ต้องขอบอกก่อนว่าทุกสิ่งที่จะเล่าแชร์ให้มันเป็นปัจตังรู้ได้เฉพาะตน เกิดขึ้นกับตัวเอง และไม่ขอให้ใครมาเชื่อด้วยเช่นกัน เพราะแต่ละคนร้อยพ่อพันแม่ บุญนำพาวาสนาต่างกัน เพราะทุกคนเกิดมาตามบุญกรรมที่เคยก่อ โปรดใช้วิจรณาญาณในการอ่าน คิดว่ามันคือนิทานเรื่องหนึ่งละกัน
เรื่องที่จะเล่าเหตุการและประสบการณ์บวกกับอาการที่เกิดกับ เราเกิดขึ้นเมื่อตอนไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก มันมีอยู่จริงนะ "คำที่ว่าถูกเหวี่ยงเข้าทางธรรมหน่ะ"แล้วใครล่ะเหวี่ยงเรามีคำตอบให้ เพราะก่อนหน้านั้นใช้ชีวิต ปกติ ปกติที่ว่ากินดื่มเที่ยวสังสรรค์ เฮฮา ปาร์ตี้สนุกกับเพื่อนฝูง กลับบ้าน หลับตื่นมาทำงาน เลิกงาน ก็ไปเที่ยวกลางคืน (ตอนนั้นโสด ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่) จนวันที่เรามีคู่ บวกกับมีปัญหาแทรกเข้า ออกจากงาน ย้ายที่อยู่ และเพื่อนฝูงน้ำปัญหาเข้ามาให้ เลยตัดสินใจออกจากที่อยู่เดิมและตัดขาดสังคมเที่ยวกลางคืนและเพื่อนฝูงทุกคนเหลือเพียงคู่รัก พอย้ายไปที่ใหม่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ก็ยังมีคนเราชื่อเราไปแอบอ้างหาผลประโยชน์เสียๆหายๆแต่สุดท้ายกรรมก็ตามทันคนเหล่านั้น แต่ไม่วายก็มีเรื่องของการเงินเข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการใช้ชีวิต บวกกับตกงานอีกแล้วเพิ่งทำได้สองสามเดือน ก็เลยต้องย้ายที่อยู่ไปอยู่ในที่ๆราคาถูกลง อยู่ใกล้ๆบ้านคู๋รัก วันนั้นจำได้ขึ้นใจเลยว่า แฟนจะไปปฏิบัติธรรมแต่ไปลงทะเบียนตอนเช้าไม่ทัน(ก่อน9 โมง) บวกกับหมอนัดดูก้อนเนื้องอกข้างๆหน้าอก เลยบอกเขาให้ไปหาหมอเถอะ แฟนเลยตัดสินใจไม่ไปปฏิบัติธรรม แต่เก็บเสื้อผ้าชุดไรไว้เรียบร้อยหมดแล็ว แล้วไปหาหมอที่นัดไว้เพราะหมอเข้าแค่อาทิตย์ละวันเท่านั้น เวลา สิบเอ็ดโมง แต่พอเราเปิดดูรายละเอียดเพจวัด อยู่ๆมีเปิดลงทะเบียนอีกรอบ ตอนเที่ยงวัน ตอนนั้นอยู่คนเดียวที่ห้องพัก แล้วมีเสียงผู้หญิงพูดข้างหูว่า "ต้องไปปฏิบัติ" เราเลยรีบเก็บของใช้เสื้อผ้าที่จำเป็น กับของๆแฟน แล้วโทรไปบอกแฟนว่าไปปฏิบัติธรรมกัน แฟนก็ด่าสิ เราก็เลยขับรถไปหาแฟนที่โรงพยาบาล แฟนบอกว่าใกล้จะถึงคิวแล้วนะ แล้วจะไปทันมั้ย ตอนนั้นเวลาปาเข้าไป 11.30 น. เราเลยบอกว่าทันสิ เราเอาใบนัดหมดไปที่เค้าเตอร์แล้วขอเลื่อนนัดตรวจหมอให้แฟนทันทีเป็นอาทิตย์หน้า เพราะว่าไปปฏิบัติธรรม 3วัน2คืน แต่ถ้าเช็คกรรมสำหรับคนไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก 4วัน3คืน มีพระอาจารย์เจ้าอาวาสทางวัดเป็นผู้เช็คให้ แต่ครั้งแรกที่ไปคือไม่ทันเช็คกรรม ย้อนกลับไปนิดนึง คือพอเลื่อนนัดเสร็จเรากับแฟนเอารถจอดทิ้งไว้ที่โรงบาลคันนึงแล้วขับรถไปด้วยกันทั้งคู่ต่างหงุดหงิดโมโหกันไม่คุยกันตลอดทางจนใกล้ถึงวัด