ก่อนอื่น ขอตัด ข้าว ออกจากสารบบของกระทู้นี้นะครับ เพราะผมต้องการวัดจากอาหารของมนุษย์ก่อนยุคเกษตรกรรม ซึ่งมีความเชื่อว่า น่าจะเป็นอาหารที่อยู่ในวงจรธรรมชาติคัดเลือกของมนุษย์อย่างแท้จริง
ทั้งผลไม้ และเผือก-มัน ถือเป็นอาหารที่ให้พลังงาน และเป็นอาหารธรรมชาติทั้งคู่ แต่พลังงานจากทั้ง 2 แหล่งมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เราจะได้
ฟรุกโตส + กลูโคส จากผลไม้ และจะได้
แป้ง (กลูโคส) จากเผือก-มัน
ดังนั้น การเลือกกิน "ผลไม้" หรือ "เผือก-มัน" จึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสุขภาพของแต่ละคน 🎯
ข้างล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ของ ผลไม้ และ เผือก-มัน
✅
เลือกแบบไหนดี?
- ถ้าต้องการพลังงานช้าๆ อิ่มนาน → เผือก-มัน 🍠
- เพราะแป้งเป็น กลูโคส ที่ร่างกายใช้เป็นพลังงานโดยตรง
- GI ต่ำกว่าในบางกรณี (เช่น เผือก ≈ GI 54)
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังงานต่อเนื่อง เช่น คนออกกำลังกาย
- ถ้าต้องการสารอาหารและต้านอนุมูลอิสระ → ผลไม้ 🍎
- มีวิตามิน C และไฟเบอร์สูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพลำไส้และระบบเผาผลาญ
❗ ข้อควรระวัง
- ผลไม้บางชนิดที่มี ฟรุกโตสสูง (เช่น มะม่วงสุก, ลำไย, องุ่น 🍎) อาจทำให้กรดยูริกสูงขึ้นได้ถ้ากินเยอะ
- เผือก-มัน บางชนิดมี แป้งที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลเร็ว (เช่น มันฝรั่ง 🍠) อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
🎯
สรุป
- ถ้าอยากได้พลังงานอิ่มท้อง เลือกเผือก-มัน 🍠
- ถ้าอยากได้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เลือกผลไม้ 🍎
- ควรกินให้หลากหลาย และไม่มากเกินไป 😊
โดยส่วนตัวมองว่า วิตามินหลายอย่างเราจำเป็นต้องได้รับจากผลไม้ เช่น วิตามิน C ดังนั้น ผลไม้จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องกิน แม้ในพืชจำพวกผักจะมีวิตามิน C เหมือนกัน แต่ ผักจะมีผนังเซลล์ (Cell wall) ที่แข็งแกร่งมาก ทำให้การดูดซึมวิตามิน C จากผักเป็นไปได้ยาก และหากเรานำผักไปลวกต้มก่อน ความร้อนก็จะทำให้วิตามิน C สลายได้อีก หรือหากเรานำผักไปปั่น ผลจากการปั่นก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียวิตามิน C จากออกซิเจนที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในขณะการปั่น หรือขณะการรอกิน (แต่การกินผลไม้ที่เฉาะทิ้งไว้ ก็อาจสูญเสียวิตามิน C ได้เช่นกัน)
นั่นเป็นเหตุผลที่เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่กินผลไม้ นอกจากการไปกินวิตามิน C ชนิดเม็ด ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อไต อาจเกิดนิ่วในไตได้
