อาการท้องอืดท้องเฟ้อเป็นเรื่องที่หลายคนเจอในชีวิตประจำวัน แต่บางครั้งมันอาจซ่อนความผิดปกติไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกี่ยวข้องกับโรคลำไส้ เช่น ลำไส้แปรปรวน (IBS) หรือแม้แต่มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งการสังเกตอาการและวินิจฉัยอย่างรวดเร็วสามารถช่วยให้รักษาได้ทันเวลา
สาเหตุหลักของอาการท้องอืดท้องเฟ้อ
แก๊สในลำไส้เกิดขึ้นจากสองปัจจัยสำคัญ
1.การกลืนอากาศ: เกิดจากการเคี้ยวหมากฝรั่งหรือกินอาหารที่มีสารให้ความหวานเทียม
2.การย่อยอาหาร: โดยเฉพาะน้ำตาล แป้ง และเส้นใยอาหารที่สร้างแก๊สขณะย่อย
โดยปกติ ร่างกายจะกำจัดแก๊สเหล่านี้ผ่านการเรอหรือผายลม ซึ่งเป็นเรื่องปกติหากเกิดวันละ 14-23 ครั้ง แต่ในบางกรณี อาการท้องอืดเฟ้ออาจเกิดจากลำไส้ไวต่อแก๊สมากขึ้น เช่น ในคนที่มีโรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
เมื่อท้องอืดเฟ้ออาจบอกถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่
อาการท้องอืดเฟ้อบางครั้งเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่ก้อนมะเร็งทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจขวางทางของแก๊สและอุจจาระ ทำให้เกิดอาการดังนี้
-ท้องอืดรุนแรง
-ปวดมวนท้อง
-การระบายแก๊สลดลงจนผิดสังเกต
เมื่อก้อนมะเร็งทำให้เกิดการอุดตันบางส่วน อุจจาระอาจสะสมจนเกิดการอุดตันชั่วคราว ทำให้รู้สึกอึดอัดและมีอาการท้องอืดซ้ำ ๆ
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
หากอาการท้องอืดเฟ้อเรื้อรังและมีอาการร่วมดังนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที:
-อุจจาระมีเลือดปน
-น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
-ท้องผูกหรือท้องเสียที่เป็นต่อเนื่องนานเกิน 2-3 วัน
-ปวดมวนท้องรุนแรง
-ภาวะลำไส้อุดตันอาจเป็นเหตุฉุกเฉิน หากปล่อยไว้ อาจทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงลำไส้ได้ ส่งผลต่อชีวิต
การวินิจฉัยและรักษา
แพทย์สามารถตรวจหาการอุดตันในลำไส้ใหญ่ได้โดยใช้:
-การเอกซเรย์ช่องท้อง
-การตรวจสวนแป้ง (Barium enema)
ในบางกรณี อาจต้องใช้การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
อาการอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
แม้ท้องอืดเฟ้อจะเป็นอาการธรรมดา แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรตรวจให้แน่ใจ:
-รู้สึกอยากขับถ่ายตลอดเวลาแม้ไม่มีอะไร
-การขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
-อุจจาระมีสีเข้ม หรือมีก้อนเลือดปน
แม้คนส่วนใหญ่ที่มีอาการท้องอืดเฟ้อจะไม่ใช่มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่การใส่ใจสุขภาพและสังเกตอาการของตัวเองคือสิ่งสำคัญ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
อ่านเพิ่มเติม ที่
HDcare Blog
ท้องอืดเรื่องรัง อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ วิธีสังเกตอาการ
1.การกลืนอากาศ: เกิดจากการเคี้ยวหมากฝรั่งหรือกินอาหารที่มีสารให้ความหวานเทียม
2.การย่อยอาหาร: โดยเฉพาะน้ำตาล แป้ง และเส้นใยอาหารที่สร้างแก๊สขณะย่อย
โดยปกติ ร่างกายจะกำจัดแก๊สเหล่านี้ผ่านการเรอหรือผายลม ซึ่งเป็นเรื่องปกติหากเกิดวันละ 14-23 ครั้ง แต่ในบางกรณี อาการท้องอืดเฟ้ออาจเกิดจากลำไส้ไวต่อแก๊สมากขึ้น เช่น ในคนที่มีโรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
เมื่อท้องอืดเฟ้ออาจบอกถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่
อาการท้องอืดเฟ้อบางครั้งเป็นสัญญาณของมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยเฉพาะในกรณีที่ก้อนมะเร็งทำให้เกิดการอุดตันในลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจขวางทางของแก๊สและอุจจาระ ทำให้เกิดอาการดังนี้
-ท้องอืดรุนแรง
-ปวดมวนท้อง
-การระบายแก๊สลดลงจนผิดสังเกต
เมื่อก้อนมะเร็งทำให้เกิดการอุดตันบางส่วน อุจจาระอาจสะสมจนเกิดการอุดตันชั่วคราว ทำให้รู้สึกอึดอัดและมีอาการท้องอืดซ้ำ ๆ
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
หากอาการท้องอืดเฟ้อเรื้อรังและมีอาการร่วมดังนี้ ควรปรึกษาแพทย์ทันที:
-อุจจาระมีเลือดปน
-น้ำหนักลดโดยไม่ได้ตั้งใจ
-ท้องผูกหรือท้องเสียที่เป็นต่อเนื่องนานเกิน 2-3 วัน
-ปวดมวนท้องรุนแรง
-ภาวะลำไส้อุดตันอาจเป็นเหตุฉุกเฉิน หากปล่อยไว้ อาจทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงลำไส้ได้ ส่งผลต่อชีวิต
การวินิจฉัยและรักษา
แพทย์สามารถตรวจหาการอุดตันในลำไส้ใหญ่ได้โดยใช้:
-การเอกซเรย์ช่องท้อง
-การตรวจสวนแป้ง (Barium enema)
ในบางกรณี อาจต้องใช้การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
อาการอื่นที่อาจเกี่ยวข้องกับมะเร็งลำไส้ใหญ่
แม้ท้องอืดเฟ้อจะเป็นอาการธรรมดา แต่หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรตรวจให้แน่ใจ:
-รู้สึกอยากขับถ่ายตลอดเวลาแม้ไม่มีอะไร
-การขับถ่ายเปลี่ยนไป เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
-อุจจาระมีสีเข้ม หรือมีก้อนเลือดปน
แม้คนส่วนใหญ่ที่มีอาการท้องอืดเฟ้อจะไม่ใช่มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่การใส่ใจสุขภาพและสังเกตอาการของตัวเองคือสิ่งสำคัญ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
อ่านเพิ่มเติม ที่ HDcare Blog