คืออยู่ๆแฟนก็หักหลบเสาไฟหน้าวัดกระทันหัน และเข้าผิดทางที่จะเข้าวัดอีก ตือ อุปสรรคปัญหาเยอะมากๆ กว่าจะไปถึงวัด แต่ก็ทันลงทะเบียน ตั้งแต่เล่ามานี่ต้องบอกก่อนว่า มันกระทันหันไปหมด แม้แต่ชุดปฏอบัติธรรมเสื้อผ้าชุดสีขาวไม่มีสักชุด คือไปหาเอาข้างหน้าหมด แต่ตอนไปมีแค่เสื้อเชิตสีขาวกับกางเกงยีน ดีนะที่แฟนให้เรายืมชุดปฏิบัตธรรมของเขา แล้วก็ดีนะที่วัดมีจำหน่อยอยู่ พอเข้าวัดปุ๊บ ความโมโห หงุดหงิด อารมณ์พวกนั้นก่อนหน้านี้คือ สงบลงทั้งคู่ สถานปฏิบัติธรรมที่นี่คือที่แรกที่เราไปและเป็นที่เดียวจนถึงปัจจุบันที่เราก็ยังไปอยู่ อยู่ที่ เชียงใหม่ เราไม่รู้นะ สถานที่อื่นเป็นยังไง แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มปฎิบัติที่นี่คือโอเคมากๆ ไม่เคร่งปฏบัติ ไม่เครียดจนเกินไป และไม่มีความน่ากลัวอะไรทั้งนั้น แต่ กรรมที่เราให้พระมีจริงมั้ย เชื่อถือได้หรือเปล่า เป็นพุทธพาณิชย์มั้ย แต่ที่นี่บอกได้คำเดียวเลยว่า ทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยตัวเราเองทั้งหมด เพราะตั้งแต่เข้าไปในวัดครั้งแรก เราเสียแค่ค่าชุดเท่านั้น กับเงินใส่ตูบริจาคชำระหนี้สงฆ์ค่าน้ำค่าไฟวัดแล้วแต่เราจะหยอดเท่านั้น ทางวัดไม่ใช่พุทธพาณิชย์ กินฟรี เพราะมีโรงทาน อยู่ฟรีเพราะมีอาคารให้คนปฎิบัตินอน มีศาลาเอาเต้นไปกางนอนได้ แค่เอาตัวเองไปวัดเท่านั้น และปฎิบัติธรรมที่นี่เขาจะให้ปฏิบัติเฉพาะบุญใหญ่สองเดือนครั้งนึงปีนึงห้าครั้ง เท่านั้น ก่อนจะเข้าเรื่องต่อ เราต้องขอบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้ เราไม่มีเซ๊น สัมผัส สื่อจิต มองเห็น ได้ยินเสียงไกลๆ อะไรพวกนี้ทั้งนั้น มีแค่เรื่องเดียวคือ เป็นคนที่เวลานอนหลับ จะถูกผีอำบ่อย ชนิดที่ว่าเกือบทุกวัน ทำให้เป็นคนที่กลัวการอยู่คนเดียว กลัวความมืดต้องมีแสงจากโคมไฟถึงจะหลับได้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ฝันถึงขั้นห้อยตะกุดที่เอวเลยกับผี พอใส่แล้วก็ไม่เคยถอด มีวันนึงไปว่ายน้ำถดตะกรุดไว้ในรถ ด้วยความเพลียลืมหลับไปอยู่สะดุ้งตื่น เห็นคนร่างใหญ่ยืนบนหัวนอนโผล่ก้มหน้ามองหน้าเรา เราวิ่ง สี่คูณร้อยไปเอาตะกรุดมาใส่ ใส่จนตะกรุดขาด แต่ช่วงนั้นเราบูชาพระพิฆเนศและศรัทธาท่านที่เลิกใช้ตะกรุดเพราะวันที่เราโดนผีอำ สวดมนต์ นะโม อะระหังสัมมา บทไหนก็ไม่หาย แล้วอยู่ๆในใจนึกถึงพระพิฆเนศ เลยท่อง บทสวดพระพิฆเนศ 3 จบ แล้วขอให้ท่านช่วย เราถึงหลุดจากฝันนั้นได้เพราะทุกครั้งจะฝันถึง ผู้หญิงคนนึงไม่เห็นหน้า อยู่ที่เท้าบ้างทับหน้าอกบ้าง ถูกจับตัวยกขึ้นลอยจากที่นอนแล้วจับเราทุมลงพื้นบ้าง ซ้ำๆแบบนี้ตลอด นอกเรื่องมาเยะไปหน่อยกลับเข้าเรื่องต่อ
