Google for Education: ปลดล็อกการเรียนรู้สู่อนาคต
ในโลกที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต การศึกษาย่อมต้องก้าวตามให้ทัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด "ศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย" หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท Google ประเทศไทย ได้กล่าวว่า การศึกษาคือรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมไทย และ Google ในฐานะองค์กรที่มุ่งจัดระเบียบข้อมูลของโลก มีเป้าหมายให้ทุกคนเข้าถึงและใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา: เครื่องมือแห่งการเรียนรู้
Google ได้พัฒนาเครื่องมือมากมายเพื่อสนับสนุนการศึกษา โดยเฉพาะ Google for Education ที่เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ครูและนักเรียนกว่า 170 ล้านคนทั่วโลกใช้งาน หนึ่งในนั้นคือ G
oogle Classroom ซึ่งช่วยให้ครู นักเรียน และผู้ปกครองสามารถบริหารจัดการบทเรียนและการบ้านได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเสริมอื่น ๆ เช่น Google Docs, Google Sheets, Google Slides และ Google Forms ที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และ Google Meet, Gmail และ Chat ที่ช่วยเชื่อมโยงนักเรียนกับครูผู้สอน
“การเรียนรู้แบบไฮบริดคืออนาคตของการศึกษา” ศารณีย์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างโรงเรียนไทยหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย ซึ่งได้นำ Google for Education มาใช้เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
โรงเรียนไทยกับการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล
"ทิพย์ภาภรณ์ สะเดา" รองหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง เล่าว่าโรงเรียนของเธอเริ่มใช้ Google for Education ตั้งแต่ปี 2556 โดยนำ Google Classroom มาเสริมการเรียนการสอน ซึ่งช่วยให้ครูและนักเรียนสามารถทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละที่ และยังมี Chromebook ให้ครูและนักเรียนยืมใช้เพื่อการเรียนรู้แบบพกพา
ด้าน ดร.สุมนา ธิกุลวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ได้กล่าวว่า โรงเรียนของเธอได้ใช้ Google for Education และ Chromebook เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยพบว่านักเรียนมีพัฒนาการด้าน ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม และความคิดวิเคราะห์ สูงขึ้นจากเดิม 50/100 เป็น 68/100 ภายในเวลา 3 เดือน อีกทั้ง ครูผู้สอนกว่าร้อยละ 85 ยังเห็นว่านักเรียนมีทักษะการทำงานร่วมกันดีขึ้น
เทคโนโลยีช่วยให้การศึกษาไร้พรมแดน
"อรวีร์ รัตนเพียร" ผู้จัดการโรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ เล่าว่าโรงเรียนของเธอเริ่มใช้ Google for Education ตั้งแต่ปี 2554 และมีการใช้ Chrome Education Upgrade เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของครูผู้สอน โดยช่วยเพิ่มความปลอดภัย และลดภาระด้านแอดมิน ส่งผลให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะด้าน การสื่อสารและการทำงานเป็นทีม
ส่วน ปรัชญากร ฮดมาลี รองผู้อำนวยการโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย เล่าว่า โรงเรียนของเขาได้ใช้ Google Docs เป็นเครื่องมือให้เด็กนักเรียนทำงานวิทยาศาสตร์ร่วมกับโรงเรียนในญี่ปุ่นผ่านโปรเจ็กต์ออนไลน์ ซึ่งช่วยให้นักเรียนเรียนรู้จากความแตกต่างและเสริมสร้างมุมมองที่กว้างขึ้น ขณะเดียวกัน ครูผู้สอนก็สามารถออกแบบหลักสูตรและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับครูจากโรงเรียนอื่นได้อีกด้วย
Google for Education ไม่เพียงช่วยให้การศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่นในยุคดิจิทัล แต่ยังช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ให้นักเรียนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลระดับสากล พัฒนาแนวคิดสร้างสรรค์ และสร้างเครือข่ายแห่งการเรียนรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น ในอนาคต โรงเรียนไทยอีกหลายแห่งอาจหันมาใช้การเรียนรู้แบบไฮบริด และนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบการศึกษาที่ทันสมัย และรองรับทุกสถานการณ์อย่างแท้จริง
เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และเทคโนโลยีคือกุญแจที่ปลดล็อกอนาคตของเรา
