ก่อนอื่นบอกก่อนว่าเราเป็นผุ้ป่วยไบโพล่าร์ค่ะ กินยารักษาตามนัดไม่เคยขาดค่ะ
สามีเราเดินไม่ได้ต้องนั่งวีลแชร์จากเหตุรถคว่ำเมื่อ 26 ปีก่อน แต่งงานกันมาตั้งแต่เค้าเดินไม่ได้แล้ว คุยกันคบกันอยู่ 6 ปีก่อนแต่งงานมาอยู่ดูแลเค้าอีก 14 ปี รวมเป็น 20 ปี เสียชีวิตเมื่อ 18 มกรา 68 ที่ผ่านมา เราตัวติดกันตลอด 24 ชม.เลยค่ะ เพราะสามีเป็นผู้พิการ และหลัง ๆ มาเริ่มติดเตียง เราดูแลใกล้ชิดเค้าตลอด มีอะไรคุยกันทุกเรื่อง ทุกเรื่องในชีวิตมีเค้าเป็นคนเดียวที่เข้าใจ แม้เค้าจะเดินไม่ได้แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าเค้าเดินไม่ได้ เค้ากลับเป็นสามีที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา เป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุด คนแรกและคนเดียวจริง ๆ การที่ดูแลเค้าที่เดินไม่ได้ ทำให้ทุกสิ่งอย่างรอบตัวเป็นการตระเตรียมเพื่อไว้ดูแลเค้าทุกอย่างจริง ๆ ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การแพทย์ เรียกว่าสิ่งของทุกชิ้นมีเค้าร่วมอยู่ในความทรงจำ ทำให้ตอนนี้เศร้ามากที่ต้องค่อย ๆ เก็บ ค่อย ๆ เคลียร์ พยายามทำใจอยู่กับปัจจุบันอย่างที่ใคร ๆ แนะนำ แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ยังร้องไห้เวลาเห็นของที่เคยใช้ เพลงที่เคยฟังด้วยกัน ทีวีที่เคยดู เฟสบุ๊คเค้ารูปภาพเค้า ข้อความที่เคยคุยกัน ฯลฯ มันหดหู่เหลือเกิน ผ่านมา 11 วันทำไมมันยาวนานทรมานใจเหมือนหลายสิบปี
เค้าเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังที่เป็นมานานหลายปี เบาหวานความดันไขมันหัวใจและปิดท้ายด้วยไตวายที่ทำให้อาการทรุดหนักเร็วมากในสองปี เค้าเริ่มทรุดจากการติดเชื้อเพราะล้างไตหน้าท้อง ตั้งแต่ ตุลา ปี 67 โคม่าเข้าไอซียู เดือน พ.ย.67 และหมอเริ่มมาบอกเราว่า ร่างกายสามีเริ่มรับไม่ไหว จากนี้ไปจะมีแต่ทรงกับทรุดลงแล้ว ถ้าดีขึ้นก็ไม่นาน ตอนนั้นเราร้องไห้กินไม่ได้นอนไม่ได้น้ำหนักลดลงไปมากในสองเดือน แต่สามีสู้มาก ๆ ทั้งใส่ท่อ ทั้งขอให้ปั๊มหัวใจ จนต้องส่งตัวเข้ารักษาต่อที่ รพ.เมือง ที่ รพ.เมืองก็บอกว่าร่างกายเค้าอยู่ได้ด้วยยา ถ้าหัวใจหยุดเต้นอีกหมอขอไม่ปั๊มให้แล้ว ไม่อยากให้ยื้อเป็นการทรมานคนไข้ แต่เค้ายังมีสติเป็นคนขอหมอเองเลยว่าให้ปั๊มเค้าอีกครั้ง
เค้าเคยบอกว่า เค้ายอมทรมานถ้ายังได้อยู่กับเรา แต่พอเริ่ม ธ.ค.เค้าก็ดีได้พักนึง แล้วก็เริ่มทรุดหนัก ระยะเวลาที่ได้ดูแลกันตอนท้ายมีแค่ช่วงเดือน ธ.ค. เพราะตั้งแต่ พ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ไอซียู รพ.เมือง ได้แค่เข้าเยี่ยม ไม่สามารถเฝ้าไข้ได้ตลอดเวลา พอเดือน ธ.ค.ได้กลับ รพ.ใกล้บ้าน ก็ได้เฝ้าไข้ตลอดเวลา กลับกลายเป็นว่าเป็นระยะท้ายซึ่งเค้าไม่รู้ตัวเลย เราเองก็เพิ่งมารู้จากปากหมอคนเดิมที่เคยบอกเมื่อเดือน พ.ย.อีกครั้งก่อนเค้าเสียแค่ 4 วันว่าร่างกายเค้าไม่ไหวจริง ๆ แล้วนะ จากการที่เค้าเหนื่อยหอบเพราะน้ำท่วมปอดและติดเชื้อกระแสเลือดทำให้ความดันต่ำจนฟอกเลือดไม่ได้แล้ว
