คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ร่วมเสนอแนะต่อกันว่า
อริยบุคคลและคนทั่วไปใดๆที่ยังมีกิเลสอวิชชา(ยังไม่ใช่อรหัตผล) ล้วนยังต้องมี 11 อาการทางสังขารภายในตั้งแต่น้อยนิดอจินไตยในทุกขณะเสมอ เช่น ต้องมีสังขารภายใน วิญญาณภายใน มูลสิ่งนามธรรมในใจ อายตนะภายใน ตัณหา อุปาทาน ภพภายในหรือภาวะจิตใจ ชาติภายในหรือสัญชาตญาณ ทุกข์ภายใน ฯลฯ
- โดยในที่นี้แม้จะเป็นตัณหาในทางกุศล เช่น อยากบรรลุอรหัตผล อยากพ้นทุกข์ อยากประกอบสิ่งดีงามต่อทุกชีวิตใดๆ ไม่อยากให้ทุกชีวิตใดๆต้องประสบทุกข์ ฯลฯ
- ตลอดจนการมีจิตเมตตากรุณามุทิตาใดๆทั้งปวง (ซึ่งย่อมยังไม่ใช่กริยาอุเบกขาผ่องใสสิ้นเชิง)
- การยังมีสังขารภายในหรือทิฏฐิตัวตนจิตใจในทางใดๆ (แม้จะเป็นกุศลจิต)
- การยังมีวิญญาณภายในหรือสังกัปปะความนึกคิดในทางใดๆ (แม้จะเป็นสังกัปปะในทางกุศล)
- การยังมีอาการทางสังขารภายในหรืออาการทางจิตใดๆทั้งปวง(แม้จะเป็นในทางกุศล) เช่น การใช้สติ(สภาพจิตที่ใฝ่ตระหนักรู้ระลึกรู้) การยังต้องมีฉันทะ วิริยะ(วายามะ) จิตตะ(สมาธิความตั้งมั่นตั้งใจ) วิมังสา(ที่ยังมีความเป็นทิฏฐิหรือสังกัปปะ) สิกขา(เสขะ,จิตที่ยังศึกษาเรียนรู้,ยังมีสภาพธัมมวิจยะ,ยังมีสภาพธัมมัสสวนะ) ฯลฯ
........ นั้นล้วนเนื่องมาจากกิเลสอวิชชา หรือเป็นกิเลสอวิชชาเสมอ และหากเป็นในทางกุศลก็จะเป็นบุญตามหลักสังขารธรรมเสมอ (บุญตามหลักสังขารธรรม=บาปหรือกิเลสอวิชชาอันเบาบาง)
แต่ถ้าเป็นอรหัตผลนั้นจะไม่มีกิเลสอวิชชา และย่อมไม่มี 11 อาการของสังขารภายในทั้งปวง ซึ่งจะเป็นลักษณะของอสังขารธรรมภายในอันเป็นอนัตตาหรืออนันตาภายในโดยสิ้นเชิง เป็นบุญอย่างบริสุทธิ์แท้จริงหรือบุญตามหลักอสังขารธรรม เป็นกริยาอุเบกขาผ่องใสสิ้นเชิง เป็นอเสขะหรือสัพพัญญุตาญาณโดยมิต้องศึกษาใดๆ ฯลฯ
ส่วนรายละเอียดเนื้อหาของการปรารถนาพุทธภูมิที่ว่าตามตำรากันมา ยังไม่ขอยืนยันข้อเท็จจริงตามนั้น แต่ขอเน้นเสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งใดที่ยังเป็นกิเลสอวิชชา และการเป็นอรหัตผลที่พ้นกิเลสอวิชชา
อริยบุคคลและคนทั่วไปใดๆที่ยังมีกิเลสอวิชชา(ยังไม่ใช่อรหัตผล) ล้วนยังต้องมี 11 อาการทางสังขารภายในตั้งแต่น้อยนิดอจินไตยในทุกขณะเสมอ เช่น ต้องมีสังขารภายใน วิญญาณภายใน มูลสิ่งนามธรรมในใจ อายตนะภายใน ตัณหา อุปาทาน ภพภายในหรือภาวะจิตใจ ชาติภายในหรือสัญชาตญาณ ทุกข์ภายใน ฯลฯ
