มันใช่หรือ ที่คุณแม่ต้องจากไปแบบนี้?!?!

สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเรานะคะ ไม่เคยคิดว่าจะต้องมาโพสต์เรื่องอะไรแบบนี้เลย

จุดประสงค์ในการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทางครอบครัวของเราอยากให้สังคมได้รับรู้ถึงเรื่องราวความผิดพลาด และเพื่อเป็นตัวช่วยในการพิจารณาเข้ารับการรักษากับโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ
 
รบกวนขอความคิดเห็นของท่านด้วยนะคะ
1) พยาบาลปฏิบัติหน้าที่บกพร่องหรือไม่
2) โรงพยาบาลผิดหรือไม่ที่ปล่อยให้มีพยาบาลท่านเดียวจัดการกับผู้ป่วยวิกฤตแบบนี้
3) แค่คำขอโทษจากโรงพยาบาลเพียงพอหรือไม่กับการที่คุณแม่ของพวกเราต้องทรมานขนาดนี้ก่อนที่ท่านจะจากไป
 
คุณแม่สามีได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค COPD (โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง) มาตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว และได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับห้างดังย่านบางนา-ตราด ฝั่งขาออก
 
ตลอดระยะเวลาอาการคุณแม่สามีดีบ้าง ทรุดบ้าง โดยท่านต้องใช้ออกซิเจนตลอดเวลา และทุกครั้งที่ระดับออกซิเจนตกเนื่องจากมีไข้และมีอาการติดเชื้อในปอด พวกเราก็จะพาท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าวมาตลอด 

เหตุการณ์คืนก่อนวันที่ท่านเสียชีวิต คุณแม่ระดับออกซิเจนตกและขึ้นไม่เกิน 85 พวกเราจึงปรึกษากับท่านว่าอยากจะไปโรงพยาบาลคืนนั้นเลยหรือไปเช้าอีกวันดี แต่ท่านก็ตัดสินใจว่าไปเลยก็ได้ (ในขณะนั้นท่านมีสติและสามารถพูดคุยกับพวกเราได้เป็นปกติ) พวกเราจึงโทรขอรถพยาบาลเนื่องจากคุณแม่เป็นผู้ป่วยติดเตียงเคลื่อนย้ายยาก ก่อนรถพยาบาลมาถึง พวกเราก็ช่วยกันเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่ต้องนำไปเหมือนทุกครั้งที่คุณแม่เข้าโรงพยาบาล โดยคุณแม่ยังเป็นคนสั่งให้พวกเราเอานู่นนี่ใส่กระเป๋าของท่านเอง
 
เมื่อรถพยาบาลมาถึง เจ้าหน้าที่ก็ได้เคลื่อนย้ายคุณแม่ขึ้นรถและนำส่งโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงโรงพยาบาล (เวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง) พยาบาลและแพทย์แผนกฉุกเฉินได้ออกมาทำการซักประวัติคนไข้และผู้ใกล้ชิด เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19จึงทำให้มีขั้นตอนเพิ่มเติมก่อนเข้าแผนกฉุกเฉิน ระหว่างนี้พวกเรายังไม่ได้เข้าไปในตัวอาคาร โรงพยาบาลมีการจัดพื้นที่ชั่วคราวเพื่อการคัดกรองผู้ป่วยและผู้ที่มีความเสี่ยงไว้บริเวณที่จอดรถพยายาลหน้าห้องฉุกเฉิน 
 
หลังจากคุณหมอแผนกฉุกเฉินพบว่าคนไข้มีปัญหาการหายใจจึงได้มีการซักถามเรื่องความยินยอมหากมีความจำเป็นต้องทำการสอดท่อช่วยหายใจ แต่เนื่องด้วยพวกเราและคุณแม่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่มีการสอดท่อใดๆ ลูกๆจึงตอบไปว่าไม่ยินยอม และระหว่างนั้นคุณแม่ยังมีสติอยู่และตอบด้วยตัวเองว่า “NO” (คุณแม่เป็นต่างชาติ แต่สื่อสารภาษาไทยได้ดี)

