วันนัดพบกับคุณหมอกระดูก เราต้องพาพ่อไปเอง เพราะพี่เราต้องไปทำงาน เราเลยบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้พวกเราเตรียมตัวกันอย่างดี จากประสบการณ์ที่ต้องเจอของเมื่อวาน เอาล่ะ เรารอกันหน้าห้องตรวจด้วยความหวัง ผ่าตัดแล้วจะได้หาย คุณหมอเดินมาถามอาการคนไข้เบื้องต้น แล้วเรียกเราเข้าไปในห้อง พร้อมกับเปิดผลการทำ mri และ bone scan ให้เราดู คุณหมอแจ้งว่า ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะผ่าตรงไหน มะเร็งกินกระดูกไปทุกข้อแล้ว หลังคุณหมอพูดจบ น้ำตาเราไหลออกมาพร้อมกับหันไปมองพ่อที่นอนอยู่บนเตียงหน้าห้องด้วยความสงสารจับใจ ความหวังทั้งพ่อและเราพังทลายลงทันที หลังจากพูดคุยกับคุณหมอเสร็จ เราต้องรีบตั้งสติ เช็ดน้ำตาแล้วกลั้นมันไว้ให้ได้มากที่สุด เดินกลับไปหาพ่อ พ่อไม่ทันได้ถามอะไรเรา เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าพ่อต้องถามเราแน่นอน เลยรีบบอกว่าพ่ออาจจะผ่าตัดไม่ได้ เพราะอายุเยอะมากความเสี่ยงก็เยอะ เรารีบโทรตามพี่ชาย เพราะเราคิดว่าเราไม่สามารถผ่านเรื่องนี้ไปได้แน่ๆ ระหว่างนั้นเราก็ไปติดต่อที่แผนกมะเร็ง ตามที่เจ้าที่แจ้งไว้เมื่อวาน คุณหมอเลยสั่งทำการตรวจเลือดและส่องกล้องกระเพาะอาหารเพิ่มด้วย ใช่ค่ะ เพราะมะเร็งแพร่กระจายเลยไม่รู้จุดที่เป็นสาเหตุเลย รู้แค่ว่าปลายทางแน่ๆที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ หลังจากทำนัดหมายสร็จ เราก็กลับบ้านกัน เผื่อรอรับการตรวจ พอได้คิดนัดตรวจ พ่อกังวลอีกแล้ว แน่ล่ะ ส่องกล้อง ไม่เคยทำแน่ๆ เป็นกังวลสุดๆ หลังจากทำ mri ไปครั้งนั้นก็บอกว่าเข็ดแล้ว 555 และคุณหมอได้นัดหมายให้พ่อมาพบอีกครั้ง ระหว่างที่รอวันนัด พ่อเริ่มมีอาการปวดที่เยอะขึ้น พร้อมกับอาการที่ขาอ่อนแรง (เพิ่งจะมีอาการนี้เกิดขึ้น ) พอถึงวันนัดที่พบคุณหมอพ่อบอกอาการคุณหมอว่าปวดที่หลังมากๆ พ่อเริ่มได้รับยาแก้ปวดในกลุ่มมอร์ฟีน เริ่มจากการใช้แบบไซรัปก่อน พร้อมกับจะส่งตัวพ่อไปฉายรังสีเพื่อบรรเทาอาการปวด โดยใช้สิทธิการส่งตัวไปที่โรงพยาบาลแถวสมุทรสาคร (ทำไงดีรู้แน่เลยว่าเป็นมะเร็ง คำว่าฉายแสงน่าจะรู้รักษามะเร็ง) เราก็ไปทำเรื่องติดต่อรอวันนัด รับยาแล้วกลับบ้าน ที่นี้เราต้องเริ่มบอกพ่อกันแล้วไม่งั้นจะรักษากันยังไง พี่ชายเรารับหน้าที่โดยการบอกพ่อว่า มันมีก้อนที่ไม่ดีอยู่นะเป็นจุดเล็กๆ ( มั่วมาก) แต่พวกเราก็ต้องอึ้งกัน เมื่อพ่อตอบกลับมาว่า เป็นมะเร็งหรอ พร้อมกับร้องไห้ออกมา ส่วนพวกเราก็ไม่เหลือเช่นกัน ร้องออกมาพร้อมกับโอบกอดพ่อไปด้วย เลยบอกไปว่าเป็นยังไม่เยอะ ต้องไปฉายแสงนะ จะได้ไม่ปวด ระหว่างที่รอวัดนัดพวกเราใช้เวลาระหว่างที่รอนี้ เริ่มหาอุปกรณ์สำหรับการดูแลผู้ป่วย