- ระหว่างดูในหัวนึกภาพเรื่อง Perfect Days (2023) ที่ตาลุง Koji แสดงอยู่ตลอดตรงที่ภาพลักษณ์เบื้องหน้าเป็นชายสูงวัยใช้ชีวิตอยู่ห้องเช่าใจกลางเมืองคนเดียวในวัยเกษียณอย่างเรียบง่ายคล้ายกันแต่ถ้าจะทำหน้า Happy ไปขัดส้วมไปเหมือนเรื่องนั้นคงทำไม่ได้สำหรับเรื่องนี้ เพราะนอกจากลุงไม่ใช่คนดีในสายตาสังคมแล้วสิ่งแรกที่ต้องคิดหลังจากถูกปล่อยตัวคือ หางานทำ และ ปรับตัวกับโลกภายนอกที่ก้าวไปไกลเกินกว่าที่เคยสัมผัสโดยมีนายคอยสังเกตพฤติกรรมว่าทำตัวอยู่ในร่องในรอยมั้ย ? หรือ แอบไปห้าวตีนใส่ใครหรือเปล่า ? ซึ่งเป็นคำถามที่กูต้องหาว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อจากนี้โดยที่กูจะต้องพิสูจน์ให้เพื่อนเห็นว่ากูเป็นคนใหม่และกูจะไม่กลับไปเข้าในสถานที่ที่ได้พรากโอกาสและอิสรภาพไปหลาย 10 ปีอีกแล้ว
- ตัวหนังเดินตามสไตล์หนังญี่ปุ่นที่เห็นจนชินตา คือ อารมณ์จะไหลไปข้างหน้าแต่ตาเหล่มองข้างทางเพื่อสำรวจ Details ที่ซ่อนอยู่ในนั้นจึงไม่โดดสุดไปทางใดทางหนึ่ง ทั้งที่เนื้อเรื่องมันเอนไปทางสายเทาจริงจังซึ่งเป็นจุดขายของแนวอาชญากรรมอยู่แล้วแต่การใช้บรรยากาศแวดล้อมปกคลุมช่วยดูสบายเป็นกันเองแต่มีจุดซ่อนเร้นที่จับสังเกตุ โดยเฉพาะตัวตาลุงที่มีประวัติเคยเป็นอดีตสมาชิกยากูซ่าที่อยู่วงการนอกระบบอยู่แล้ว มันเลยถูกสังคมตราหน้าแล้ว 1 ว่าเป็นคนยังไง ? ซึ่งความเป็นจริงมันก็เป็นแบบนี้ที่ทุกคนตัดสินกันก่อนเพราะเห็นแค่เปลือกทั้งที่จริงไม่มีใครจะดีและชั่วตลอดเวลาหรอก ทุกคนสามารถพลาดได้ต่อให้เป็นคนดี มันเลยทำให้สารที่สื่อมีความสมจริงที่สัมผัสและจับต้องได้ในชีวิตจริง ขณะเดียวกันก็ได้มีตัวละครอีกคนที่เป็นนักเขียนเข้ามามีบทร่วมเคียงกับตาลุงจากการว่าจ้างจาก บก.สาวที่เขาแอบชอบให้เขียนบทความเกี่ยวกับเขาตั้งแต่เกิดว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ทำไมถึงมาเป็นยากูซ่าแล้วโดนรวบเข้าเรือนจำโดยใช้ภาพถ่ายเก่า ๆ ผสมถ่าย Scene ย้อนวัยแต่ละช่วงเหมือนละครบ้านเราเป็น Footage ประกอบ ซึ่งให้ Feel หนังสารคดีเชิงอัตชีวประวัตินิด ๆ ที่ค่อย ๆ ซึมซับในตัวตนของตาลุงไปทีละนิด
- ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 6 นาทีเอาใจช่วยตาลุงตามว่าจะตั้งตัวได้เมื่อไหร่ ? สังคมจะยอมรับกันกี่โมง ? ซึ่งหลังจากออกจากเรือนจำจะเน้นไปที่การรับมือและปรับตัวของตาลุงที่มีต่อสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ไหนจะหาที่อยู่และหางานทำ ไหนจะต้องตอบคำถามฝ่าย HR ที่เป็นประตูหน้าด่านบริษัทด้วยการซักถามประวัติจนตาลุงอึกอักจะตอบเลยเกิดอาการหัวร้อนขึ้นต่อหน้าคนอื่นจนหมดสติล้มลงไปกับพื้นแล้วถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ไหนจะปัญหาอื่นอีก โดยมีหนุ่มนักเขียนคอยแวะเวียนมาเขียนบทความเป็นระยะจนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ ขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งกว่าจะเข้าที่เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร เพราะบางอย่างก็เกิดจากนิสัยของตาลุงด้วยที่มันเสี่ยงจะโดนรวบอีกรอบ อย่างเช่น เดินลงไปต่อว่าพวกวัยรุ่นที่อยู่ชั้นล่างโทษฐานส่งเสียงรบกวนระหว่างนอนหลับ หรือ ตอนเดินถนนเห็น 2 โจ๋ยืนไถตังวัยรุ่นอยู่ตรงหลบมุมแล้วมันอดใจไม่ไหว แต่การได้เห็นตาลุง Koji โชว์รอยสักหรือยืดเส้นยืดสาย Exercise ออกหมัดใส่เพื่อนเป็นอะไรที่ตื่นเต้นไม่เบาเหมือนกัน
