== Emilia Pérez (2024) ฉันเป็นฉันอย่างนี้.. สวรรค์คงไม่ปล่อยให้ฉันตาย.. ==



“หากชีวิตต้องลงสู่หุบเหว ก็ขอให้ฉัน ได้เป็นคนขุดหลุมนั้นด้วยตัวเอง”



ริต้า เธอเป็นทนายความฝีมือดีแห่งกรุงเม็กซิโกซิตี้ 
แต่ทำดียังไงก็เป็นได้แค่เงาให้กับเจ้านายให้สำนักงานทนายความธรรมดาแห่งนึง ไม่มีวันที่จะโตไปได้มากกว่านี้.. 
ริต้านั่งคิดถึงชีวิตต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรกับอายุที่มากขึ้นวัยเลข 3 กลางๆเช่นนี้ ..
จนกระทั่งวันนึงเธอได้รับการติดต่อจากเจ้าพ่อมาเฟียค้ายามากอิทธิพลอย่าง มานิตัซ .. 
เขาได้ยื่นข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธ และนั่นทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...



เอมิเลีย เปเรซ เป็นภาพยนตร์แนว  Musical Crime Drama เขียนบทและกำกับโดย Jacques Audiard
อิงจากบทโอเปร่าในชื่อเดียวกัน ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายของ Boris Razon ในปี 2018
นำแสดงโดยโซอี้ ซัลดาญา, คาร์ลา โซเฟีย กาสคอน, เซเลนา โกเมซ
เรื่องราวเกี่ยวกับผู้นำกลุ่มค้ายาที่ขอความช่วยเหลือจากทนายความสาว เพื่อให้ตนบรรลุถึงเป้าประสงค์บางอย่าง



ออกฉายก็ประสบความสำเร็จในทุกเวทีทั่วโลก โดยในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ครั้งที่ 77 
ได้รับเลือกให้เข้าแข่งขันชิงรางวัล Palme d'Or ได้รับรางวัล Jury Prize รวมถึงได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมรวมกัน (ทั้ง 3 คน) ... 
กวาดไปได้ 4 รางวัลในการประกาศล่าสุดของลูกโลกทองคำ (มิวสิคัลหรือตลก..สมทบหญิง..เพลงประกอบ และภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม) 
สมศักดิ์ศรีตัวเต็งบนเวทีออสการ์ที่กำลังจะมาถึง (1 ใน 15 เรื่องคู่แข่งของหลานม่า)



จากที่ผมดูตัวอย่างก่อน ในนั้นไม่ได้บอกถึงจุดสำคัญของหนัง ดังนั้นในรีวิวนี้ผมก็จะไม่บอกเช่นกัน 
คือเอาจริงๆ มันก็เลือกได้นะว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่ถ้าให้ตัวผมเลือก เลือกให้คนดูไปลุ้นเอาเองในหนังดีกว่า
ว่างานที่ทนายความริต้า ต้องรับผิดชอบครั้งใหญ่ที่มาเฟียมอบหมายให้คืองานอะไร 
บอกแค่ว่ามันใหญ่จริง และคาดไม่ถึง ไม่มีทางเดาได้อย่างแน่นอน



มีเอ่ยถึงประเทศไทยเราด้วยครับ คงไม่ได้เดินทางมาถ่ายทำหรอกน่าจะเป็นการเซ็ตฉากขึ้นมามากกว่า 
ส่วนนักแสดงในฉากจะมีคนไทยจริงๆร่วมด้วยหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่แน่ใจ 
เนื่องจากหน้าตา Extra กว่าร้อยชีวิตที่ผมเห็นในซีนนั้นต่างก็เป็นใบหน้าเอเชียที่คล้ายๆกัน อาจเป็นจีนก็ได้ 
แต่ยังไงผมก็ภูมิใจอยู่ดีนะ เพราะถือว่าเขาให้ความเชื่อมั่นเราในเรื่องนั้น (ไปชมเอาเอง) มากพอสมควร 
ถือว่าเป็น Soft power ที่บ้านเรามีชื่อเสียงอยู่แล้วในระดับโลกเชียวนะ ย้ำว่าเป็นเรื่องดี ไม่มีอะไรเสียหาย