ในขณะเดียวกัน หากเราต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อการออกกำลังกาย หรืองานที่ต้องใช้แรงงานที่มากในแต่ละวัน พลังงานจากผลไม้อาจไม่เพียงพอ เราจึงจำเป็นต้องเสริมด้วยเผือก-มันเข้าไป
ดังนั้น อาจพูดได้ว่า อาหารของมนุษย์ก่อนยุคเกษตรกรรมโดยหลักๆ แล้ว น่าจะเป็น ผลไม้ นอกเหนือจากเนื้อสัตว์ที่อาจหาได้จากสัตว์เล็กๆ เช่น ไก่ป่า หรือ อาจหาได้จากสัตว์ใหญ่บ้างในบางโอกาส ส่วนเผือก-มัน ก็กลายเป็นอาหารเสริมพลังงาน เพื่อจะมีแรงออกไปหาอาหารทั้งวัน
แต่ในส่วนของมนุษย์ปัจจุบัน เราอาจไม่จำเป็นต้องกินเผือก-มัน เพราะเราไม่ได้มีไลฟ์สไตล์แบบมนุษย์ยุคโบราณแล้ว แต่ก็ต้องระวังผลไม้ที่มีฟรุกโตสสูง เช่น มะม่วงสุก, ลำไย, องุ่น ซึ่งหาก
กินมากไป อาจจะทำให้เกิดกรดยูริกที่สูง หรือเกิดไขมันพอกตับเพราะร่างกายใช้ไม่ทัน
เพราะผลไม้ในยุคปัจจุบัน ไม่เหมือนผลไม้ในยุคโบราณ ผลไม้ในยุคปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจนมีความหวานที่เกินจากธรรมชาติที่สร้างสรรค์มาสำหรับเป็นอาหารให้สัตว์ เราจึงควรเลือกกินผลไม้ที่ไม่มีรสชาติที่หวานนัก สำหรับผมคิดว่า "ฝรั่ง" น่าจะตอบโจทย์สำหรับผลไม้ครับ เพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามิน C ที่ร่างกายต้องการ ในขณะที่มีความหวานค่อนข้างน้อยเมื่อเที่ยบกับผลไม้ชนิดอื่น
สำหรับความสำคัญของวิตามิน C ต่อร่างกายมีอะไรบ้าง จะได้ตั้งกระทู้ในโอกาสต่อไปครับ
ระหว่างการกินผลไม้🍎 กับการกินเผือก-มัน🍠 แบบไหนดีกว่ากัน?
ทั้งผลไม้ และเผือก-มัน ถือเป็นอาหารที่ให้พลังงาน และเป็นอาหารธรรมชาติทั้งคู่ แต่พลังงานจากทั้ง 2 แหล่งมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ เราจะได้ ฟรุกโตส + กลูโคส จากผลไม้ และจะได้ แป้ง (กลูโคส) จากเผือก-มัน
ดังนั้น การเลือกกิน "ผลไม้" หรือ "เผือก-มัน" จึงขึ้นอยู่กับเป้าหมายและสุขภาพของแต่ละคน 🎯
ข้างล่างนี้เป็นตารางเปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ ของ ผลไม้ และ เผือก-มัน
- ถ้าต้องการพลังงานช้าๆ อิ่มนาน → เผือก-มัน 🍠
- เพราะแป้งเป็น กลูโคส ที่ร่างกายใช้เป็นพลังงานโดยตรง
- GI ต่ำกว่าในบางกรณี (เช่น เผือก ≈ GI 54)
- เหมาะสำหรับคนที่ต้องการพลังงานต่อเนื่อง เช่น คนออกกำลังกาย
- ถ้าต้องการสารอาหารและต้านอนุมูลอิสระ → ผลไม้ 🍎
- มีวิตามิน C และไฟเบอร์สูง ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน
- เหมาะกับคนที่ต้องการดูแลสุขภาพลำไส้และระบบเผาผลาญ
❗ ข้อควรระวัง
- ผลไม้บางชนิดที่มี ฟรุกโตสสูง (เช่น มะม่วงสุก, ลำไย, องุ่น 🍎) อาจทำให้กรดยูริกสูงขึ้นได้ถ้ากินเยอะ