- โดยในที่นี้แม้จะเป็นตัณหาในทางกุศล เช่น อยากบรรลุอรหัตผล อยากพ้นทุกข์ อยากประกอบสิ่งดีงามต่อทุกชีวิตใดๆ ไม่อยากให้ทุกชีวิตใดๆต้องประสบทุกข์ ฯลฯ
- ตลอดจนการมีจิตเมตตากรุณามุทิตาใดๆทั้งปวง (ซึ่งย่อมยังไม่ใช่กริยาอุเบกขาผ่องใสสิ้นเชิง)
- การยังมีสังขารภายในหรือทิฏฐิตัวตนจิตใจในทางใดๆ (แม้จะเป็นกุศลจิต)
- การยังมีวิญญาณภายในหรือสังกัปปะความนึกคิดในทางใดๆ (แม้จะเป็นสังกัปปะในทางกุศล)
- การยังมีอาการทางสังขารภายในหรืออาการทางจิตใดๆทั้งปวง(แม้จะเป็นในทางกุศล) เช่น การใช้สติ(สภาพจิตที่ใฝ่ตระหนักรู้ระลึกรู้) การยังต้องมีฉันทะ วิริยะ(วายามะ) จิตตะ(สมาธิความตั้งมั่นตั้งใจ) วิมังสา(ที่ยังมีความเป็นทิฏฐิหรือสังกัปปะ) สิกขา(เสขะ,จิตที่ยังศึกษาเรียนรู้,ยังมีสภาพธัมมวิจยะ,ยังมีสภาพธัมมัสสวนะ) ฯลฯ
........ นั้นล้วนเนื่องมาจากกิเลสอวิชชา หรือเป็นกิเลสอวิชชาเสมอ และหากเป็นในทางกุศลก็จะเป็นบุญตามหลักสังขารธรรมเสมอ (บุญตามหลักสังขารธรรม=บาปหรือกิเลสอวิชชาอันเบาบาง)
แต่ถ้าเป็นอรหัตผลนั้นจะไม่มีกิเลสอวิชชา และย่อมไม่มี 11 อาการของสังขารภายในทั้งปวง ซึ่งจะเป็นลักษณะของอสังขารธรรมภายในอันเป็นอนัตตาหรืออนันตาภายในโดยสิ้นเชิง เป็นบุญอย่างบริสุทธิ์แท้จริงหรือบุญตามหลักอสังขารธรรม เป็นกริยาอุเบกขาผ่องใสสิ้นเชิง เป็นอเสขะหรือสัพพัญญุตาญาณโดยมิต้องศึกษาใดๆ ฯลฯ
ส่วนรายละเอียดเนื้อหาของการปรารถนาพุทธภูมิที่ว่าตามตำรากันมา ยังไม่ขอยืนยันข้อเท็จจริงตามนั้น แต่ขอเน้นเสนอแนะเกี่ยวกับสิ่งใดที่ยังเป็นกิเลสอวิชชา และการเป็นอรหัตผลที่พ้นกิเลสอวิชชา
แสดงความคิดเห็น
เมื่อความอยาก ความปรารถนา คือตัญหา นับเป็นเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง แล้วการปรารถนาในพุทธภูมิถือเป็นกิเลสหรือไม่?
การปรารถนาในพุทธภูมิ คือ ความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์
การปรารถนาในพุทธภูมิ ส่งผลทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อสะสมบารมี ไม่เลือกเส้นทางที่จะหลุดพ้นคือนิพพานในทันที
จึงเกิดคำถามว่า การปรารถนาในพุทธภูมิถือเป็นกิเลสหรือไม่?
แก้ไขข้อความ ตัญหา >>> ตัณหา