Google for Education : ปลดล็อกการเรียนรู้สู่อนาคต
ในโลกที่เทคโนโลยีกลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิต การศึกษาย่อมต้องก้าวตามให้ทัน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงความรู้ได้อย่างไร้ขีดจำกัด "ศารณีย์ บุญฤทธิ์ธงไชย" หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท Google ประเทศไทย ได้กล่าวว่า การศึกษาคือรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมไทย และ Google ในฐานะองค์กรที่มุ่งจัดระเบียบข้อมูลของโลก มีเป้าหมายให้ทุกคนเข้าถึงและใช้ข้อมูลเพื่อพัฒนาตนเองและสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา: เครื่องมือแห่งการเรียนรู้
Google ได้พัฒนาเครื่องมือมากมายเพื่อสนับสนุนการศึกษา โดยเฉพาะ Google for Education ที่เป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ครูและนักเรียนกว่า 170 ล้านคนทั่วโลกใช้งาน หนึ่งในนั้นคือ Google Classroom ซึ่งช่วยให้ครู นักเรียน และผู้ปกครองสามารถบริหารจัดการบทเรียนและการบ้านได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือเสริมอื่น ๆ เช่น Google Docs, Google Sheets, Google Slides และ Google Forms ที่ส่งเสริมการทำงานเป็นทีม และ Google Meet, Gmail และ Chat ที่ช่วยเชื่อมโยงนักเรียนกับครูผู้สอน
“การเรียนรู้แบบไฮบริดคืออนาคตของการศึกษา” ศารณีย์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างโรงเรียนไทยหลายแห่งที่นำเทคโนโลยีมาใช้ เช่น โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย โรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ และโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย ซึ่งได้นำ Google for Education มาใช้เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
โรงเรียนไทยกับการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล
"ทิพย์ภาภรณ์ สะเดา" รองหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนมัธยมวัดนายโรง เล่าว่าโรงเรียนของเธอเริ่มใช้ Google for Education ตั้งแต่ปี 2556 โดยนำ Google Classroom มาเสริมการเรียนการสอน ซึ่งช่วยให้ครูและนักเรียนสามารถทำงานร่วมกันได้แม้อยู่คนละที่ และยังมี Chromebook ให้ครูและนักเรียนยืมใช้เพื่อการเรียนรู้แบบพกพา
ด้าน ดร.สุมนา ธิกุลวงษ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ได้กล่าวว่า โรงเรียนของเธอได้ใช้ Google for Education และ Chromebook เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ โดยพบว่านักเรียนมีพัฒนาการด้าน ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม และความคิดวิเคราะห์ สูงขึ้นจากเดิม 50/100 เป็น 68/100 ภายในเวลา 3 เดือน อีกทั้ง ครูผู้สอนกว่าร้อยละ 85 ยังเห็นว่านักเรียนมีทักษะการทำงานร่วมกันดีขึ้น
เทคโนโลยีช่วยให้การศึกษาไร้พรมแดน
"อรวีร์ รัตนเพียร" ผู้จัดการโรงเรียนมัธยมปัญญารัตน์ เล่าว่าโรงเรียนของเธอเริ่มใช้ Google for Education ตั้งแต่ปี 2554 และมีการใช้ Chrome Education Upgrade เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของครูผู้สอน โดยช่วยเพิ่มความปลอดภัย และลดภาระด้านแอดมิน ส่งผลให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะด้าน การสื่อสารและการทำงานเป็นทีม
ส่วน ปรัชญากร ฮดมาลี รองผู้อำนวยการโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย เลย เล่าว่า โรงเรียนของเขาได้ใช้ Google Docs เป็นเครื่องมือให้เด็กนักเรียนทำงานวิทยาศาสตร์ร่วมกับโรงเรียนในญี่ปุ่นผ่านโปรเจ็กต์ออนไลน์ ซึ่งช่วยให้นักเรียนเรียนรู้จากความแตกต่างและเสริมสร้างมุมมองที่กว้างขึ้น ขณะเดียวกัน ครูผู้สอนก็สามารถออกแบบหลักสูตรและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับครูจากโรงเรียนอื่นได้อีกด้วย
Google for Education ไม่เพียงช่วยให้การศึกษาเป็นไปอย่างราบรื่นในยุคดิจิทัล แต่ยังช่วยเปิดโลกการเรียนรู้ให้นักเรียนไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลระดับสากล พัฒนาแนวคิดสร้างสรรค์ และสร้างเครือข่ายแห่งการเรียนรู้ที่กว้างขวางมากขึ้น ในอนาคต โรงเรียนไทยอีกหลายแห่งอาจหันมาใช้การเรียนรู้แบบไฮบริด และนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยมีระบบการศึกษาที่ทันสมัย และรองรับทุกสถานการณ์อย่างแท้จริง
เพราะการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด และเทคโนโลยีคือกุญแจที่ปลดล็อกอนาคตของเรา