เผยเหตุผลทำไม “สลัดผัก”ไม่ควรกินมื้อเย็น แถมยังเสี่ยงโรคอีกด้วย
ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างที่คิด!เผยเหตุผลทำไม "สลัดผัก" ไม่ควรกินมื้อเย็น หลังหลายคนเข้าใจผิด เพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพ แถมยังทำร้ายร่างกาย และเสี่ยงต่อโรคอีกด้วย
สลัดเป็นอาหารที่หลายคนชอบมาก โดยเฉพาะสาวๆที่อยากจะลดหุ่น ลดน้ำหนัก และเชื่อว่าดีต่อสุขภาพเพราะเป็นผักทั้งนั้น แต่รู้หรือไม่ว่า สลัดและอาหารดิบอื่นๆ ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับมื้อเย็น และสงสัยหรือไม่ว่า เวลาไหนดีที่สุดในการทานสลัด อีกทั้งทำไมเราไม่ควรทานสลัดในช่วงเย็นหรือกลางคืน
4 เหตุผลที่เราไม่ควรทานสลัดตอนเย็นและกลางคืน
1.ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบ ต่อระบบย่อยอาหารและการนอนหลับ เนื่องจากสลัดที่ประกอบด้วยผักสดซึ่งมีไฟเบอร์สูง แม้ว่าจะดีต่อระบบลำไส้ แต่ระบบย่อยอาหารจะทำงานช้าลงในช่วงเย็น การกินผักสดในช่วงนี้อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก เกิดอาการแน่นท้องและไม่สบายตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ
2.นอกจากสลัดแล้ว อาหารดิบทุกชนิดก็ไม่เหมาะสำหรับมื้อเย็น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ
3. อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงของน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย เพราะสลัดบางชนิดมักมีส่วนผสมของผลไม้และซอส ซึ่งอาจเพิ่มปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสในร่างกาย ขณะที่ช่วงเย็นเป็นเวลาที่ร่างกายเคลื่อนไหวลดลง น้ำตาลในเลือดจึงมีความผันผวนง่ายขึ้นและอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนัก
4. แคลอรีไม่เพียงพอ สลัดมักมีแคลอรีต่ำ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการหิวตอนกลางคืน หรือกินมากเกินไปในมื้อเช้าของวันถัดไป “สลัดที่มีผักเป็นหลักอาจทำให้รู้สึกอิ่มชั่วคราว แต่จะหิวเร็วเพราะขาดโปรตีนและไขมันที่จำเป็นต่อการให้พลังงาน หากกินสลัดมื้อเย็นเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่การขาดสารอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค”
ส่วนอาหารที่เหมาะสมสำหรับมื้อเย็น คือ ควรรับประทาน ผักต้มสุกหรือผักนึ่ง: ย่อยง่ายกว่าและปลอดภัยต่อระบบย่อยอาหาร ให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น โปรตีนที่ย่อยง่าย: เช่น ปลา ไก่ หรือไข่ ช่วยให้พลังงานและไม่รบกวนระบบย่อยอาหาร ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ปรุงสุก: เช่น ข้าวกล้อง ควินัว หรือพาสต้าโฮลวีต ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น ซุปหรือแกงจืดเบาๆ: เช่น ซุปผักหรือแกงจืดไก่ ย่อยง่ายและให้สารอาหารที่ครบถ้วน และไม่ควรกินมื้อเย็นให้อิ่มเกินไป ควรกินเพียง 70-80% ของความอิ่ม หลีกเลี่ยงอาหารที่มันเยิ้มหรืออาหารดิบ และควรเว้นช่วงมื้อเย็นกับเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
ข้อมูลอ้างอิงจาก ดร.ชูเบิร์ต นักโภชนากรชื่อดังของ ออสเตรีย...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4270567/
โรคตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุเกิดจากอะไร น่ากลัวไหม
