ขายไอศกรีมโคน 15 บาท สามารถสร้างสีสันให้กับตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยได้อย่างมาก
ทำเอาหลายๆ แบรนด์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ
ในไทยหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ด้วยมูลค่าตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยสูงถึง 25,000 ล้านบาท
เป็นสินค้าตลาด Mass ทานทุกเพศทุกวัย ทำให้มีผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งจากในไทยและต่างประเทศ กระโดดเข้ามาชิมลางในตลาดอย่างต่อเนื่อง จนสร้าง Volume ในการขายได้เป็นอย่างดี
แต่รู้หรือไม่ว่า? ปัจจุบันไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟที่ว่าเป็นกระแสเมื่อช่วง 2-3 ปีก่อน เริ่มที่จะซาลงไปบ้างแล้ว ตลาดไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน สังเกตได้ว่าคนสนใจซื้อแฟรนไชส์น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ ที่แฟรนไชส์จีนเข้ามาเปิดตลาดในไทย
สาเหตุที่ทำให้ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยไม่เป็นกระแสเหมือนเดิม หรืออาจมองได้ว่าไอศกรีมจีนไม่ปังอีกแล้ว อาจเป็นเพราะ "แบรนด์ไทย" หรือ "ผู้ประกอบการไทย" สามารถทำไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟได้ไม่ต่างจากจีน
แถมหลายๆ แบรนด์ทำรสชาติออกมาอร่อยกว่าไอศกรีมจีนเสียอีก ใช้วัตถุดิบที่ดีกว่าด้วยซ้ำ ทั้งใช้นมสด น้ำเต้าหู้ วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาล
มาดูกันว่า..ในตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเมืองไทย มีผู้เล่นหน้าเก่าและหน้าใหม่ ที่เป็นคู่แข่งหลักๆ ของแฟรนไชส์ไอศกรีมจากจีน มีแบรนด์อะไรบ้าง?
จะเห็นได้ว่าแบรนด์ที่ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟข้างต้น ไม่ได้ใช้ไอศกรีมเป็นสินค้าหลักของร้าน แต่ใช้เป็นสินค้าทางเลือกให้กับลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการที่ร้าน จะเห็นว่าหลายๆ แบรนด์ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟถูกกว่าแบรนด์จีนด้วยซ้ำ
บางแบรนด์โดยเฉพาะ “แดรี่ควีน” มีไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟน้ำเต้าหู้ขายด้วย หรืออย่างร้านสะดวกซื้อ CJ ปั้นแบรนด์ "เถียน เถียน" ทำสินค้าเหมือน Mixue อีกต่างหาก ขายไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและชาผลไม้ ราคาเริ่มต้น 15 บาทเหมือนกัน
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ในอนาคตตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟและเครื่องดื่มในไทย จะกลายเป็นตลาดที่แข่งขันกันแบบ “สงครามราคา” หรือเรียกว่า Red Ocean หรือไม่
เหมือนกับตลาดขนส่งพัสดุในช่วงที่ผ่านมา กรณี Flash Express กับ Kerry Express สู้รบด้วยราคากันดุเดือด ยอมแม้กระทั่งตัวเองขาดทุน สุดท้ายเจ็บตัวทั้งสองฝ่าย
ตลาดไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟในไทยก็เช่นกัน จะเห็นว่าแบรนด์จากจีนมีสินค้าชูโรง 2 ตัว คือ ไอศกรีม กับ เครื่องดื่ม ขายไอศกรีม 15 บาท/โคน หลายคนอาจรู้สึกว่าสินค้าที่เป็นของจีนราคาถูก