วันแรกที่อยู่วัด หลังจากจุดธุปเพื่อของปฎิบัติธรรมแล้ว ที่นั่นเขาจะมีแบ่งเข้าห้องเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติ เราไปห้องน้องใหม่เลยคือไปครั้งแรก เป็นห้องยกพระ เรียนรู้เรื่อง จิต เรื่องของกรรม ว่ากรรมบรรพบุรุตเจ็ดชั่วโครตทำหน้าที่ยังไง กรรมจากเข้ากรรมนายเวรเขาทำอะไรกับเราได้บ้าง และคู่กรรม เขาทำะไรกับเราบ้าง ส่วนกรรมหลัก กรรมรอง กรรมร่วม ทำหน้าที่อะไรส่งผลอะไรกับเราบ้าง คนสอนเขาก็สอนไปเราก็นั่งฟัง ปกติ แล้วอยู่ๆ เราก็นั่งหลังค่อมลงๆ และปวดหลัง หนัก เจ็บ เหมือนมีใครนั่งทับหลังจากที่นั่งหลังตรงไม่ค่อม เราก็เลยหันไปดูคนอื่นๆในห้อง ว่าเขาเป็นแบบเรามั้ย คนอื่นก็นั่งปกติไม่เมื่อยเหมือนเรา แล้วมีประโยชน์นึงที่คนสนถามเรา ว่าเราจะต้องยกผลบุญให้กรรมหลัก เราเลยยกมือขึ้นแล้วบอกเขาว่า เราไม่รู้ว่ากรรมหลักคืออันไหน แล้วพี่ที่สอนเราก็เดินมาหาเราแล้วจับมือเรา แล้วถามเราว่า กรรมหลักคืออะไร อยู่ๆเราพูดออกไปเองว่า คู่กรรม พี่เขาก็ถามอีกเราอีกว่า บุญจะเอามั้ย เราก็ตอบพี่เขาไปเองอีกว่า เอา พี่เขาเลยบอกว่างั้นถอยไปก่อน จากนั้น อาการปวดหลังที่เป็นก่อนหน้านั้นคือหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น นั่นคือ ประสบการณ์แรก จากนั้นเราก็กลับไปทุ่กลุ่มเพื่อสอบอารมณ์ กับพี่ในกลุ่ม เขาก็ถามเราว่า เมื่อสักครู๋ไปเรียนมาเป็นยังไงบ้าง เราก็เลยเล่าให้เขาฟังว่าเรามาเช็คกรรมไม่ทัน เลยไม่รู้ว่ากรรมหลักคือใครและเล่าเรื่งที่เกิดให้พี่เขาฟัง พี่เขาเลยบกให้เรา พนมมือแล้วหลับตา แล้วให้เราถามเข้าไปในจิต ว่ากรรมหลักของเราใช่คู่กรรมหรือไม่ถ้าใช่ก็ขอให้มือสูงขึ้น แล้วให้เราใช้วิธีที่ทางวัดสอน เร่งสภาวะธรรม เพียงพูดจบยังไม่ทันได้เริ่มทำการเร่งเลยมืเราก็สูงขึ้น แล้วก็ทวนคำถามอีกครั้งว่าถ้าใช่ขอให้มือต่ำลง อารมณ์เหมือนยกช้าง ยกพระถาม อะไรประมานนั้น แล้วได้คำตอบคือ เป็นคู่กรรมจริงๆ (เรามาเช็คกรรมกระพระอาจารย์ในรบที่ไปปฏิบัติครั้งที่สอง เป็นคู่กรรมและบรรพบุรุต) แล้วพี่เขาก็บอกเราว่า เรามี เจโตปริยญาณ อยู๋จงต่อยอดให้ถูกทาง เราเลยขอบคุณพี่เขาที่ให้คำตอบ แล้วเราก็เกิดคำถามต่อมาว่า อะไรคือ เจโตปริยญาณ (ไม่พ้นที่จะให้คำตอบนี้แก่เราไปได้นั้นก็คือ พี่กูรู กูรู้ กูเกิ้ล นั่นเอง)
เจโตปริยญาณ ปรีชากำหนดรู้ใจผู้อื่นได้, รู้ใจผู้อื่นอ่านความคิดของเขาได้
เช่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจเขาเศร้าหมองหรือผ่องใส เป็นต้น
(ข้อ ๕ ในวิชชา ๘, ข้อ ๓ ในอภิญญา ๖)
วิชชา ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ;
วิชชา ๓ คือ
๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ได้ระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น;
วิชชา ๘ คือ