มันเหมือนฟ้าผ่าอีกครั้ง เราไม่กล้าบอกเค้าว่ามันถึงวาระสุดท้ายที่จะยื้อยังไงร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว วันสุดท้ายที่เค้ามีสติคือวันที่หมอบอกเราให้เลือกระหว่าง ใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อยื้อแต่มันก็ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่านี้แล้ว ทำได้แค่ยื้อ แต่มันจะเป็นการทรมานเค้า หรือจะรักษาแบบประคับประคองในระยะท้าย เราจึงตัดสินใจรักษาแบบประคับประคอง เพราะไม่อยากให้เค้าทรมานไปกว่านี้ ไม่อยากส่งเค้าไปเดียวดายที่ รพ.เมืองอีก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะประคับประคองได้แค่ 4 วัน แถมวันที่คุยกันรู้เรื่องที่สุดมีแค่วันเดียว อีกสามวันเค้าเริ่มหลับยาวเพราะของเสียคั่งในเลือดแล้ว และเริ่มให้มอร์ฟีนช่วยให้เหนือยน้อยลง ทำให้เค้ายิ่งซึมยิ่งหลับ และในท้ายที่สุดเค้าก็จากไปทั้งที่เรากอดและพยายามพูดอยู่ข้างหูเค้าตลอดเวลา น้ำตาเค้าไหลเป็นระยะก่อนหัวใจจะหยุดเต้น เราเพิ่งเคยรู้สึกหัวใจสลายก็ครั้งนี้ เพิ่งรู้ว่าการเสียใจร้องไห้จนทรุดแทบเป็นลมขาพับมันเป็นยังไง ร้องเสียงดังแบบไม่อายใครเพื่ออยากให้เค้ากลับมาหายใจทั้งที่เป็นคนเลือกให้เค้าจากไปอย่างสงบเองแท้ ๆ
ความรู้สึกผิดยังติดค้างในใจยังไม่เคยพูดปรึกษาใคร ที่เค้าเคยบอกว่าเค้ายอมทรมานถ้าได้อยู่กับเราต่อไป แต่เรากลับเลือกให้เค้าไปแบบไม่ทรมานไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ต้องเจ็บเพราะปั๊มหัวใจอีก เพราะตอนเดือน พ.ย.เคยปั๊มขึ้นมาแล้วสามครั้งจนกระดูกซี่โครงร้าวและเจ็บหน้าอกมาก ๆ เค้าเองก็ร้องเจ็บทุกครั้งที่โดน และคืนก่อนวันสุดท้ายที่หมอให้ทางเลือกเรา เค้าบอกกับเราว่าเค้าจะไม่ใส่ท่อและไม่ไปต่อ รพ.เมือง แต่ตอนนั้นก็เหมือนเค้าเริ่มไม่ค่อยได้สติเท่าไร มันเหมือนเราเลือกให้เค้าตายโดยเค้าไม่มีสิทธิ์รู้ตัวเลย เรารู้สึกผิดที่กลายเป็นคนเลือกชีวิตให้เค้าจากไป แต่อีกใจก็รู้สึกว่า ต่อให้เราไปต่อ ใส่ท่อช่วยหายใจให้เค้า เพื่อไป รพ.เมืองอีกครั้ง แต่ถ้าไปก็ไปฟอกเลือดต่อไม่ได้อยู่ดี เพราะความดันเค้าต่ำมาก ๆ จนไปต่อไม่ได้แล้ว แล้วต้องไปอยู่ห้องไอซียูที่เฝ้าไข้ไม่ได้ ไม่สามาถเห็นเค้าได้ตลอดเวลา มันจะเป็นการปล่อยเค้าเดียวดายเหมือนที่ไปครั้งก่อน ถ้าเสียชีวิตที่ รพ.