โซอี้ ซัลดาญา (จาก Avatar) ในบทริต้าทนายสาววัยใกล้จะ 40 ที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรให้น่าภาคภูมิใจเลย 
และในห้วงเวลาที่ยากลำบาก เขาก็ได้พบกับมานิตัซ เส้นทางทุกอย่างจึงเหมือนถูกกรุยทางอย่างง่ายดาย 
ถือเป็นอีกครั้งซัลดาญา ได้บทที่ดีขนาดนี้ เพราะเธอได้โชว์สกิลในการแสดงทุกอย่าง ร้องเล่นเต้นแบบเต็มที่ 
สมศักดิ์ศรีที่คว้าสมทบหญิงยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำ (และอาจเลยไปถึงออสการ์อีกรางวัล)



ขณะที่บทนำของเรื่องอีกคนอย่าง Karla Sofía Gascón ก็ทำเอาผมทึ่งอย่างมาก 
เพราะผมเคยชมหนังที่เธอเคยแสดงมาก่อนหน้านี้ในเรื่อง Nosotros los Nobles (2013) 
หนังเม็กซิกันที่ผมเขียนรีวิวไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ลงสักที พอชมเรื่องนี้จบ มีข้อมูลที่ผมต้องรีบไป edit ทันที 
เพราะอะไรบางอย่างที่มันเหนือชั้นและคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง บอกได้แค่ว่านี่คือบทที่เกิดมาเพื่อเป็นของเธอเพียงแค่คนเดียวเท่านั้นจริงๆ



ขณะที่อีก 1 สาวที่ต้องเอ่ย ก็คือเซเลน่า โกเมซ ด้วยความที่ผมเห็นเธอมาตั้งแต่จุดเริ่มในวงการบันเทิง 
ทำให้ภาพจำของนักร้องใสๆ น่ารักๆ ยังติดตาในภาพจำผมไม่เคยหายไปไหน มาในเรื่องนี้เซเลน่า 
มาเป็นจิ๊กซอว์สุดท้ายที่เติมเต็มให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ 
แม้ว่าบทอาจจะไม่ได้มากเท่าสองคนแรก แต่ในทุกครั้งที่ปรากฎตัว เธอก็จัดการกับความรู้สึกคนดูได้ตลอด



ว่าด้วยเพลงอย่างที่บอกไว้ คือมากันแบบทันทีทันใดไม่ต้องมีทำนองอะไรเกริ่นหรือขึ้นก่อนให้คนดูรู้ แบบคุยๆกันอยู่ดีดีเป็นประโยคสนทนาธรรมดา ก็ร้องขึ้นมาเป็นเพลงได้เลย ผมชอบนะ เพลงทั้งหมดในหนังเรื่องนี้มีทั้งสิ้น 14 เพลง ผมลองตั้งชื่อสื่อถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นๆ ดังนี้
1. ก่อนขึ้นศาล (โซอี้)
2. ความในใจตน (โซอี้)
3. ถึงกรุงเทพฯ (โซอี้)
4. ปรึกษาแพทย์ (โซอี้)
5. ชีวิตเดิมที่เคยผ่านมา (คาร์ล่า)
6. พบกันอีกครั้ง (โซอี้-คาร์ล่า)
7. ในกรงทอง (เซเลน่า)
8. คิดถึงพ่อ (เด็ก)
9. คนที่หายไป (รวม)
10. งานเลี้ยง (โซอี้-คาร์ล่า) เพลงนี้ได้รางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมลูกโลกทองคำ
11. รักครั้งใหม่ (คาร์ล่า)
12. ชีวิตที่ฉันเลือกเอง (เซเลน่า)
13. เผยตัว (เซเลน่า-คาร์ล่า)
14. ลาจาก (รวม)