๑. วิปัสสนาญาณ ญาณในวิปัสสนา
๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ
๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
๔. ทิพพโสต หูทิพย์
๕. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้
๖. ปุพเพนิวาสานุสติ
๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ (=จุตูปปาตญาณ)
๘. อาสวักขยญาณ อภิญญา ความรู้ยิ่ง, ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง,
ความรู้ชั้นสูง มี ๖ อย่างคือ
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต หูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ ตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป,
๕ อย่างแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา
จากที่เราไปดูคร่าวในตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากมายนัก งง งง สี่ตัว ไปเลย พอเขาเรียกร่วมขึ้นศาลา ไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ ที่วัดเค้าก็จะมีคำกล่าว เพื่เปิดกระแส ญาณ คือเป็นชื่อของพระพทุธเจ้าคือต้องบอกก่อนว่าวัดที่นี่มีการปฏิบัติธรรม ๒ อย่าง คือ สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนี้ล้วนแต่ต้องอาศัยสติเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์กรรมฐาน และอาศัยปัญญาคือสัมปชัญญะเป็นเครื่องกำกับการปฏิบัตินั้นไว้เสมอ ไม่เช่นนั้นเราจะปฏิบัติผิดพลาดได้ง่ายๆ
เพราะว่าที่นี่ กรรมหลัก ที่เกี่ยวข้องกับเรา (ขอเรียกสิ่งที่มองไม่เห็นว่าสิ่งศักดิ้ละกัน) สามารถผ่านสังขาล มาปฏิบัติกับเราได้ แต่ต้องมีครูบาร์อาจารย์กำกับห้ามไปทำเองข้างนอกวัด เพราะว่าในวัดเรามีพระพุทธรูปขององค์พระพุทธญาณวิถีเป็นประธาน ในการปฎิบัติธรรม เราจะรับรู้ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะเรามีสติตลอดเวลา ทุกขณะขนาดปฏิบัติธรรม
เราก็สวดมนต์ตามที่วัดให้สวดพร้อมกัน บนศาลาปกตินั่นแหละ พอมาถึงช่วงที่นั่งสมาธิ ก็คิดนะว่าจะทนนั่งได้นานมั้ยเพราะปกติไม่ค่อยนั่งสมาธิได้เกินสงสามนาทีก็ปวดเมื่อยละ ก่อนนั่งก็กล่าวบทนำก่อนนั่งสมาธิ
แล้วอยู่ๆก็ไปปิ้งแว๊บ คือก่อนมาวัดไม่กี่วันไปเจอ วิธีการนั่งสมาธิที่พญานาคใช้กัน ก็คือ หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ1 หายใจเข้านับ 2 หายใจออกนับ 2 นับแบบนี้ไปเรื่อยๆ หาก นับ หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 นับผิด ให้กลับไปนับ 1 ใหม่ นั่นหมายถึง ไม่มีสติ ใจไม่ยู่กับเนื้อกับตัว คิดเรื่องอื่น บลาๆ หากเรามีสติ กับลมหายใจ มีสติอยู่กับตัว มันจะนับไปเรื่อยๆ เราเลยเอามาลองทำตอนนั่ง สมาธิดู พอหลับตานับไม่ถึงเลขสอง ตัวเรามันก็โยนเอนเอียงไปซ้ายขวา หมุนบ้างแบบ หมุนตามเข็มนาฬิกาแล้วก็หมุนทวนกลับ อยู่ๆคอก็เงยหน้าขึ้น เราก็ยังหลับตาต่อไปไม่ได้สนใจคือปล่อยมัน แล้วนับไปถึง เลขสิบเอ็ด ตัวเราตอนนั่งสมาธิก็นั่งสบายๆไม่ได้เกร็ง อะไรนะ อยุ่ๆตัวมันก็ยืดตัว หลังตรง หน้าตั้งตรงมองไปข้างหน้า มือที่ผสานระหว่างหน้าตัก หิ้วนิ้วโป้งชนกันตั้งวงเป็นวงกลม ก็ไม่ได้สนใจก็นั่งนับเลขต่อไปจนถึง