เมือง ก็ไปอย่างเดียวดายไม่มีเราอยู่ด้วยตลอด ซึ่งหมอก็เน้นย้ำกับเรามาตลอดว่า เค้ามาสุดทางได้เท่านี้ ตอนนี้ร่างกายเค้ามาได้เท่านี้แล้วจริง ๆ เราถึงได้ตัดสินใจประคับประคองเพียงแต่ไม่คาดคิดว่าได้แค่ 4 วัน คุยกันไม่ทันรู้เรื่องเหมือนไม่ได้ร่ำลากันเลย มีแต่เราฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายร่ำลาในขณะที่เค้านอนไม่รู้เรื่องแล้ว
ความรู้สึกเสียใจโหยหาที่ไม่รู้จะหาเค้าได้ที่ไหนอีกนอกจากในรูปถ่ายกับความทรงจำ คือมันรู้สึกอื้อ ๆ อึน ๆ ตลอดเวลา เค้าไม่อยู่อีกต่อไป เตียงผู้ป่วยที่เคยขนาบนอนข้าง ๆ เตียงเราไม่มีคนนอนอีกต่อไป และอีกไม่นานก็บริจาคให้ รพ. ก็จะเหลือเตียงเราเตียงเดียว เวลาทำงานบ้านต่อให้ดึกดื่นแค่ไหน เคยมีเค้ารออยู่ที่ห้อง นอนพร้อมกัน ตื่นมาก็ เช็ดตัว ทำแผล ล้างไต ทำอาหาร เปิดทีวีให้ดู ทำทุกอย่างให้เค้าดีที่สุด กลับกลายเป็น ไม่มีอะไรให้ทำอีก นอกจากเตียงที่ว่างเปล่า กับรูปที่อัดใส่กรอบไว้มองเวลาคิดถึง มันเป็น 11 วันที่ยาวนานมาก
ต้องไปเดินเรื่องแจ้งตายสถานที่ต่าง ๆ เวลาหยิบใบมรณบัตรขึ้นมา ทะเบียนบ้านที่ปั๊มคำว่า ตาย เห็นทีไรมันหดหู่ มันเหมือนโดนอะไรแทงในใจให้เจ็บซ้ำไปซ้ำมา ย้ำไปย้ำมาว่าเค้าตายแล้วนะ เค้าตายแล้วนะอยู่แบบนี้ ไม่รู้เมื่อไรมันจะสิ้นสุด ไม่มีใครสักคนเข้าใจความเจ็บปวดนี้เลย ดูเหมือนมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ทุกครั้งที่หยิบเอกสารทุกใบที่มีชื่อเค้าอยู่ โดยเฉพาะสองอย่างข้างต้น มันสุด ๆ ของความทรมานใจมากจริง ๆ ค่ะ เจ็บปวดเหลือเกิน
รูปวันตรุษจีนปีก่อน ๆ ขึ้นมาในฟีดเฟสบุ๊ค ไม่เคยคิดเลย ว่าวันนึงเค้าจะไม่อยู่อีกแล้ว แต่มีรูปเค้าจะไปอยู่รวมกับมุมไหว้บรรพบุรุษเวลาวันตรุษจีน ซึ่งปีนี้มีรูปเค้าเป็นหนึ่งในนั้น มันเร็วมาก ไม่เคยคิดจริง ๆ
เวลาฟังเพลงที่เค้าเคยชอบร้องให้ฟัง หรือร้องคาราโอเกะที่บ้านด้วยกันบ่อย ๆ น้ำตามันไหล มันเศร้าคิดถึงสุดหัวใจ ทีวีเปิดไปก็ไม่อยากดูอะไรเลย มันรู้สึกหดหู่ไปหมด ยิ่งข่าวเกี่ยวกับการตาย ดูไม่ได้เลย รายการทีวีไม่มีอะไรน่าดูอีกเลย ใครหัวเราะมีความสุข ก็รู้สึกตัวเองโดดเดี่ยวมาก ๆ ไม่มีใครมาเข้าใจว่าเราเศร้าแค่ไหน เพราะไม่มีเค้าแล้ว แค่เสียงโฆษณาที่เคยฟังบ่อย ๆ เวลาเปิดทีวีให้เค้านอนดูเพลิน ๆ บนเตียง ฟังแล้วก็เศร้า ว่ามันไม่มีเค้าอยู่อีกแล้ว ดูอะไรหลาย ๆ อย่างมันไม่มีความหมายอีกเลย ทำอะไรไปในแต่ละวัน ทำไปทำไม ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