- ช่วงท้ายชื่นชมว่าการเล่าเรียบนิ่งไปตามทางของมันสามารถกระชากใจผมให้เกิดอาการตกใจจนเผลอร้อง เอ้า ได้สำเร็จเมื่อผลออกมาใน way นี้ แม้ก่อนจะถึงจุดนั้นมีแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลาพลาง ๆ เพราะรู้สึกว่ามันเนิบเกินไปจนเกือบจะเลยจุดสำคัญไป ซึ่งที่จริงตัวหนังก็ได้เปิดปมให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้นแต่ไม่ได้นึกถึงตรงนั้น ถ้ามัวไปนั่งคาดการณ์ล่วงหน้าว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ? มันจะไปบั่นทอนไม่ให้ใจตนเองลงไป Joint เต็มที่กันเปล่า ๆ ความรู้สึกหลังจากดูจบนึกถึงเรื่อง Perfect Days (2023) (อีกครั้ง) ใน way ที่สมจริงและเป็นไปได้กว่าที่ในชีวิตจริงไม่ได้สวยงามเหมือนกับเรื่องนั้นสำหรับคนที่มีอดีตไม่โสภาอย่างตาลุง แค่การให้ใครสักคนยอมรับตัวตนหรือนิยามคำว่า ความสุข คืออะไรจริง ๆ ก็หากันยากลำบากชิหายในยุคนี้โดยเฉพาะในดินแดนคนดีย์ เอาแค่ว่าว่าวันนี้จะกินอะไรเพื่อไม่ให้ท้องหิวยังง่ายกว่าอีก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.136 Under The Open Sky (2020) : ลุงวัยหนุ่ม ขอตัวกลับใจ
- ระหว่างดูในหัวนึกภาพเรื่อง Perfect Days (2023) ที่ตาลุง Koji แสดงอยู่ตลอดตรงที่ภาพลักษณ์เบื้องหน้าเป็นชายสูงวัยใช้ชีวิตอยู่ห้องเช่าใจกลางเมืองคนเดียวในวัยเกษียณอย่างเรียบง่ายคล้ายกันแต่ถ้าจะทำหน้า Happy ไปขัดส้วมไปเหมือนเรื่องนั้นคงทำไม่ได้สำหรับเรื่องนี้ เพราะนอกจากลุงไม่ใช่คนดีในสายตาสังคมแล้วสิ่งแรกที่ต้องคิดหลังจากถูกปล่อยตัวคือ หางานทำ และ ปรับตัวกับโลกภายนอกที่ก้าวไปไกลเกินกว่าที่เคยสัมผัสโดยมีนายคอยสังเกตพฤติกรรมว่าทำตัวอยู่ในร่องในรอยมั้ย ? หรือ แอบไปห้าวตีนใส่ใครหรือเปล่า ? ซึ่งเป็นคำถามที่กูต้องหาว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรต่อจากนี้โดยที่กูจะต้องพิสูจน์ให้เพื่อนเห็นว่ากูเป็นคนใหม่และกูจะไม่กลับไปเข้าในสถานที่ที่ได้พรากโอกาสและอิสรภาพไปหลาย 10 ปีอีกแล้ว
- ตัวหนังเดินตามสไตล์หนังญี่ปุ่นที่เห็นจนชินตา คือ อารมณ์จะไหลไปข้างหน้าแต่ตาเหล่มองข้างทางเพื่อสำรวจ Details ที่ซ่อนอยู่ในนั้นจึงไม่โดดสุดไปทางใดทางหนึ่ง ทั้งที่เนื้อเรื่องมันเอนไปทางสายเทาจริงจังซึ่งเป็นจุดขายของแนวอาชญากรรมอยู่แล้วแต่การใช้บรรยากาศแวดล้อมปกคลุมช่วยดูสบายเป็นกันเองแต่มีจุดซ่อนเร้นที่จับสังเกตุ โดยเฉพาะตัวตาลุงที่มีประวัติเคยเป็นอดีตสมาชิกยากูซ่าที่อยู่วงการนอกระบบอยู่แล้ว มันเลยถูกสังคมตราหน้าแล้ว 1 ว่าเป็นคนยังไง ? ซึ่งความเป็นจริงมันก็เป็นแบบนี้ที่ทุกคนตัดสินกันก่อนเพราะเห็นแค่เปลือกทั้งที่จริงไม่มีใครจะดีและชั่วตลอดเวลาหรอก ทุกคนสามารถพลาดได้ต่อให้เป็นคนดี มันเลยทำให้สารที่สื่อมีความสมจริงที่สัมผัสและจับต้องได้ในชีวิตจริง ขณะเดียวกันก็ได้มีตัวละครอีกคนที่เป็นนักเขียนเข้ามามีบทร่วมเคียงกับตาลุงจากการว่าจ้างจาก บก.