ทำไมบางคนกินปุ๊บเดี๋ยวจะปวดอึปั๊บ! พาไปไขสงสัยพร้อมเปิดภาพตัวการสำคัญ
เพจดัง "Tensia" พาไขสงสัย เหตุใดบางคนกินปุ๊บ เดี๋ยวจะปวดอึปั๊บ! พร้อมเปิดภาพที่มา เจ้าตัวนี้แหละที่ทำต้องวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน
เคยสงสัยกันบ้างไหม? เหตุใดบางคนเมื่อจบมื้ออาหาร ถึงได้วิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายออกแทบจะทันที จนเป็นที่มาของคำว่า “ท่อตรง” แต่ในทางกลับกันบางคนกลับผ่านไปเป็นวันๆ กว่าจะอยากรู้สึกเอาของเสียออกกันแน่?
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ม.ค. แฟนเพจที่มักเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์อย่าง “Tensia” ได้ออกมาไขข้อสงสัยโดยระบุว่า นี่คือภาพผนังลำไส้ และเส้นสีเขียวๆ ในภาพคือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้บางคน “กินปุ๊บ เดี๋ยวจะปวดอึปั๊บ” ร่างแหสีเขียวทั้งหมดคือฝูงเซลล์ประสาทที่เรียงตัวซับซ้อนตลอดระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ระบบประสาทประจำลำไส้ (Enteric nervous system: ENS)
ระบบ ENS มีหน้าที่
-ทำให้ทางเดินอาหารทำงานได้ด้วยตัวมันเอง เช่น มีอะไรมายืดผนังก็จะบีบไล่ทันที (Peristalsis) หรือบีบคลุกเคล้า (กระเพาะ) หรือมีสัญญาณเคมีมาแตะปุ๊บ ก็ส่งสัญญาณไปสั่งให้ต่อมหลั่งสาร หรือหลั่งฮอร์โมนได้เลย
-ประสานกับสมองผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 (Vagus nerve): ทำให้ข้อมูลต่างๆ ส่งไปกลับสมองได้ รวมถึงการตอบสนองแบบรวดเร็วที่เรียกว่า Reflex
เรียกได้ว่าระบบ ENS ทำให้เหมือนระบบทางเดินอาหารแยกตัวเป็นเอกเทศจากที่อื่นเลย อยู่ได้ด้วยตัวมันเองระดับนึง หดตัวได้เอง ตอบสนองได้เอง และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบประสาทส่วนกลาง
หนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งนั่นคือ การเคลียร์ของเก่าออกเพื่อรับของใหม่เข้ามา ด้วยกลไกที่เรียกว่า Gastrocolic reflex ทันทีที่กินอาหารเข้ามา มันจะมาดึงยืดผนังกระเพาะ ทำให้ระบบ ENS ร่างแหสีเขียวในภาพโดนกระตุ้น ข้อมูลที่ว่า “อาหารมาแล้ว” ส่งไปถึงก้านสมอง ก้านสมองส่งกลับมาสั่งลำไส้ใหญ่ให้หดตัวแรงๆ เพื่อไล่อาหารไปถึงลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Mass movement)
บางคนก็ตอบสนองไม่ได้รุนแรงมาก หดก็ไม่แรง แต่บางก็หดแรงเกิน จนกินอาหารทีไร ก็หดจนกากอาหาร มากองที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายๆ จนปวดท้องถ่ายทุกที ยิ่งกินกาแฟยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีสาร Chlorogenic acid และ Melanordins ที่อาจทำให้ระบบ ENS ไวขึ้นไปอีกค่ะ “เส้นสีเขียวๆ ในภาพคือระบบประสาทประจำทางเดินอาหาร ใครทำงานไว จะทำให้กินอาหารแล้วลำไส้ใหญ่ถูกสั่งให้บีบแรงจนปวดท้องถ่ายนั่นเอง”
นอกจากนี้ ทางเพจยังระบุด้วยว่า ภาพดังกล่าวนั้นมาจากงานจาก paper ที่มีการย้อมพิเศษที่ทำให้ติดสีกลุ่มเซลล์ประสาทที่ผนังลำไส้ได้ “อันที่จริงในภาพเป็นลำไส้ของหนูนะคะ แต่โครงสร้างค่อนข้างเหมือนกับมนุษย์เลย ซึ่งของลำไส้มนุษย์ หาภาพต่อเนื่องสวยๆ แบบนี้ไม่ค่อยมี”..