ตอนนี้ก็พยายามออกจากห้องไปทำนั่นนี่ ให้ลืม ให้หยุดเศร้า แต่พอไม่เศร้าก็มารู้สึกผิดต่อเค้าอีกว่า เพราะเราเลือกให้เค้าจากไป เราเลยหายเศร้าได้ใช่มั้ย เรามีสิทธิ์หายเศร้าเหรอ ทั้งที่เราเป็นคนเลือกให้เค้าจากไปเนี่ยนะ พอกลับเข้าห้อง ก็วนลูปเหมือนเดิม จะรู้สึกเฉย ๆ คลายเศร้าได้บ้างก็ตอนออกไปทำงานบ้าน ไปเล่นกับหมาที่เราสองคนเลี้ยงมาด้วยกัน ไปหาอะไรทำให้มันลืมความเศร้าลงบ้าง แต่มันก็ยังรู้สึกผิดวนกลับมาอีก ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อดีกับชีวิต ปกติก็ค้าขายสมัยที่เค้ายังเข็ญรถไปมาด้วยได้ก็ขายของด้วยกัน แต่หลายปีท้าย ๆ มาเค้าป่วยติดเตียงจนไปขายของไม่ได้ ต้องมาดูแลเค้า คนที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ก็คือแม่สามีซึ่งก็ดีกับเรามาก ๆ ทำให้เราอยู่ได้จนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีเค้าแล้ว ไปไม่ถูกเลยค่ะ แค่ทำใจให้ปกติยังยากเลย เรื่องอื่นยัง งง ๆ อยู่เลย เคว้งจริง ๆ จนบางทีก็รู้สึกว่า อยากตามเค้าไป .....มันรู้สึกไม่อยากสู้กับอะไรอีกแล้ว ไม่ไหวแล้วชีวิตนี้ มันหาความสุขไม่ได้อีกเลย
การสูญเสียของเราครั้งนี้มันรู้สึกใหญ่มากจริง ๆ เราตัดสินใจจะไปหาจิตแพทย์ก่อนนัดเดือน กพ.นี้ค่ะ ที่พิมพ์มาทั้งหมด ก็ลองมาพิมพ์ระบาย เล่าให้คนอื่นฟังดูบ้าง ตามคำแนะนำของข้อมูลต่าง ๆ ที่ไปอ่านวิธีเยียวยาจิตใจตัวเองมา เราไม่อยากคิดสั้น ไม่อยากอยู่ในภาวะซึมเศร้าขั้นสุดอย่างที่เคยเป็น เรายังมีพ่อแม่ที่ปกติไม่ค่อยได้คุยกัน กับน้องชายกำลังเรียนจบ มีแม่สามีอีกคนที่แก่แล้ว เราคิดว่าเราจะต้องอยู่ต่อเพื่อดูแลพวกเค้าต่อไป แต่ในใจลึก ๆ มันก็รู้สึกเหนื่อยเหลือเกินแล้ว เจ็บปวดใจกับความเจ็บป่วย เข็ดแล้วกับการสูญเสีย รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นวนอีก เลยอยากหนี ๆ ไปเลย ตอนนี้มันมีความคิดอยากหนีแบบตายตามไปซะแทรกขึ้นมา ดูเห็นแก่ตัว แต่ 11 วันมานี้มันทรมานมากจนไม่อยากรับรู้เรื่องทุกข์ใจอะไรเพิ่มอีกแล้ว มันเหมือนมีสองคนในหัว คนนึงอยากหนีตัดช่องน้อยแต่พอตัว อีกคนพยายามสู้ต่อพยายามหาทางเยียวยาตัวเองเท่าที่จะทำได้ ทั้งสับสน ทั้งเศร้า ทุกข์ใจ หดหู่ ปนเปไปหมดเลยค่ะ
ปกติเรากับพ่อแม่ไม่ค่อยผูกพันธ์ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะปัญหาครอบครัวตั้งแต่เราเด็ก ๆ เพิ่งมาคุยกันไม่กี่ปีนี้ แล้วก็มีน้องชายที่เดือน พ.ค.ก็จะจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว เราเลยไม่มีใครให้คุยด้วยอีกแล้วค่ะ แค่รู้สึกว่าน้องชายที่เคยคุยด้วยได้ก็จะไปจากบ้านอีกคน ก็หดหู่ขึ้นมาอีก เหมือนใคร ๆ ก็จะจากเราไปแม้แต่พ่อแม่ แม่สามี หมาที่เลี้ยง อนาคตมันมีแต่ความเดียวดาย ปัจจุบันก็โดดเดี่ยวพออยู่แล้ว รู้สึกทุกข์ทรมานใจมากเลยค่ะ สุดท้ายขอขอบคุณใครก็ตามที่อดทนอ่านจนจบนะคะ