- เผือก-มัน บางชนิดมี แป้งที่เปลี่ยนเป็นน้ำตาลเร็ว (เช่น มันฝรั่ง 🍠) อาจไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน
🎯 สรุป
- ถ้าอยากได้พลังงานอิ่มท้อง เลือกเผือก-มัน 🍠
- ถ้าอยากได้วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ เลือกผลไม้ 🍎
- ควรกินให้หลากหลาย และไม่มากเกินไป 😊
โดยส่วนตัวมองว่า วิตามินหลายอย่างเราจำเป็นต้องได้รับจากผลไม้ เช่น วิตามิน C ดังนั้น ผลไม้จึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องกิน แม้ในพืชจำพวกผักจะมีวิตามิน C เหมือนกัน แต่ ผักจะมีผนังเซลล์ (Cell wall) ที่แข็งแกร่งมาก ทำให้การดูดซึมวิตามิน C จากผักเป็นไปได้ยาก และหากเรานำผักไปลวกต้มก่อน ความร้อนก็จะทำให้วิตามิน C สลายได้อีก หรือหากเรานำผักไปปั่น ผลจากการปั่นก็อาจทำให้เกิดการสูญเสียวิตามิน C จากออกซิเจนที่สามารถแทรกซึมเข้าไปในขณะการปั่น หรือขณะการรอกิน (แต่การกินผลไม้ที่เฉาะทิ้งไว้ ก็อาจสูญเสียวิตามิน C ได้เช่นกัน)
นั่นเป็นเหตุผลที่เราเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่กินผลไม้ นอกจากการไปกินวิตามิน C ชนิดเม็ด ซึ่งก็ไม่เป็นผลดีต่อไต อาจเกิดนิ่วในไตได้
ในขณะเดียวกัน หากเราต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้นเพื่อการออกกำลังกาย หรืองานที่ต้องใช้แรงงานที่มากในแต่ละวัน พลังงานจากผลไม้อาจไม่เพียงพอ เราจึงจำเป็นต้องเสริมด้วยเผือก-มันเข้าไป
ดังนั้น อาจพูดได้ว่า อาหารของมนุษย์ก่อนยุคเกษตรกรรมโดยหลักๆ แล้ว น่าจะเป็น ผลไม้ นอกเหนือจากเนื้อสัตว์ที่อาจหาได้จากสัตว์เล็กๆ เช่น ไก่ป่า หรือ อาจหาได้จากสัตว์ใหญ่บ้างในบางโอกาส ส่วนเผือก-มัน ก็กลายเป็นอาหารเสริมพลังงาน เพื่อจะมีแรงออกไปหาอาหารทั้งวัน
แต่ในส่วนของมนุษย์ปัจจุบัน เราอาจไม่จำเป็นต้องกินเผือก-มัน เพราะเราไม่ได้มีไลฟ์สไตล์แบบมนุษย์ยุคโบราณแล้ว แต่ก็ต้องระวังผลไม้ที่มีฟรุกโตสสูง เช่น มะม่วงสุก, ลำไย, องุ่น ซึ่งหากกินมากไป อาจจะทำให้เกิดกรดยูริกที่สูง หรือเกิดไขมันพอกตับเพราะร่างกายใช้ไม่ทัน
เพราะผลไม้ในยุคปัจจุบัน ไม่เหมือนผลไม้ในยุคโบราณ ผลไม้ในยุคปัจจุบันได้ถูกดัดแปลงพันธุกรรมจนมีความหวานที่เกินจากธรรมชาติที่สร้างสรรค์มาสำหรับเป็นอาหารให้สัตว์ เราจึงควรเลือกกินผลไม้ที่ไม่มีรสชาติที่หวานนัก สำหรับผมคิดว่า "ฝรั่ง" น่าจะตอบโจทย์สำหรับผลไม้ครับ เพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามิน C ที่ร่างกายต้องการ ในขณะที่มีความหวานค่อนข้างน้อยเมื่อเที่ยบกับผลไม้ชนิดอื่น
สำหรับความสำคัญของวิตามิน C ต่อร่างกายมีอะไรบ้าง จะได้ตั้งกระทู้ในโอกาสต่อไปครับ