ตุ่มน้ำพอง โรคกวนใจที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เกิดจากอะไรรักษาได้ไหม
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “โรคตุ่มน้ำพอง” ว่า เป็นโรคในกลุ่มโรคผิวหนังเรื้อรัง ซึ่งมีหลายชนิด เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำงานผิดปกติ ทำให้ผิวหนังแยกตัวเป็นตุ่มน้ำใส ๆ พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง เกิดได้ทุกอายุ ชนิดที่พบบ่อยที่สุด คือ Bullous Pemphigoid มักเกิดในผู้ที่มีอายุ 50 – 60 ปีขึ้นไป
โรคตุ่มน้ำพอง ไม่ใช่โรคติดต่อไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม รักษาได้โดยการคุมอาการของโรคให้สงบ ไม่กำเริบขึ้นมาอีกในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งหากคุมได้ดี ก็จะทำให้โรคสงบอยู่ได้นานหลายปี
อาการของโรคตุ่มน้ำพอง
มีผื่นแดงและคันในระยะแรกเริ่ม
เกิดตุ่มน้ำขึ้นหลายขนาด ตามบริเวณต่าง ๆ บนร่างกาย บางโรคอาจมีแผลในปาก
หรือเยื่อบุอื่น ๆ
ถ้าตุ่มน้ำแตกจะมีอาการแสบ เป็นแผลถลอก
เมื่อหายแล้วจะทิ้งร่องรอยให้เห็นบนผิวหนัง
แนวทางการรักษา
แพทย์จะพิจารณาให้รับประทานยาประเภทสเตียรอยด์เป็นอันดับแรก เพื่อช่วยกดภูมิคุ้มกัน
เมื่ออาการดีขึ้น อาจนำวิธีการอื่น ๆ มาประกอบการรักษา เช่น รับประทานยาลดการอักเสบ การใช้ยาทาที่ผิวหนังในกรณีที่ตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นเฉพาะจุด
หากผู้ป่วยต้องใช้ยารักษาเบาหวาน ยาขับปัสสาวะ แพทย์อาจมีการเปลี่ยนกลุ่มยา เพื่อช่วยให้การรักษาดีขึ้น
โรคตุ่มน้ำพองเป็นโรคเรื้อรังที่คุมได้ โดยส่วนมากไม่ได้รุนแรงถึงแก่ชีวิต ...
สามารถติดตามต่อได้ที่ :
https://www.dailynews.co.th/news/4269713/
เหตุผลทำไม “สลัดผัก”ไม่ควรกินมื้อเย็น และ โรคตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุเกิดจากอะไร
ไม่ดีต่อสุขภาพอย่างที่คิด!เผยเหตุผลทำไม "สลัดผัก" ไม่ควรกินมื้อเย็น หลังหลายคนเข้าใจผิด เพราะเชื่อว่าดีต่อสุขภาพ แถมยังทำร้ายร่างกาย และเสี่ยงต่อโรคอีกด้วย
สลัดเป็นอาหารที่หลายคนชอบมาก โดยเฉพาะสาวๆที่อยากจะลดหุ่น ลดน้ำหนัก และเชื่อว่าดีต่อสุขภาพเพราะเป็นผักทั้งนั้น แต่รู้หรือไม่ว่า สลัดและอาหารดิบอื่นๆ ไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับมื้อเย็น และสงสัยหรือไม่ว่า เวลาไหนดีที่สุดในการทานสลัด อีกทั้งทำไมเราไม่ควรทานสลัดในช่วงเย็นหรือกลางคืน
4 เหตุผลที่เราไม่ควรทานสลัดตอนเย็นและกลางคืน
1.ทำให้ร่างกายได้รับผลกระทบ ต่อระบบย่อยอาหารและการนอนหลับ เนื่องจากสลัดที่ประกอบด้วยผักสดซึ่งมีไฟเบอร์สูง แม้ว่าจะดีต่อระบบลำไส้ แต่ระบบย่อยอาหารจะทำงานช้าลงในช่วงเย็น การกินผักสดในช่วงนี้อาจทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนัก เกิดอาการแน่นท้องและไม่สบายตัว ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับ
2.นอกจากสลัดแล้ว อาหารดิบทุกชนิดก็ไม่เหมาะสำหรับมื้อเย็น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีระบบย่อยอาหารอ่อนแอ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่เพิ่งฟื้นจากอาการป่วย ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ที่มีปัญหานอนไม่หลับ