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @Tensia...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4290438/
เปิด10 อาการป่วยฉุกเฉิน ที่พบบ่อยที่สุด!
Healthy Clean ชวนมารู้จักกับ 10 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่พบบ่อยที่สุด!
อาการเจ็บป่วย และเหตุการณ์ฉุกเฉินทางสุขภาพสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา และทุกสถานที่ การรู้จักอาการฉุกเฉินที่พบบ่อย สามารถช่วยให้เรารับมือได้อย่างถูกต้อง และทันท่วงที
โดยในวันนี้ นพ.กิตติภูมิฐ์ กวินโชติไพศาล แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์บริการผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ (Emergency Room) โรงพยาบาลนวเวช ได้หยิบยกตัวอย่าง “นี่คือ 10 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่พบบ่อยที่สุดที่ทุกคนควรรู้จัก และรู้วิธีปฏิบัติเบื้องต้น” มาฝากคุณผู้อ่าน Healthy Clean มีทั้งหมดดังนี้
1.อาการหัวใจวาย (Heart Attack)
อาการหัวใจวายมักเริ่มต้นด้วยอาการจุกแน่นลิ้นปี หรือแสบแน่นหน้าอก รู้สึกแน่นบริเวณแขนซ้าย คอ หรือกราม บางคนอาจมีเหงื่อออกมาก หายใจติดขัด หรือรู้สึกคลื่นไส้ การรักษาเบื้องต้นคือ ให้ผู้ป่วยพักในท่านั่ง หรือนอนพัก และรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที เนื่องจากอาการหัวใจวายมีความคล้ายคลึงกับอาการของโรคอื่น เช่น โรคกรดไหลย้อน จึงควรให้แพทย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และทำการวินิจฉัยโดยเร็วเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
2.โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ หน้าเบี้ยว พูดลำบาก แขนขาอ่อนแรง หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้านใดด้านหนึ่ง ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เพราะโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่อันตราย แต่หากรู้เร็ว รักษาทันเวลา ก็สามารถช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
3.อาการช็อก (Shock)
ภาวะช็อกเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถไหลเวียนเลือดได้เพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง อาการที่พบบ่อยคือหน้าซีด เหงื่อออกมาก ชีพจรเบา เร็ว และอาจถึงขั้นหมดสติ การรักษาเบื้องต้น คือให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกขาขึ้น และติดต่อแพทย์ทันที เพื่อคัดกรองและให้สารน้ำทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไป อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อร่วมด้วย
4.อาการสำลัก (Choking)
อาการสำลักเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้นโดยอาหารหรือวัตถุ ทำให้หายใจไม่ออก โดยมีสัญญาณ เช่น การไอแรง หน้าตาแดง และบางครั้งอาจมีอาการเสียงหอบเหนื่อยได้
อาการสำลักมี 2 ประเภท
อุดตันทั้งหมด-ผู้ป่วยจะไม่สามารถออกเสียงได้ เพราะทางเดินหายใจถูกปิดสนิท อุดตันบางส่วน-ผู้ป่วยอาจมีเสียงหอบเหนื่อย และยังพอออกเสียงได้บ้าง
หากผู้ป่วยอยู่ในภาวะวัตถุอุดตันหลอดลม ควรช่วยเหลือ หรือใช้วิธี Heimlich maneuver โดยการกดแรง ๆ ที่ลิ้นปี่ (ส่วนบนของกระบังลม) เพื่อดันสิ่งที่ติดออกจากทางเดินหายใจ และหากอาการยังไม่ดีขึ้นหรืออยู่ในภาวะอันตราย ควรรีบโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที
5.บาดเจ็บจากการหกล้ม (Falls and Injuries)
การหกล้มอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้หลากหลาย ตั้งแต่ฟกช้ำ กระดูกหัก จนถึงอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หากผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือมีอาการปวดรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการขยับตัว และรีบติดต่อแพทย์เพื่อประเมินอาการ ในกรณีที่การหกล้มมีความรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดเลือดคั่งในสมอง หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียน หรือมีเลือดออกที่หู, จมูก ภายหลังการหกล้ม ควรรีบพบแพทย์ทันที
6.ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง (Severe Dehydration)
ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงมักเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำมาก เช่น จากการออกกำลังกายหนัก อากาศร้อนจัด หรือการเจ็บป่วยที่ทำให้สูญเสียน้ำ เช่น อาเจียนหรือท้องเสีย อาการของภาวะนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ ปากแห้ง เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยและเป็นสีเข้ม หรือไม่ปัสสาวะเลย
การรักษาภาวะนี้อาจเริ่มจากการดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไปแต่ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงจนไม่สามารถดื่มน้ำเองได้ หรือมีอาการรุนแรง จำเป็นต้องให้สารน้ำทดแทนแร่ธาตุต่างๆ ทางหลอดเลือดดำ เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
7.แพ้อาหารหรือยารุนแรง (Anaphylaxis)
อาการแพ้รุนแรง หรือแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานอาหาร ยา หรือสารที่แพ้ อาการที่พบบ่อยคือ หายใจติดขัด ผื่นขึ้น ตาบวม ปากบวม หรืออาจจะมีอาการท้องเสีย อาเจียน, ได้ยินเสียงวี้ดที่ปอดขณะหายใจ, วูบหมดสติ หากพบอาการดังกล่าวควรใช้ยา Epinephrine หรือยาแก้แพ้ฉุกเฉิน และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
8.บาดแผลฉกรรจ์ (Severe Cuts or Lacerations)
บาดแผลลึกที่มีเลือดออกไม่หยุดหรือบาดแผลขนาดใหญ่ ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์โดยเร็ว การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สำคัญ คือการกดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซเพื่อช่วยหยุดเลือด และรีบนำตัวผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล ในกรณีที่เลือดไหลออกมาก การปฐมพยาบาลด้วยวิธี ขันชะเนาะ (Tourniquet) อาจช่วยลดการไหลของเลือดได้โดยห้ามปลดขันเฉนาะจนกว่าผู้บาดเจ็บจะถึงโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการรักษาต่อ
9.ไฟไหม้หรือสารเคมีโดนผิวหนัง (Burns or Chemical Burns)
การถูกไฟไหม้หรือสารเคมีสัมผัสผิวหนัง สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงได้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับแผลไฟไหม้ คือการล้างบริเวณที่ถูกไฟไหม้ด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง ควรปิดแผลด้วยผ้าสะอาด และรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นกรณีของสารเคมีโดนผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากทันที หากสารเคมีเข้าสู่ปากหรือกลืนกิน ไม่ควรกระตุ้นให้อาเจียน เนื่องจากอาจทำให้สารเคมีกลับมาทำอันตรายได้อีก ควรรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
10.อาการชัก (Seizures)
อาการชักคือการที่ร่างกายมีการเกร็งและสั่นอย่างรุนแรง ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคลมชัก การบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือการขาดน้ำ เมื่อผู้ป่วยมีอาการชัก ควรจัดท่าให้นอนตะแคง เพื่อป้องกันการสำลัก ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่วัตถุใด ๆ เข้าปาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดเจ็บเพิ่มเติม และไม่ช่วยป้องกันการกัดลิ้นตามที่หลายคนเข้าใจผิด ควรติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลจากผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะทางโดยเร็วที่สุด
“อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินเหล่านี้สามารถพบได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน การรู้จักวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น และรีบขอความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างทันท่วงที จะช่วยลดความรุนแรงของอาการ และเพิ่มโอกาสในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ” นพ.กิตติภูมิฐ์ กล่าวทิ้งท้าย.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/articles/4235944/
ทำไมบางคนกินปุ๊บเดี๋ยวจะปวดอึปั๊บ และ เปิด10 อาการป่วยฉุกเฉิน ที่พบบ่อยที่สุด
เพจดัง "Tensia" พาไขสงสัย เหตุใดบางคนกินปุ๊บ เดี๋ยวจะปวดอึปั๊บ! พร้อมเปิดภาพที่มา เจ้าตัวนี้แหละที่ทำต้องวิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน
เคยสงสัยกันบ้างไหม? เหตุใดบางคนเมื่อจบมื้ออาหาร ถึงได้วิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายออกแทบจะทันที จนเป็นที่มาของคำว่า “ท่อตรง” แต่ในทางกลับกันบางคนกลับผ่านไปเป็นวันๆ กว่าจะอยากรู้สึกเอาของเสียออกกันแน่?