สามีที่ดูแลกันมา14ปีเสียชีวิตเพราะโรคเรื้อรัง ผ่านมา11วัน ทำไมรู้สึกยาวนานเหมือนผ่านมานานหลายปี ทรมานใจมาก
สามีเราเดินไม่ได้ต้องนั่งวีลแชร์จากเหตุรถคว่ำเมื่อ 26 ปีก่อน แต่งงานกันมาตั้งแต่เค้าเดินไม่ได้แล้ว คุยกันคบกันอยู่ 6 ปีก่อนแต่งงานมาอยู่ดูแลเค้าอีก 14 ปี รวมเป็น 20 ปี เสียชีวิตเมื่อ 18 มกรา 68 ที่ผ่านมา เราตัวติดกันตลอด 24 ชม.เลยค่ะ เพราะสามีเป็นผู้พิการ และหลัง ๆ มาเริ่มติดเตียง เราดูแลใกล้ชิดเค้าตลอด มีอะไรคุยกันทุกเรื่อง ทุกเรื่องในชีวิตมีเค้าเป็นคนเดียวที่เข้าใจ แม้เค้าจะเดินไม่ได้แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าเค้าเดินไม่ได้ เค้ากลับเป็นสามีที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตเรา เป็นคู่ชีวิตที่ดีที่สุด คนแรกและคนเดียวจริง ๆ การที่ดูแลเค้าที่เดินไม่ได้ ทำให้ทุกสิ่งอย่างรอบตัวเป็นการตระเตรียมเพื่อไว้ดูแลเค้าทุกอย่างจริง ๆ ข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์การแพทย์ เรียกว่าสิ่งของทุกชิ้นมีเค้าร่วมอยู่ในความทรงจำ ทำให้ตอนนี้เศร้ามากที่ต้องค่อย ๆ เก็บ ค่อย ๆ เคลียร์ พยายามทำใจอยู่กับปัจจุบันอย่างที่ใคร ๆ แนะนำ แต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ยังร้องไห้เวลาเห็นของที่เคยใช้ เพลงที่เคยฟังด้วยกัน ทีวีที่เคยดู เฟสบุ๊คเค้ารูปภาพเค้า ข้อความที่เคยคุยกัน ฯลฯ มันหดหู่เหลือเกิน ผ่านมา 11 วันทำไมมันยาวนานทรมานใจเหมือนหลายสิบปี
เค้าเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังที่เป็นมานานหลายปี เบาหวานความดันไขมันหัวใจและปิดท้ายด้วยไตวายที่ทำให้อาการทรุดหนักเร็วมากในสองปี เค้าเริ่มทรุดจากการติดเชื้อเพราะล้างไตหน้าท้อง ตั้งแต่ ตุลา ปี 67 โคม่าเข้าไอซียู เดือน พ.ย.67 และหมอเริ่มมาบอกเราว่า ร่างกายสามีเริ่มรับไม่ไหว จากนี้ไปจะมีแต่ทรงกับทรุดลงแล้ว ถ้าดีขึ้นก็ไม่นาน ตอนนั้นเราร้องไห้กินไม่ได้นอนไม่ได้น้ำหนักลดลงไปมากในสองเดือน แต่สามีสู้มาก ๆ ทั้งใส่ท่อ ทั้งขอให้ปั๊มหัวใจ จนต้องส่งตัวเข้ารักษาต่อที่ รพ.เมือง ที่ รพ.เมืองก็บอกว่าร่างกายเค้าอยู่ได้ด้วยยา ถ้าหัวใจหยุดเต้นอีกหมอขอไม่ปั๊มให้แล้ว ไม่อยากให้ยื้อเป็นการทรมานคนไข้ แต่เค้ายังมีสติเป็นคนขอหมอเองเลยว่าให้ปั๊มเค้าอีกครั้ง