เพราะพ่อเริ่มเคลื่อนไหวลำบากด้วยอาการปวดหลัง เราไม่มีอุปกรณ์ดูแลผู้ป่วยเลย อย่างแรกเริ่มซื้อเตียงผู้ป่วยก่อน เราใช้เป็นแบบระบบมือหมุน (เพราะไฟฟ้าต้องแพงแน่ 555 ) โต๊ะอาหารผู้ป่วย รถเข็นผู้ป่วย พ่อเริ่มมีอาการขาอ่อนแรงเลยต้องซื้อ พอเตียงผู้ป่วยมาส่ง พ่อจะไม่ยอมนอนที่เตียงอีกด้วย (สงสัยปรับตัวไม่ทัน ต้องมาเป็นคนป่วยเต็มตัว พวกเราเลยบอกว่าจะได้ปรับลุกขึ้นได้สะดวก พ่อได้แต่ทำตามที่พวกเราบอกอย่างเลี่ยงไม่ได้
วันนัดฉายรังสีก็มาถึง พอเริ่มตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์ด้วยอาการปวดและตึงหลังไปทั้งหลัง ต้องใส่ที่พยุงหลังไว้ เราไปก่อนเวลานัดพอสมควร เพราะต้องลงทะเบียนครั้งแรก ตรวจค่าเลือด และรอเรียก เมื่อถึงเวลาตรวจ พี่เรารีบเข้าไปก่อนคนป่วยอีก แล้วบอกคุณหมอว่าคนป่วยไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายแล้ว แต่พอรู้แค่ว่าเป็นมะเร็ง ( ต้องขออภัยคุณหมอด้วยค่ะ) คุณหมอให้ทำการฉายแสงทั้งหมด 10 วัน และที่พ่อมีอาการขาอ่อนแรงร่วมด้วย เพราะก้อนมะเร็งตัวร้ายก็ยังได้ไปกดทับเส้นประสาทอีก ร้ายจริงๆ การฉายแสง 10 ครั้งทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี และพาพ่อกลับมาที่บ้านจนกว่าจะถึงเวลานัดของ รพ.ศูนย์อีกครั้ง การไปฉายรังสีในครั้งนี้ทำให้พ่อมีอาการปวดลดลง
อาการปวดดีขึ้นแต่ผลข้างเคียง พร้อมการเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็กำลังเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ติดตามต่อ ep .5 นะคะ
มะเร็งระยะสุดท้าย…สู่ปลายทาง การเดินทางที่ยังไม่ถึง Ep.4
วันนัดฉายรังสีก็มาถึง พอเริ่มตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์ด้วยอาการปวดและตึงหลังไปทั้งหลัง ต้องใส่ที่พยุงหลังไว้ เราไปก่อนเวลานัดพอสมควร เพราะต้องลงทะเบียนครั้งแรก ตรวจค่าเลือด และรอเรียก เมื่อถึงเวลาตรวจ พี่เรารีบเข้าไปก่อนคนป่วยอีก แล้วบอกคุณหมอว่าคนป่วยไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายแล้ว แต่พอรู้แค่ว่าเป็นมะเร็ง ( ต้องขออภัยคุณหมอด้วยค่ะ) คุณหมอให้ทำการฉายแสงทั้งหมด 10 วัน และที่พ่อมีอาการขาอ่อนแรงร่วมด้วย เพราะก้อนมะเร็งตัวร้ายก็ยังได้ไปกดทับเส้นประสาทอีก ร้ายจริงๆ การฉายแสง 10 ครั้งทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี และพาพ่อกลับมาที่บ้านจนกว่าจะถึงเวลานัดของ รพ.ศูนย์อีกครั้ง การไปฉายรังสีในครั้งนี้ทำให้พ่อมีอาการปวดลดลง
อาการปวดดีขึ้นแต่ผลข้างเคียง พร้อมการเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็กำลังเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ติดตามต่อ ep .5 นะคะ