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ม.ค. แฟนเพจที่มักเผยแพร่ความรู้ทางการแพทย์อย่าง “Tensia” ได้ออกมาไขข้อสงสัยโดยระบุว่า นี่คือภาพผนังลำไส้ และเส้นสีเขียวๆ ในภาพคือหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้บางคน “กินปุ๊บ เดี๋ยวจะปวดอึปั๊บ” ร่างแหสีเขียวทั้งหมดคือฝูงเซลล์ประสาทที่เรียงตัวซับซ้อนตลอดระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ระบบประสาทประจำลำไส้ (Enteric nervous system: ENS)
ระบบ ENS มีหน้าที่
-ทำให้ทางเดินอาหารทำงานได้ด้วยตัวมันเอง เช่น มีอะไรมายืดผนังก็จะบีบไล่ทันที (Peristalsis) หรือบีบคลุกเคล้า (กระเพาะ) หรือมีสัญญาณเคมีมาแตะปุ๊บ ก็ส่งสัญญาณไปสั่งให้ต่อมหลั่งสาร หรือหลั่งฮอร์โมนได้เลย
-ประสานกับสมองผ่านเส้นประสาทสมองคู่ที่ 10 (Vagus nerve): ทำให้ข้อมูลต่างๆ ส่งไปกลับสมองได้ รวมถึงการตอบสนองแบบรวดเร็วที่เรียกว่า Reflex
เรียกได้ว่าระบบ ENS ทำให้เหมือนระบบทางเดินอาหารแยกตัวเป็นเอกเทศจากที่อื่นเลย อยู่ได้ด้วยตัวมันเองระดับนึง หดตัวได้เอง ตอบสนองได้เอง และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับระบบประสาทส่วนกลาง
หนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญอย่างหนึ่งนั่นคือ การเคลียร์ของเก่าออกเพื่อรับของใหม่เข้ามา ด้วยกลไกที่เรียกว่า Gastrocolic reflex ทันทีที่กินอาหารเข้ามา มันจะมาดึงยืดผนังกระเพาะ ทำให้ระบบ ENS ร่างแหสีเขียวในภาพโดนกระตุ้น ข้อมูลที่ว่า “อาหารมาแล้ว” ส่งไปถึงก้านสมอง ก้านสมองส่งกลับมาสั่งลำไส้ใหญ่ให้หดตัวแรงๆ เพื่อไล่อาหารไปถึงลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย (Mass movement)
บางคนก็ตอบสนองไม่ได้รุนแรงมาก หดก็ไม่แรง แต่บางก็หดแรงเกิน จนกินอาหารทีไร ก็หดจนกากอาหาร มากองที่ลำไส้ใหญ่ส่วนปลายๆ จนปวดท้องถ่ายทุกที ยิ่งกินกาแฟยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมีสาร Chlorogenic acid และ Melanordins ที่อาจทำให้ระบบ ENS ไวขึ้นไปอีกค่ะ “เส้นสีเขียวๆ ในภาพคือระบบประสาทประจำทางเดินอาหาร ใครทำงานไว จะทำให้กินอาหารแล้วลำไส้ใหญ่ถูกสั่งให้บีบแรงจนปวดท้องถ่ายนั่นเอง”
นอกจากนี้ ทางเพจยังระบุด้วยว่า ภาพดังกล่าวนั้นมาจากงานจาก paper ที่มีการย้อมพิเศษที่ทำให้ติดสีกลุ่มเซลล์ประสาทที่ผนังลำไส้ได้ “อันที่จริงในภาพเป็นลำไส้ของหนูนะคะ แต่โครงสร้างค่อนข้างเหมือนกับมนุษย์เลย ซึ่งของลำไส้มนุษย์ หาภาพต่อเนื่องสวยๆ แบบนี้ไม่ค่อยมี”..
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @Tensia...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4290438/
เปิด10 อาการป่วยฉุกเฉิน ที่พบบ่อยที่สุด!
Healthy Clean ชวนมารู้จักกับ 10 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่พบบ่อยที่สุด!