แต่ถ้าดูให้ดีจะแพงกว่าแดรี่ควีน เคเอฟซี อีเกีย ท็อปส์ เม็คโคร-เมจิ ที่ขายแค่ 12 บาท ที่สำคัญแบรนด์ในไทยเหล่านี้ขายไอศกรีมเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า ไม่ได้หวังจะได้กำไรจากไอศกรีมมากนัก
ถ้ามองสงครามในตลาดไอศกรีมไปยาวๆ แบรนด์ที่น่าเป็นห่วงและมีโจทย์ที่ท้าทาย น่าจะเป็นแบรนด์จากจีนมากกว่า ถ้าไม่หาลูกเล่นใหม่ๆ มารับมือ
https://waybigblogs.com/
ผมเคยป่วยกระเพาะอาหารติดเชื้อแบคทีเรีย ทรมานมากแบบนึกถึงก็สยองเลย
ตอนนั้นยังดื้อเพราะไม่เคยป่วยอะไรแบบนี้ คิดว่าคงหายเองถ้าได้นอนพัก
สุดท้ายหนักเลย กินไรไม่ได้ อ้วกออกหมด แน่นจุกท้อง
สุดท้ายทนไม่ไหว ให้น้าที่รู้จักกันไปส่งโรงบาลแต่เลือกไปนอกเวลา (อย่าทำตามผมนะ)
ตอนเจอหน้าหมอ หมอทำหน้าตาตกใจมาก รีบสั่งแอทมิดด่วน
สุดท้ายได้นอนห้องรวมอยู่ 2 คืน แล้วขอทำเรื่องย้ายไปห้องพิเศษ ได้นอนต่ออีก 11 คืน
เข็ดแบบจำจนวันตาย 1-2 คืนแรกกินอะไรอ้วกหมด ได้น้ำเกลือช่วยหน่อยเลยไม่เพลีย
ตอนนั้นก็มานอนคิดว่า เรากินอะไรเข้าไปฟะ... ทำเราเกือบตายได้ขนาดนี้
โดนจับส่องกล้องกระเพาะก็แสนจะทรมาน เกือบตายคาเครื่องมือ เพราะโดนจับส่องครั้งแรก ไม่รู้วิธีรับมือ
โดนขังในโรงบาล 13คืน 14 วัน (รพ.รัฐ ที่ผมมีสิทธิประกันสังคม)
ค่าห้องคืนละ 2200 ได้ส่วนลด 700 ประกันสังคมช่วย เหลือคืนละ 1500
ลางานครึ่งเดือน ดีนะเจ้านายเมตตา แถมมาเยี่ยมที่โรงบาลด้วย
ต้องขอบคุณเจ้านายและเพื่อนร่วมงานมากๆที่ใจดีกับผมมาโดยตลอด
ปัจจุบันทำงานกับที่นี่เข้าปีที่ 9 แล้วครับ
อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลยที่มีเรื่องราวของ ลูกฉันเป็นคนดี ตามหน้าข่าวที่ออกมาหลายปีมานี้ แทบจะทุกข่าวจะออกมาเป็นแนวเดียวกันคือ เมื่อลูกทำผิด พ่อแม่จะออกมาพูดเสมอว่า ลูกฉันอยู่บ้านเป็นเด็กดี ไม่เคยทำอะไรแบบที่เป็นข่าวแน่นอน ซึ่งมันคือเรื่องจริงในสังคมไทยที่เราเห็นกันอยู่ กับหนังเรื่องนี้มันทำให้เราเห็นว่าสังคมไทย สังคมเกาหลี หรือสังคมอื่นๆ ก็มีเรื่องราวแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นได้เหมือนกัน
เรื่องราวของสองพี่น้อง แจวาน กับ แจกยู คนหนึ่งเป็นนักกฎหมายที่ประสบความสำเร็จ ส่วนอีกคนเป็นกุมารแพทย์ผู้ยึดมั่น แจวานแต่งงานอยู่กินกับจีซู โดยที่มีลูกสาวติดมากับการแต่งงานครั้งก่อนของเขา ในขณะที่แจกยูใช้ชีวิตคู่กับยอนกยอง พวกเขามีลูกชายด้วยกัน กระทั่งวันหนึ่ง พวกเขาทั้งสองคู่ได้นัดพบกันทานอาหารค่ำด้วยกัน แต่ระหว่างที่กำลังทานมื้อค่ำ แจวานได้เปิดภาพจากกล้องวงจรปิดที่พบเห็นเหตุภาพเหตุการณ์อาชญากรรมที่ลูก ๆ วัยรุ่นของพวกเขาได้ก่อขึ้น ทำให้พวกเขาทั้ง 4 คนได้จับกลุ่มกันวิเคราะห์และไขประเด็นนี้จากมุมมองของพวกเขาแต่ละคน กลายเป็นความดุเดือดบนโต๊ะอาหารแบบว่าเกินจะคาดเดา
หนังเปิดมาได้อย่างตื่นเต้น ด้วยการสร้างเรื่องคดีการขับรถชนคนของลูกเศรษฐี แล้วก็โยงเข้าไปหาครอบครัวของตัวละครหลัก ด้วยคำถามที่ว่า มนุษยธรรมกับทุนนิยม อันไหนที่จะอยู่รอดมากกว่ากัน แล้วจึงบอกกล่าวเรื่องราวของครอบครัวที่พี่น้องแยกออกไปมีครอบครัวของตัวเอง ต่างคนต่างมีหลักประจำใจของตัวเองที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดการไม่ลงรอยกันอยู่ตลอดเวลา