สาวที่เขาแอบชอบให้เขียนบทความเกี่ยวกับเขาตั้งแต่เกิดว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ทำไมถึงมาเป็นยากูซ่าแล้วโดนรวบเข้าเรือนจำโดยใช้ภาพถ่ายเก่า ๆ ผสมถ่าย Scene ย้อนวัยแต่ละช่วงเหมือนละครบ้านเราเป็น Footage ประกอบ ซึ่งให้ Feel หนังสารคดีเชิงอัตชีวประวัตินิด ๆ ที่ค่อย ๆ ซึมซับในตัวตนของตาลุงไปทีละนิด
- ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 6 นาทีเอาใจช่วยตาลุงตามว่าจะตั้งตัวได้เมื่อไหร่ ? สังคมจะยอมรับกันกี่โมง ? ซึ่งหลังจากออกจากเรือนจำจะเน้นไปที่การรับมือและปรับตัวของตาลุงที่มีต่อสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ไหนจะหาที่อยู่และหางานทำ ไหนจะต้องตอบคำถามฝ่าย HR ที่เป็นประตูหน้าด่านบริษัทด้วยการซักถามประวัติจนตาลุงอึกอักจะตอบเลยเกิดอาการหัวร้อนขึ้นต่อหน้าคนอื่นจนหมดสติล้มลงไปกับพื้นแล้วถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาล ไหนจะปัญหาอื่นอีก โดยมีหนุ่มนักเขียนคอยแวะเวียนมาเขียนบทความเป็นระยะจนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ค่อย ๆ ขยายตัวตามไปด้วย ซึ่งกว่าจะเข้าที่เล่นเอาเหนื่อยพอสมควร เพราะบางอย่างก็เกิดจากนิสัยของตาลุงด้วยที่มันเสี่ยงจะโดนรวบอีกรอบ อย่างเช่น เดินลงไปต่อว่าพวกวัยรุ่นที่อยู่ชั้นล่างโทษฐานส่งเสียงรบกวนระหว่างนอนหลับ หรือ ตอนเดินถนนเห็น 2 โจ๋ยืนไถตังวัยรุ่นอยู่ตรงหลบมุมแล้วมันอดใจไม่ไหว แต่การได้เห็นตาลุง Koji โชว์รอยสักหรือยืดเส้นยืดสาย Exercise ออกหมัดใส่เพื่อนเป็นอะไรที่ตื่นเต้นไม่เบาเหมือนกัน
- ช่วงท้ายชื่นชมว่าการเล่าเรียบนิ่งไปตามทางของมันสามารถกระชากใจผมให้เกิดอาการตกใจจนเผลอร้อง เอ้า ได้สำเร็จเมื่อผลออกมาใน way นี้ แม้ก่อนจะถึงจุดนั้นมีแวะไปทำอย่างอื่นฆ่าเวลาพลาง ๆ เพราะรู้สึกว่ามันเนิบเกินไปจนเกือบจะเลยจุดสำคัญไป ซึ่งที่จริงตัวหนังก็ได้เปิดปมให้เห็นตั้งแต่ช่วงต้นแต่ไม่ได้นึกถึงตรงนั้น ถ้ามัวไปนั่งคาดการณ์ล่วงหน้าว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร ? มันจะไปบั่นทอนไม่ให้ใจตนเองลงไป Joint เต็มที่กันเปล่า ๆ ความรู้สึกหลังจากดูจบนึกถึงเรื่อง Perfect Days (2023) (อีกครั้ง) ใน way ที่สมจริงและเป็นไปได้กว่าที่ในชีวิตจริงไม่ได้สวยงามเหมือนกับเรื่องนั้นสำหรับคนที่มีอดีตไม่โสภาอย่างตาลุง แค่การให้ใครสักคนยอมรับตัวตนหรือนิยามคำว่า ความสุข คืออะไรจริง ๆ ก็หากันยากลำบากชิหายในยุคนี้โดยเฉพาะในดินแดนคนดีย์ เอาแค่ว่าว่าวันนี้จะกินอะไรเพื่อไม่ให้ท้องหิวยังง่ายกว่าอีก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้