เค้าเคยบอกว่า เค้ายอมทรมานถ้ายังได้อยู่กับเรา แต่พอเริ่ม ธ.ค.เค้าก็ดีได้พักนึง แล้วก็เริ่มทรุดหนัก ระยะเวลาที่ได้ดูแลกันตอนท้ายมีแค่ช่วงเดือน ธ.ค. เพราะตั้งแต่ พ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ไอซียู รพ.เมือง ได้แค่เข้าเยี่ยม ไม่สามารถเฝ้าไข้ได้ตลอดเวลา พอเดือน ธ.ค.ได้กลับ รพ.ใกล้บ้าน ก็ได้เฝ้าไข้ตลอดเวลา กลับกลายเป็นว่าเป็นระยะท้ายซึ่งเค้าไม่รู้ตัวเลย เราเองก็เพิ่งมารู้จากปากหมอคนเดิมที่เคยบอกเมื่อเดือน พ.ย.อีกครั้งก่อนเค้าเสียแค่ 4 วันว่าร่างกายเค้าไม่ไหวจริง ๆ แล้วนะ จากการที่เค้าเหนื่อยหอบเพราะน้ำท่วมปอดและติดเชื้อกระแสเลือดทำให้ความดันต่ำจนฟอกเลือดไม่ได้แล้ว
มันเหมือนฟ้าผ่าอีกครั้ง เราไม่กล้าบอกเค้าว่ามันถึงวาระสุดท้ายที่จะยื้อยังไงร่างกายก็ไม่ไหวแล้ว วันสุดท้ายที่เค้ามีสติคือวันที่หมอบอกเราให้เลือกระหว่าง ใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อยื้อแต่มันก็ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่านี้แล้ว ทำได้แค่ยื้อ แต่มันจะเป็นการทรมานเค้า หรือจะรักษาแบบประคับประคองในระยะท้าย เราจึงตัดสินใจรักษาแบบประคับประคอง เพราะไม่อยากให้เค้าทรมานไปกว่านี้ ไม่อยากส่งเค้าไปเดียวดายที่ รพ.เมืองอีก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะประคับประคองได้แค่ 4 วัน แถมวันที่คุยกันรู้เรื่องที่สุดมีแค่วันเดียว อีกสามวันเค้าเริ่มหลับยาวเพราะของเสียคั่งในเลือดแล้ว และเริ่มให้มอร์ฟีนช่วยให้เหนือยน้อยลง ทำให้เค้ายิ่งซึมยิ่งหลับ และในท้ายที่สุดเค้าก็จากไปทั้งที่เรากอดและพยายามพูดอยู่ข้างหูเค้าตลอดเวลา น้ำตาเค้าไหลเป็นระยะก่อนหัวใจจะหยุดเต้น เราเพิ่งเคยรู้สึกหัวใจสลายก็ครั้งนี้ เพิ่งรู้ว่าการเสียใจร้องไห้จนทรุดแทบเป็นลมขาพับมันเป็นยังไง ร้องเสียงดังแบบไม่อายใครเพื่ออยากให้เค้ากลับมาหายใจทั้งที่เป็นคนเลือกให้เค้าจากไปอย่างสงบเองแท้ ๆ
ความรู้สึกผิดยังติดค้างในใจยังไม่เคยพูดปรึกษาใคร ที่เค้าเคยบอกว่าเค้ายอมทรมานถ้าได้อยู่กับเราต่อไป แต่เรากลับเลือกให้เค้าไปแบบไม่ทรมานไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่ต้องเจ็บเพราะปั๊มหัวใจอีก เพราะตอนเดือน พ.ย.เคยปั๊มขึ้นมาแล้วสามครั้งจนกระดูกซี่โครงร้าวและเจ็บหน้าอกมาก ๆ เค้าเองก็ร้องเจ็บทุกครั้งที่โดน และคืนก่อนวันสุดท้ายที่หมอให้ทางเลือกเรา เค้าบอกกับเราว่าเค้าจะไม่ใส่ท่อและไม่ไปต่อ รพ.เมือง แต่ตอนนั้นก็เหมือนเค้าเริ่มไม่ค่อยได้สติเท่าไร มันเหมือนเราเลือกให้เค้าตายโดยเค้าไม่มีสิทธิ์รู้ตัวเลย เรารู้สึกผิดที่กลายเป็นคนเลือกชีวิตให้เค้าจากไป แต่อีกใจก็รู้สึกว่า ต่อให้เราไปต่อ ใส่ท่อช่วยหายใจให้เค้า เพื่อไป รพ.เมืองอีกครั้ง แต่ถ้าไปก็ไปฟอกเลือดต่อไม่ได้อยู่ดี เพราะความดันเค้าต่ำมาก ๆ จนไปต่อไม่ได้แล้ว แล้วต้องไปอยู่ห้องไอซียูที่เฝ้าไข้ไม่ได้ ไม่สามาถเห็นเค้าได้ตลอดเวลา มันจะเป็นการปล่อยเค้าเดียวดายเหมือนที่ไปครั้งก่อน ถ้าเสียชีวิตที่ รพ.