หลังจากนี้คุณหมอบอกให้ญาติออกจากพื้นที่ตรงนั้น ทุกท่านนึกภาพตามนะคะ ตอนนั้นพวกเราไม่ได้อยู่ในตัวอาคาร คุณแม่อยู่บนเตียงที่อยู่หน้าห้องฉุกเฉิน พวกเราเลยหลบออกมายืนบนถนนของโรงพยาบาล และคอยดูคุณแม่อยู่บริเวณนั้น
 
ระหว่างนี้มีแค่พยาบาลท่านเดียวที่คอยปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่จุดนั้น (พยาบาลที่เหลืออยู่ในห้องฉุกเฉินและขณะนั้นไม่ได้มีผู้ป่วยรายอื่น) พยาบาลทำการพ่นยาผ่าน nebulizer โดยการถอดหน้ากากออกซิเจนของแม่ออกและพ่นยา เมื่อพ่นยาเสร็จพยาบาลได้ถอดหน้ากาก nebulizer ออก แต่ไม่ได้ใส่หน้ากากออกซิเจนกลับคืนให้คุณแม่ทันที พวกเราจึงตะโกนไปว่าใส่หน้ากากให้แม่ แต่ในขณะเดียวกันพยาบาลมัวไปจัดการกับถังออกซิเจน (ประมาณเกือบ 1 นาที) ถึงได้เอาหน้ากากออกซิเจนใส่ให้คุณแม่ แล้วพยาบาลท่านนั้นก็เดินเข้าไปในแผนกฉุกเฉิน โดยไม่ได้ตรวจสอบว่าอุปกรณ์ทำงานปกติหรือไม่ ทิ้งคุณแม่นอนอยู่ตรงนั้นคนเดียว
 
ถึงตอนนี้พวกเราสังเกตเห็นคุณแม่มือเท้ากระตุก และท่านร้องว่า “ช่วยด้วย หายใจไม่ออก” พวกเราจึงวิ่งเข้าไปดูคุณแม่ พบว่าถุงที่หน้ากากออกซิเจนแบนแฟบ ไม่มีออกซิเจนไหลเข้า สามีเราต้องวิ่งไปตามนางพยาบาลท่านนั้นในห้องฉุกเฉิน พยาบาลท่านนั้นจึงได้ออกมาดู (ทิ้งคุณแม่ไว้ประมาณ 3 นาที) และนางพยาบาลท่านนั้นตอบกลับว่า “มีออกซิเจนไหลอยู่นะคะ” ทั้งๆที่ถุงออกซิเจนที่หน้ากากยังแบนแฟบ ซึ่งเห็นชัดว่าไม่มีออกซิเจนไหลอยู่ ตอนนี้คุณแม่บีบมือเราและน้องสาวสามี ตัวแข็ง ตาเหลือก และหมดสติไปทั้งๆที่ยังลืมตาค้างอยู่
 
ในช่วงเวลาขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่โกลาหลเป็นอย่างมาก พยาบาลท่านนั้นดูลนลานทำอะไรไม่ถูกเลย แล้วก็มีพยาบาลอีกท่านเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินมาแนะนำตัวว่าเป็น supervisor เนื่องจากเห็นว่าทางครอบครัวไม่พอใจกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จึงได้สอบถามเรื่องราวและรับเรื่องจดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นไว้ และแจ้งเราว่าจะให้ผู้บริหารของทางโรงพยาบาลติดต่อกลับมา
 
ขณะนั้นพยาบาลท่านเดิมยังคงเป็นผู้ดูแลคุณแม่อยู่ มีการนำเครื่องเอ็กซเรย์มาเอ็กซเรย์ปอดและมีการพ่นยาด้วย nebulizer ต่อ ขณะเดียวกันพยาบาลที่เป็น supervisor แจ้งให้พวกเราเข้าไปรอด้านในอาคารของโรงพยาบาล เนื่องจากจะนำคุณแม่ส่งไปยังแผนก I.C.U. 
 