3. อีกทั้งเพิ่มความเสี่ยงของน้ำตาลในเลือดสูงอีกด้วย เพราะสลัดบางชนิดมักมีส่วนผสมของผลไม้และซอส ซึ่งอาจเพิ่มปริมาณน้ำตาลฟรุกโตสในร่างกาย ขณะที่ช่วงเย็นเป็นเวลาที่ร่างกายเคลื่อนไหวลดลง น้ำตาลในเลือดจึงมีความผันผวนง่ายขึ้นและอาจนำไปสู่การเพิ่มน้ำหนัก
4. แคลอรีไม่เพียงพอ สลัดมักมีแคลอรีต่ำ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาจทำให้เกิดอาการหิวตอนกลางคืน หรือกินมากเกินไปในมื้อเช้าของวันถัดไป “สลัดที่มีผักเป็นหลักอาจทำให้รู้สึกอิ่มชั่วคราว แต่จะหิวเร็วเพราะขาดโปรตีนและไขมันที่จำเป็นต่อการให้พลังงาน หากกินสลัดมื้อเย็นเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่การขาดสารอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค”
ส่วนอาหารที่เหมาะสมสำหรับมื้อเย็น คือ ควรรับประทาน ผักต้มสุกหรือผักนึ่ง: ย่อยง่ายกว่าและปลอดภัยต่อระบบย่อยอาหาร ให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น โปรตีนที่ย่อยง่าย: เช่น ปลา ไก่ หรือไข่ ช่วยให้พลังงานและไม่รบกวนระบบย่อยอาหาร ธัญพืชเต็มเมล็ดที่ปรุงสุก: เช่น ข้าวกล้อง ควินัว หรือพาสต้าโฮลวีต ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น ซุปหรือแกงจืดเบาๆ: เช่น ซุปผักหรือแกงจืดไก่ ย่อยง่ายและให้สารอาหารที่ครบถ้วน และไม่ควรกินมื้อเย็นให้อิ่มเกินไป ควรกินเพียง 70-80% ของความอิ่ม หลีกเลี่ยงอาหารที่มันเยิ้มหรืออาหารดิบ และควรเว้นช่วงมื้อเย็นกับเวลานอนอย่างน้อย 3 ชั่วโมง
ข้อมูลอ้างอิงจาก ดร.ชูเบิร์ต นักโภชนากรชื่อดังของ ออสเตรีย...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4270567/
โรคตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นได้กับทุกคน สาเหตุเกิดจากอะไร น่ากลัวไหม
ตุ่มน้ำพอง โรคกวนใจที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เกิดจากอะไรรักษาได้ไหม
ศ.ดร.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ “โรคตุ่มน้ำพอง” ว่า เป็นโรคในกลุ่มโรคผิวหนังเรื้อรัง ซึ่งมีหลายชนิด เกิดจากภูมิต้านทานของร่างกายทำงานผิดปกติ ทำให้ผิวหนังแยกตัวเป็นตุ่มน้ำใส ๆ พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง เกิดได้ทุกอายุ ชนิดที่พบบ่อยที่สุด คือ Bullous Pemphigoid มักเกิดในผู้ที่มีอายุ 50 – 60 ปีขึ้นไป
โรคตุ่มน้ำพอง ไม่ใช่โรคติดต่อไม่ใช่โรคทางพันธุกรรม รักษาได้โดยการคุมอาการของโรคให้สงบ ไม่กำเริบขึ้นมาอีกในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งหากคุมได้ดี ก็จะทำให้โรคสงบอยู่ได้นานหลายปี
อาการของโรคตุ่มน้ำพอง
มีผื่นแดงและคันในระยะแรกเริ่ม
เกิดตุ่มน้ำขึ้นหลายขนาด ตามบริเวณต่าง ๆ บนร่างกาย บางโรคอาจมีแผลในปาก
หรือเยื่อบุอื่น ๆ
ถ้าตุ่มน้ำแตกจะมีอาการแสบ เป็นแผลถลอก
เมื่อหายแล้วจะทิ้งร่องรอยให้เห็นบนผิวหนัง
แนวทางการรักษา
แพทย์จะพิจารณาให้รับประทานยาประเภทสเตียรอยด์เป็นอันดับแรก เพื่อช่วยกดภูมิคุ้มกัน
เมื่ออาการดีขึ้น อาจนำวิธีการอื่น ๆ มาประกอบการรักษา เช่น รับประทานยาลดการอักเสบ การใช้ยาทาที่ผิวหนังในกรณีที่ตุ่มน้ำพองเกิดขึ้นเฉพาะจุด
หากผู้ป่วยต้องใช้ยารักษาเบาหวาน ยาขับปัสสาวะ แพทย์อาจมีการเปลี่ยนกลุ่มยา เพื่อช่วยให้การรักษาดีขึ้น
โรคตุ่มน้ำพองเป็นโรคเรื้อรังที่คุมได้ โดยส่วนมากไม่ได้รุนแรงถึงแก่ชีวิต ...
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.dailynews.co.th/news/4269713/