อาการเจ็บป่วย และเหตุการณ์ฉุกเฉินทางสุขภาพสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเวลา และทุกสถานที่ การรู้จักอาการฉุกเฉินที่พบบ่อย สามารถช่วยให้เรารับมือได้อย่างถูกต้อง และทันท่วงที
โดยในวันนี้ นพ.กิตติภูมิฐ์ กวินโชติไพศาล แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ศูนย์บริการผู้ป่วยฉุกเฉินและอุบัติเหตุ (Emergency Room) โรงพยาบาลนวเวช ได้หยิบยกตัวอย่าง “นี่คือ 10 อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่พบบ่อยที่สุดที่ทุกคนควรรู้จัก และรู้วิธีปฏิบัติเบื้องต้น” มาฝากคุณผู้อ่าน Healthy Clean มีทั้งหมดดังนี้
1.อาการหัวใจวาย (Heart Attack)
อาการหัวใจวายมักเริ่มต้นด้วยอาการจุกแน่นลิ้นปี หรือแสบแน่นหน้าอก รู้สึกแน่นบริเวณแขนซ้าย คอ หรือกราม บางคนอาจมีเหงื่อออกมาก หายใจติดขัด หรือรู้สึกคลื่นไส้ การรักษาเบื้องต้นคือ ให้ผู้ป่วยพักในท่านั่ง หรือนอนพัก และรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที เนื่องจากอาการหัวใจวายมีความคล้ายคลึงกับอาการของโรคอื่น เช่น โรคกรดไหลย้อน จึงควรให้แพทย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และทำการวินิจฉัยโดยเร็วเพื่อการรักษาที่เหมาะสม
2.โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
อาการของโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ หน้าเบี้ยว พูดลำบาก แขนขาอ่อนแรง หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้านใดด้านหนึ่ง ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที เพราะโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่อันตราย แต่หากรู้เร็ว รักษาทันเวลา ก็สามารถช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
3.อาการช็อก (Shock)
ภาวะช็อกเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายไม่สามารถไหลเวียนเลือดได้เพียงพอ ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง อาการที่พบบ่อยคือหน้าซีด เหงื่อออกมาก ชีพจรเบา เร็ว และอาจถึงขั้นหมดสติ การรักษาเบื้องต้น คือให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกขาขึ้น และติดต่อแพทย์ทันที เพื่อคัดกรองและให้สารน้ำทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไป อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาภาวะแทรกซ้อน หรือการติดเชื้อร่วมด้วย
4.อาการสำลัก (Choking)
อาการสำลักเกิดขึ้นเมื่อทางเดินหายใจถูกปิดกั้นโดยอาหารหรือวัตถุ ทำให้หายใจไม่ออก โดยมีสัญญาณ เช่น การไอแรง หน้าตาแดง และบางครั้งอาจมีอาการเสียงหอบเหนื่อยได้
อาการสำลักมี 2 ประเภท
อุดตันทั้งหมด-ผู้ป่วยจะไม่สามารถออกเสียงได้ เพราะทางเดินหายใจถูกปิดสนิท อุดตันบางส่วน-ผู้ป่วยอาจมีเสียงหอบเหนื่อย และยังพอออกเสียงได้บ้าง
หากผู้ป่วยอยู่ในภาวะวัตถุอุดตันหลอดลม ควรช่วยเหลือ หรือใช้วิธี Heimlich maneuver โดยการกดแรง ๆ ที่ลิ้นปี่ (ส่วนบนของกระบังลม) เพื่อดันสิ่งที่ติดออกจากทางเดินหายใจ และหากอาการยังไม่ดีขึ้นหรืออยู่ในภาวะอันตราย ควรรีบโทรแจ้งหน่วยแพทย์ฉุกเฉินทันที
5.บาดเจ็บจากการหกล้ม (Falls and Injuries)
การหกล้มอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้หลากหลาย ตั้งแต่ฟกช้ำ กระดูกหัก จนถึงอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หากผู้ป่วยไม่สามารถเคลื่อนไหว หรือมีอาการปวดรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการขยับตัว และรีบติดต่อแพทย์เพื่อประเมินอาการ ในกรณีที่การหกล้มมีความรุนแรง อาจส่งผลให้เกิดเลือดคั่งในสมอง หากผู้ป่วยมีอาการอาเจียน หรือมีเลือดออกที่หู, จมูก ภายหลังการหกล้ม ควรรีบพบแพทย์ทันที
6.ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง (Severe Dehydration)
ภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรงมักเกิดจากการที่ร่างกายสูญเสียน้ำมาก เช่น จากการออกกำลังกายหนัก อากาศร้อนจัด หรือการเจ็บป่วยที่ทำให้สูญเสียน้ำ เช่น อาเจียนหรือท้องเสีย อาการของภาวะนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ ปากแห้ง เวียนศีรษะ หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะน้อยและเป็นสีเข้ม หรือไม่ปัสสาวะเลย
การรักษาภาวะนี้อาจเริ่มจากการดื่มน้ำเกลือแร่ เพื่อทดแทนแร่ธาตุที่สูญเสียไปแต่ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำอย่างรุนแรงจนไม่สามารถดื่มน้ำเองได้ หรือมีอาการรุนแรง จำเป็นต้องให้สารน้ำทดแทนแร่ธาตุต่างๆ ทางหลอดเลือดดำ เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
7.แพ้อาหารหรือยารุนแรง (Anaphylaxis)
อาการแพ้รุนแรง หรือแอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) อาจเกิดขึ้นได้จากการรับประทานอาหาร ยา หรือสารที่แพ้ อาการที่พบบ่อยคือ หายใจติดขัด ผื่นขึ้น ตาบวม ปากบวม หรืออาจจะมีอาการท้องเสีย อาเจียน, ได้ยินเสียงวี้ดที่ปอดขณะหายใจ, วูบหมดสติ หากพบอาการดังกล่าวควรใช้ยา Epinephrine หรือยาแก้แพ้ฉุกเฉิน และรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
8.บาดแผลฉกรรจ์ (Severe Cuts or Lacerations)
บาดแผลลึกที่มีเลือดออกไม่หยุดหรือบาดแผลขนาดใหญ่ ควรได้รับการรักษาโดยแพทย์โดยเร็ว การปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่สำคัญ คือการกดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อซเพื่อช่วยหยุดเลือด และรีบนำตัวผู้บาดเจ็บไปโรงพยาบาล ในกรณีที่เลือดไหลออกมาก การปฐมพยาบาลด้วยวิธี ขันชะเนาะ (Tourniquet) อาจช่วยลดการไหลของเลือดได้โดยห้ามปลดขันเฉนาะจนกว่าผู้บาดเจ็บจะถึงโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ดำเนินการรักษาต่อ
9.ไฟไหม้หรือสารเคมีโดนผิวหนัง (Burns or Chemical Burns)
การถูกไฟไหม้หรือสารเคมีสัมผัสผิวหนัง สามารถทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงได้ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับแผลไฟไหม้ คือการล้างบริเวณที่ถูกไฟไหม้ด้วยน้ำอุณหภูมิห้อง ควรปิดแผลด้วยผ้าสะอาด และรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว หากเป็นกรณีของสารเคมีโดนผิวหนัง ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสสารเคมีด้วยน้ำสะอาดในปริมาณมากทันที หากสารเคมีเข้าสู่ปากหรือกลืนกิน ไม่ควรกระตุ้นให้อาเจียน เนื่องจากอาจทำให้สารเคมีกลับมาทำอันตรายได้อีก ควรรีบติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
10.อาการชัก (Seizures)
อาการชักคือการที่ร่างกายมีการเกร็งและสั่นอย่างรุนแรง ซึ่งสามารถเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น โรคลมชัก การบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือการขาดน้ำ เมื่อผู้ป่วยมีอาการชัก ควรจัดท่าให้นอนตะแคง เพื่อป้องกันการสำลัก ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใส่วัตถุใด ๆ เข้าปาก เนื่องจากอาจทำให้เกิดบาดเจ็บเพิ่มเติม และไม่ช่วยป้องกันการกัดลิ้นตามที่หลายคนเข้าใจผิด ควรติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลจากผู้ที่มีความชำนาญเฉพาะทางโดยเร็วที่สุด
“อาการเจ็บป่วยฉุกเฉินเหล่านี้สามารถพบได้บ่อย และสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน การรู้จักวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น และรีบขอความช่วยเหลือทางการแพทย์อย่างทันท่วงที จะช่วยลดความรุนแรงของอาการ และเพิ่มโอกาสในการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ” นพ.กิตติภูมิฐ์ กล่าวทิ้งท้าย.....
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/articles/4235944/