ลองร้อยเรียงชื่อเพลงมา ก็อาจจะเดาเนื้อหาทั้งหมดเลยก็เป็นไปได้นะครับ 
ส่วนตัวผมเป็นคนชอบสะสม cd มาก พวก soundtrack หนังถ้าผมชอบก็จะสั่งทางร้านให้หาแผ่นมาเก็บไว้ 
เรื่องนี้เป็น 1 ในนั้น ด้วยความที่โปสเตอร์หนังสวยด้วยล่ะ มันให้อารมณ์ Romeo + Juliet เวอร์ชั่นปี 1996 มาก 
ไม่รู้ทำไมผมถึงไปคิดถึงเรื่องนั้นได้



มันคือดราม่ามิวสิคัลที่เหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง จากเรื่องย่อสั้นๆ ก่อนดูแค่สามบรรทัด 
แต่พอถึงจุดเปลี่ยนสำคัญแค่เริ่มเรื่องไปได้ไม่เท่าไหร่ ทุกอย่างมันก็ดำเนินเรื่องไปอย่างรวดเร็วมาก 
ประกอบกับเพลงในหนังที่มาในรูปแบบที่นึกจะมาก็มาในทันแบบไม่ต้องมีอะไรเกริ่นให้มากความ ถือเป็นมิติใหม่ของภาพยนตร์เพลงจริงๆ



ข้อดีมี ข้อที่ผมขัดใจก็มีเช่นกัน คือไคลแม็กซ์สุดท้ายที่จะเคลียร์ปมต่างๆนั้น ผมว่ามันห้วนมากเกินไป 
คือแบบ เห้ย เหตุการณ์มันใหญ่มากนะ แต่บทจะเข้าใจก็ง่ายๆ กันแค่นั้นเองเหรอ 
ไม่มีคำถาม ไม่มีอะไรข้องใจหรือถามถึงเหตุผลอะไรกันสักนิดเลย คือมันง่ายมากเกินไป 
น่าจะขยี้อีกสักนิดมันจะช่วยให้เซเลน่าได้โชว์ซีนอารมณ์มากกว่านี้



Emilia Pérez เป็นหนังที่ทำให้เราเห็นถึงความรักอันหลากหลายในยุคปัจจุบัน 
ความเสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งรักนั้น การเห็นคนที่ตนรักมีความสุขแม้ว่าตนเองต้องเจ็บปวดมากเพียงใด 
ความรักที่มีให้แก่เพื่อนร่วมโลกที่กำลังประสบกับความยากลำบาก คนเรามักแทนความรักเป็นสัญลักษณ์รูปหัวใจ 
ขณะที่ปืนก็คือตัวแทนของอาชญากรรมและความรุนแรง ส่วนดอกไม้ที่ผลิบานก็เปรียบได้กับความบริสุทธิ์ในจิตใจของมนุษย์ 



สามสิ่งมาหลอมรวมกัน ดอกไม้.. หัวใจ และไกปืน... นี่คือสรุปนิยามทั้งหมดของตัวแทนจากฝรั่งเศสเรื่องนี้ได้ดีที่สุด  ..
และนี่คืออีก 1 ภาพยนตร์ที่ผมมั่นใจว่าจะเข้า 1 ใน 5 ของรางวัลสาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม 
เช่นเดียวกับ The Seed of the Sacred Fig ตัวแทนจากเยอรมัน ด้วยบทที่ยอดเยี่ยมพอๆกัน 
(ส่วนตัวผมเชียร์เรื่องนี้ เดี๋ยวจะเอามาลงให้อ่านกัน) ถือว่าปีนี้รางวัลออสการ์จะลุ้นกันสนุกแล้วต้องไปวัดกันถึงฎีกาสุดท้ายแน่นอน 

เพราะหนังมันฝังใจ

=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร 
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่