เลขสามสิบห้า แล้วมันเกิดภาพนิมิต เพราะตอนนั้นพระอาจารย์ให้นั่งแล้วดู ดวงจิตเดิมแท้ของเราสีอะไร (จิตเดิมแท้คือจิตแรกเริ่มของเราตั้งแต่แรก เป็นจิตที่บริสุทธิ์ปราศจาก กิเลส เป็นจิตที่จดจำ บันทึกทุกภพทุกชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เราทุกคนจะมีจิตเดิมแท้ทุกคน พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เราเกิดมาในภพชาตินี้นั่นคือ 1ดวงจิตของเราในภพชาตินี้ และจิตเดิมแท้ที่อยู่ภายในจิตของตัวเราอีกที ทำหน้าที่เหมือนตัวสังขาลเราเป็นมือถือ แล้วจิตเดิมแท้คือเมมโมรีการ์ด/icloud มือถือตกรุ่นเราเปลี่ยนมือถือใหม่แต่เมมก็อันเดิมicloudเดิม ต่อให้มือถือจะเปลี่ยนไปกี่เครื่องก็ตาม)
ต่อ ภาพนิมิตที่เกิดคือเป็นแสงสีใสๆสว่างมาก ก่อนหน้านั้นมันเป็นสีเหลืองแล้วสุดท้ายคืสีใสประกายเพชรเหมือนเวลาเรา จ้องมองหลอดไฟเป็นวงกลมอยู่ตรงข้างหน้าเรามองดวงจิตนั้นแล้วระหว่างนั้นมันเป็นอารมณ์เหมือนเราขับรถเร็วมากๆเหมืนเหยียบสุดไมล์ระหว่างสองข้างทางเร็วๆ เเต่ตัวเราลอยอยู่เหนือก้นเมฆ แล้วปรากฎ เป็นภาพ พญานาคห้าเศีรย์สีทองแล้วห่างไปไกลๆหน่อย เป็นพระรูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนก้นเมฆไกลแบบที่เราไม่รู้ว่าท่านคือใคร พระอาจารย์ให้ลืมตา ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่านิมิตที่จิตเดิมแท้พาเราไปนั่นคือ อะไร
ใครเคยมีประสบการณ์กับคำที่ว่า เมื่อถึงเวลาเราจะถูกเหวี่ยงเข้าทางธรรม บ้างมั้ย (ตอนที่1)
เรื่องที่จะเล่าเหตุการและประสบการณ์บวกกับอาการที่เกิดกับ เราเกิดขึ้นเมื่อตอนไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก มันมีอยู่จริงนะ "คำที่ว่าถูกเหวี่ยงเข้าทางธรรมหน่ะ"แล้วใครล่ะเหวี่ยงเรามีคำตอบให้ เพราะก่อนหน้านั้นใช้ชีวิต ปกติ ปกติที่ว่ากินดื่มเที่ยวสังสรรค์ เฮฮา ปาร์ตี้สนุกกับเพื่อนฝูง กลับบ้าน หลับตื่นมาทำงาน เลิกงาน ก็ไปเที่ยวกลางคืน (ตอนนั้นโสด ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่) จนวันที่เรามีคู่ บวกกับมีปัญหาแทรกเข้า ออกจากงาน ย้ายที่อยู่ และเพื่อนฝูงน้ำปัญหาเข้ามาให้ เลยตัดสินใจออกจากที่อยู่เดิมและตัดขาดสังคมเที่ยวกลางคืนและเพื่อนฝูงทุกคนเหลือเพียงคู่รัก พอย้ายไปที่ใหม่ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร ก็ยังมีคนเราชื่อเราไปแอบอ้างหาผลประโยชน์เสียๆหายๆแต่สุดท้ายกรรมก็ตามทันคนเหล่านั้น