เมือง ก็ไปอย่างเดียวดายไม่มีเราอยู่ด้วยตลอด ซึ่งหมอก็เน้นย้ำกับเรามาตลอดว่า เค้ามาสุดทางได้เท่านี้ ตอนนี้ร่างกายเค้ามาได้เท่านี้แล้วจริง ๆ เราถึงได้ตัดสินใจประคับประคองเพียงแต่ไม่คาดคิดว่าได้แค่ 4 วัน คุยกันไม่ทันรู้เรื่องเหมือนไม่ได้ร่ำลากันเลย มีแต่เราฝ่ายเดียวที่เป็นฝ่ายร่ำลาในขณะที่เค้านอนไม่รู้เรื่องแล้ว
ความรู้สึกเสียใจโหยหาที่ไม่รู้จะหาเค้าได้ที่ไหนอีกนอกจากในรูปถ่ายกับความทรงจำ คือมันรู้สึกอื้อ ๆ อึน ๆ ตลอดเวลา เค้าไม่อยู่อีกต่อไป เตียงผู้ป่วยที่เคยขนาบนอนข้าง ๆ เตียงเราไม่มีคนนอนอีกต่อไป และอีกไม่นานก็บริจาคให้ รพ. ก็จะเหลือเตียงเราเตียงเดียว เวลาทำงานบ้านต่อให้ดึกดื่นแค่ไหน เคยมีเค้ารออยู่ที่ห้อง นอนพร้อมกัน ตื่นมาก็ เช็ดตัว ทำแผล ล้างไต ทำอาหาร เปิดทีวีให้ดู ทำทุกอย่างให้เค้าดีที่สุด กลับกลายเป็น ไม่มีอะไรให้ทำอีก นอกจากเตียงที่ว่างเปล่า กับรูปที่อัดใส่กรอบไว้มองเวลาคิดถึง มันเป็น 11 วันที่ยาวนานมาก
ต้องไปเดินเรื่องแจ้งตายสถานที่ต่าง ๆ เวลาหยิบใบมรณบัตรขึ้นมา ทะเบียนบ้านที่ปั๊มคำว่า ตาย เห็นทีไรมันหดหู่ มันเหมือนโดนอะไรแทงในใจให้เจ็บซ้ำไปซ้ำมา ย้ำไปย้ำมาว่าเค้าตายแล้วนะ เค้าตายแล้วนะอยู่แบบนี้ ไม่รู้เมื่อไรมันจะสิ้นสุด ไม่มีใครสักคนเข้าใจความเจ็บปวดนี้เลย ดูเหมือนมันเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่ทุกครั้งที่หยิบเอกสารทุกใบที่มีชื่อเค้าอยู่ โดยเฉพาะสองอย่างข้างต้น มันสุด ๆ ของความทรมานใจมากจริง ๆ ค่ะ เจ็บปวดเหลือเกิน
รูปวันตรุษจีนปีก่อน ๆ ขึ้นมาในฟีดเฟสบุ๊ค ไม่เคยคิดเลย ว่าวันนึงเค้าจะไม่อยู่อีกแล้ว แต่มีรูปเค้าจะไปอยู่รวมกับมุมไหว้บรรพบุรุษเวลาวันตรุษจีน ซึ่งปีนี้มีรูปเค้าเป็นหนึ่งในนั้น มันเร็วมาก ไม่เคยคิดจริง ๆ
เวลาฟังเพลงที่เค้าเคยชอบร้องให้ฟัง หรือร้องคาราโอเกะที่บ้านด้วยกันบ่อย ๆ น้ำตามันไหล มันเศร้าคิดถึงสุดหัวใจ ทีวีเปิดไปก็ไม่อยากดูอะไรเลย มันรู้สึกหดหู่ไปหมด ยิ่งข่าวเกี่ยวกับการตาย ดูไม่ได้เลย รายการทีวีไม่มีอะไรน่าดูอีกเลย ใครหัวเราะมีความสุข ก็รู้สึกตัวเองโดดเดี่ยวมาก ๆ ไม่มีใครมาเข้าใจว่าเราเศร้าแค่ไหน เพราะไม่มีเค้าแล้ว แค่เสียงโฆษณาที่เคยฟังบ่อย ๆ เวลาเปิดทีวีให้เค้านอนดูเพลิน ๆ บนเตียง ฟังแล้วก็เศร้า ว่ามันไม่มีเค้าอยู่อีกแล้ว ดูอะไรหลาย ๆ อย่างมันไม่มีความหมายอีกเลย ทำอะไรไปในแต่ละวัน ทำไปทำไม ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว
