"คำว่า จิตว่าง...มันตีความหมายต่างกัน
ไม่รู้ว่า ว่างแบบไหน
ว่าง...แบบไม่มีกิเลส ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าว่าง...มีกิเลสอยู่ มันก็เป็นเพียงสัญญา
และคาดคะเน หรือจำคำของผู้อื่นมาพูด
โดยไม่ชัดแจ้งในส่วนตัว
คำว่า ว่าง...
นัยนี้ ไม่ได้มีกิเลสเข้าไปยึด ถือเอาเป็นเจ้าของ มันว่าง...อยู่ตามธรรมชาติ แม้ธรรมอันว่างๆ
ก็ไม่ได้ใส่ชื่อ ลือนามตนว่า...เป็นว่าง
เป็นสัมมาญาณะ เป็นญาณวิเศษหรือญาณพิเศษ รู้ตามเป็นจริงโดยถ่องแท้ เท่านั้น
ไม่ใช่ มิจฉาญาณะรู้ผิด เป็นสัมมาญาณะรู้ถูก จึงจะตรงกับคำว่า ว่าง...ของพระพุทธศาสนา
สิ่งเหล่านี้เป็นสันทิฏฐิโก
ชั้นสุดท้ายของพระพุทธศาสนา ฉะนั้นธรรมะแต่ละบทละบาท จึงส่งต่อพระนิพพานได้ ทั้งนั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับ บารมี สติปัญญาของผู้สร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว
ยกอุทาหรณ์ เช่นคนตาบอดตาฟาง
กับคนตาดี เข็มเล่มเดียวกัน ให้สนเข็มแข่งกัน
ดูซิ คนตาฟางและตาบอดย่อมไปไม่รอดใช่ไหม."
.......................
คำสอนของ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
อธิบายจิตว่างแบบมีกิเลสกับว่างแบบไม่มึกิเลส
ไม่รู้ว่า ว่างแบบไหน
ว่าง...แบบไม่มีกิเลส ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถ้าว่าง...มีกิเลสอยู่ มันก็เป็นเพียงสัญญา
และคาดคะเน หรือจำคำของผู้อื่นมาพูด
โดยไม่ชัดแจ้งในส่วนตัว
คำว่า ว่าง...
นัยนี้ ไม่ได้มีกิเลสเข้าไปยึด ถือเอาเป็นเจ้าของ มันว่าง...อยู่ตามธรรมชาติ แม้ธรรมอันว่างๆ
ก็ไม่ได้ใส่ชื่อ ลือนามตนว่า...เป็นว่าง
เป็นสัมมาญาณะ เป็นญาณวิเศษหรือญาณพิเศษ รู้ตามเป็นจริงโดยถ่องแท้ เท่านั้น
ไม่ใช่ มิจฉาญาณะรู้ผิด เป็นสัมมาญาณะรู้ถูก จึงจะตรงกับคำว่า ว่าง...ของพระพุทธศาสนา
สิ่งเหล่านี้เป็นสันทิฏฐิโก
ชั้นสุดท้ายของพระพุทธศาสนา ฉะนั้นธรรมะแต่ละบทละบาท จึงส่งต่อพระนิพพานได้ ทั้งนั้น เพราะมันขึ้นอยู่กับ บารมี สติปัญญาของผู้สร้างบารมีแก่กล้ามาแล้ว
ยกอุทาหรณ์ เช่นคนตาบอดตาฟาง
กับคนตาดี เข็มเล่มเดียวกัน ให้สนเข็มแข่งกัน
ดูซิ คนตาฟางและตาบอดย่อมไปไม่รอดใช่ไหม."
.......................
คำสอนของ
หลวงปู่หล้า เขมปัตโต