พวกเรามายืนรอด้านในโรงพยาบาลแต่ยังพอมองเห็นการทำงานผ่านประตูกระจก และมีน้องสาวสามีที่ยังอยู่กับคุณแม่ตรงนั้น ระหว่างนั้นคุณแม่ยังพ่นยาด้วย nebulizer อยู่ แล้วจู่ๆ สายออกซิเจนหลุดออกจากหน้ากาก nebulizer ต่อหน้าพยาบาลท่านนั้น น้องสาวสามีจึงตะโกนบอกให้เสียบสายออกซิเจนกลับเข้าไป แต่พยาบาลท่านนั้นกลับเดินไปที่ถังออกซิเจนหลังเตียง จนน้องสาวต้องตะโกนบอกอีกรอบ พยาบาลถึงได้กลับมาเสียบสายออกซิเจนให้คุณแม่ 
 
ขอย้ำว่าตอนนี้คุณแม่ไม่มีสติแล้วนะคะตั้งแต่ตอนที่ท่านตาเหลือกไปก่อนหน้านี้ 

หลังจากนั้นคุณแม่ถูกส่งตัวไปยังแผนก I.C.U. เมื่อแพทย์ I.C.U. ได้ตรวจอาการคุณแม่ แพทย์แจ้งครอบครัวว่าปอดคุณแม่อาการค่อนข้างวิกฤตและแนะนำให้ทำการสอดท่อช่วยหายใจเพื่อช่วยชีวิตคุณแม่ ครอบครัวจึงคุยกันใหม่และตัดสินใจให้สอดท่อ

(ประมาณห้าทุ่ม) ขณะกำลังสอดท่อ คุณแม่หัวใจหยุดเต้น ทีมแพทย์ปั๊มหัวใจกลับมา ใช้เวลา 11 นาที ตอนนั้นสมองคุณแม่ยังมีการตอบสนองอยู่ 

ต่อมาประมานตีสองครึ่งคุณแม่หัวใจหยุดเต้นอีกครั้ง แพทย์ปั๊มหัวใจคุณแม่ครั้งนี้ใช้เวลาอีก 10 นาที หลังจากครั้งนี้คุณแม่ไม่ค่อยตอบสนองต่อการส่องม่านตาแล้ว

สุดท้ายหัวใจคุณแม่หยุดเต้นอีกทีตอนแปดโมงกว่าของเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า “ปอดอักเสบ”

ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีอาจารย์หมอท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลโรคทรวงอกบอกกับพวกเราว่า “ญาติจะรู้ดีที่สุดว่าผู้ป่วยอยู่ระยะไหนหรือใกล้จุดสุดท้ายของชีวิตเท่าใด เพราะญาติอยู่กับผู้ป่วยตลอดและรู้อาการผู้ป่วยเป็นอย่างดี” ... ในวันที่เราพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลที่เกิดเหตุ สิ่งที่พวกเราทุกคนรู้คือ วันนั้นไม่ใช่วันที่เราควรจะต้องเสียคุณแม่ไป และคุณแม่ไม่ควรจะต้องไปแบบนั้น

ทั้งนี้ ครอบครัวและคุณแม่รู้ดีอยู่แล้วว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาและคุณแม่ก็ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว พวกเราพยายามดูแลรักษาแบบประคับประคอง (ใครที่เคยผ่านจุดนี้อาจจะพอทราบว่าประเทศไทยค่อนข้างล้าหลังในเรื่องการรักษาแบบประคับประคอง Paliative Care มาก) พวกเราซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเตียงปรับไฟฟ้า เครื่องกำเนิดออกซิเจน ถังออกซิเจนสำรอง และอื่นๆ เพื่อให้คุณแม่ได้อยู่ที่บ้านและได้ใช้เวลากับพวกเรา ให้พวกเราได้ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด 

คุณแม่เคยบอกไว้ว่าท่านไม่ได้กลัวความตาย แต่ท่านกลัวความเจ็บปวดทรมานก่อนตาย พวกเราจึงพยายามทุกอย่างเพื่อที่จะให้ท่านได้ไปอย่างสงบ แต่สุดท้ายโรงพยาบาลดังกล่าวกลับทำให้ท่านต้องเจอกับความทรมานที่ท่านกลัวที่สุดก่อนที่ท่านจะจากไป...
 
***ทั้งนี้ขออภัยมาณ ที่นี้หากแท็กผิดห้อง เนื่องจากไม่เคยโพสต์ในพันทิปมาก่อนค่ะ***

ขอขอบคุณทุกความคิดเห็นค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่