ตอนนี้ก็พยายามออกจากห้องไปทำนั่นนี่ ให้ลืม ให้หยุดเศร้า แต่พอไม่เศร้าก็มารู้สึกผิดต่อเค้าอีกว่า เพราะเราเลือกให้เค้าจากไป เราเลยหายเศร้าได้ใช่มั้ย เรามีสิทธิ์หายเศร้าเหรอ ทั้งที่เราเป็นคนเลือกให้เค้าจากไปเนี่ยนะ พอกลับเข้าห้อง ก็วนลูปเหมือนเดิม จะรู้สึกเฉย ๆ คลายเศร้าได้บ้างก็ตอนออกไปทำงานบ้าน ไปเล่นกับหมาที่เราสองคนเลี้ยงมาด้วยกัน ไปหาอะไรทำให้มันลืมความเศร้าลงบ้าง แต่มันก็ยังรู้สึกผิดวนกลับมาอีก ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อดีกับชีวิต ปกติก็ค้าขายสมัยที่เค้ายังเข็ญรถไปมาด้วยได้ก็ขายของด้วยกัน แต่หลายปีท้าย ๆ มาเค้าป่วยติดเตียงจนไปขายของไม่ได้ ต้องมาดูแลเค้า คนที่เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้ก็คือแม่สามีซึ่งก็ดีกับเรามาก ๆ ทำให้เราอยู่ได้จนทุกวันนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีเค้าแล้ว ไปไม่ถูกเลยค่ะ แค่ทำใจให้ปกติยังยากเลย เรื่องอื่นยัง งง ๆ อยู่เลย เคว้งจริง ๆ จนบางทีก็รู้สึกว่า อยากตามเค้าไป .....มันรู้สึกไม่อยากสู้กับอะไรอีกแล้ว ไม่ไหวแล้วชีวิตนี้ มันหาความสุขไม่ได้อีกเลย
การสูญเสียของเราครั้งนี้มันรู้สึกใหญ่มากจริง ๆ เราตัดสินใจจะไปหาจิตแพทย์ก่อนนัดเดือน กพ.นี้ค่ะ ที่พิมพ์มาทั้งหมด ก็ลองมาพิมพ์ระบาย เล่าให้คนอื่นฟังดูบ้าง ตามคำแนะนำของข้อมูลต่าง ๆ ที่ไปอ่านวิธีเยียวยาจิตใจตัวเองมา เราไม่อยากคิดสั้น ไม่อยากอยู่ในภาวะซึมเศร้าขั้นสุดอย่างที่เคยเป็น เรายังมีพ่อแม่ที่ปกติไม่ค่อยได้คุยกัน กับน้องชายกำลังเรียนจบ มีแม่สามีอีกคนที่แก่แล้ว เราคิดว่าเราจะต้องอยู่ต่อเพื่อดูแลพวกเค้าต่อไป แต่ในใจลึก ๆ มันก็รู้สึกเหนื่อยเหลือเกินแล้ว เจ็บปวดใจกับความเจ็บป่วย เข็ดแล้วกับการสูญเสีย รู้ว่ามันต้องเกิดขึ้นวนอีก เลยอยากหนี ๆ ไปเลย ตอนนี้มันมีความคิดอยากหนีแบบตายตามไปซะแทรกขึ้นมา ดูเห็นแก่ตัว แต่ 11 วันมานี้มันทรมานมากจนไม่อยากรับรู้เรื่องทุกข์ใจอะไรเพิ่มอีกแล้ว มันเหมือนมีสองคนในหัว คนนึงอยากหนีตัดช่องน้อยแต่พอตัว อีกคนพยายามสู้ต่อพยายามหาทางเยียวยาตัวเองเท่าที่จะทำได้ ทั้งสับสน ทั้งเศร้า ทุกข์ใจ หดหู่ ปนเปไปหมดเลยค่ะ
ปกติเรากับพ่อแม่ไม่ค่อยผูกพันธ์ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะปัญหาครอบครัวตั้งแต่เราเด็ก ๆ เพิ่งมาคุยกันไม่กี่ปีนี้ แล้วก็มีน้องชายที่เดือน พ.ค.ก็จะจากบ้านไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว เราเลยไม่มีใครให้คุยด้วยอีกแล้วค่ะ แค่รู้สึกว่าน้องชายที่เคยคุยด้วยได้ก็จะไปจากบ้านอีกคน ก็หดหู่ขึ้นมาอีก เหมือนใคร ๆ ก็จะจากเราไปแม้แต่พ่อแม่ แม่สามี หมาที่เลี้ยง อนาคตมันมีแต่ความเดียวดาย ปัจจุบันก็โดดเดี่ยวพออยู่แล้ว รู้สึกทุกข์ทรมานใจมากเลยค่ะ สุดท้ายขอขอบคุณใครก็ตามที่อดทนอ่านจนจบนะคะ