แต่ไม่วายก็มีเรื่องของการเงินเข้ามาเป็นปัจจัยหลักในการใช้ชีวิต บวกกับตกงานอีกแล้วเพิ่งทำได้สองสามเดือน ก็เลยต้องย้ายที่อยู่ไปอยู่ในที่ๆราคาถูกลง อยู่ใกล้ๆบ้านคู๋รัก วันนั้นจำได้ขึ้นใจเลยว่า แฟนจะไปปฏิบัติธรรมแต่ไปลงทะเบียนตอนเช้าไม่ทัน(ก่อน9 โมง) บวกกับหมอนัดดูก้อนเนื้องอกข้างๆหน้าอก เลยบอกเขาให้ไปหาหมอเถอะ แฟนเลยตัดสินใจไม่ไปปฏิบัติธรรม แต่เก็บเสื้อผ้าชุดไรไว้เรียบร้อยหมดแล็ว แล้วไปหาหมอที่นัดไว้เพราะหมอเข้าแค่อาทิตย์ละวันเท่านั้น เวลา สิบเอ็ดโมง แต่พอเราเปิดดูรายละเอียดเพจวัด อยู่ๆมีเปิดลงทะเบียนอีกรอบ ตอนเที่ยงวัน ตอนนั้นอยู่คนเดียวที่ห้องพัก แล้วมีเสียงผู้หญิงพูดข้างหูว่า "ต้องไปปฏิบัติ" เราเลยรีบเก็บของใช้เสื้อผ้าที่จำเป็น กับของๆแฟน แล้วโทรไปบอกแฟนว่าไปปฏิบัติธรรมกัน แฟนก็ด่าสิ เราก็เลยขับรถไปหาแฟนที่โรงพยาบาล แฟนบอกว่าใกล้จะถึงคิวแล้วนะ แล้วจะไปทันมั้ย ตอนนั้นเวลาปาเข้าไป 11.30 น. เราเลยบอกว่าทันสิ เราเอาใบนัดหมดไปที่เค้าเตอร์แล้วขอเลื่อนนัดตรวจหมอให้แฟนทันทีเป็นอาทิตย์หน้า เพราะว่าไปปฏิบัติธรรม 3วัน2คืน แต่ถ้าเช็คกรรมสำหรับคนไปปฏิบัติธรรมครั้งแรก 4วัน3คืน มีพระอาจารย์เจ้าอาวาสทางวัดเป็นผู้เช็คให้ แต่ครั้งแรกที่ไปคือไม่ทันเช็คกรรม ย้อนกลับไปนิดนึง คือพอเลื่อนนัดเสร็จเรากับแฟนเอารถจอดทิ้งไว้ที่โรงบาลคันนึงแล้วขับรถไปด้วยกันทั้งคู่ต่างหงุดหงิดโมโหกันไม่คุยกันตลอดทางจนใกล้ถึงวัด คืออยู่ๆแฟนก็หักหลบเสาไฟหน้าวัดกระทันหัน และเข้าผิดทางที่จะเข้าวัดอีก ตือ อุปสรรคปัญหาเยอะมากๆ กว่าจะไปถึงวัด แต่ก็ทันลงทะเบียน ตั้งแต่เล่ามานี่ต้องบอกก่อนว่า มันกระทันหันไปหมด แม้แต่ชุดปฏอบัติธรรมเสื้อผ้าชุดสีขาวไม่มีสักชุด คือไปหาเอาข้างหน้าหมด แต่ตอนไปมีแค่เสื้อเชิตสีขาวกับกางเกงยีน ดีนะที่แฟนให้เรายืมชุดปฏิบัตธรรมของเขา แล้วก็ดีนะที่วัดมีจำหน่อยอยู่ พอเข้าวัดปุ๊บ ความโมโห หงุดหงิด อารมณ์พวกนั้นก่อนหน้านี้คือ สงบลงทั้งคู่ สถานปฏิบัติธรรมที่นี่คือที่แรกที่เราไปและเป็นที่เดียวจนถึงปัจจุบันที่เราก็ยังไปอยู่ อยู่ที่ เชียงใหม่ เราไม่รู้นะ สถานที่อื่นเป็นยังไง แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มปฎิบัติที่นี่คือโอเคมากๆ ไม่เคร่งปฏบัติ ไม่เครียดจนเกินไป และไม่มีความน่ากลัวอะไรทั้งนั้น แต่ กรรมที่เราให้พระมีจริงมั้ย เชื่อถือได้หรือเปล่า เป็นพุทธพาณิชย์มั้ย แต่ที่นี่บอกได้คำเดียวเลยว่า ทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยตัวเราเองทั้งหมด เพราะตั้งแต่เข้าไปในวัดครั้งแรก เราเสียแค่ค่าชุดเท่านั้น กับเงินใส่ตูบริจาคชำระหนี้สงฆ์ค่าน้ำค่าไฟวัดแล้วแต่เราจะหยอดเท่านั้น ทางวัดไม่ใช่พุทธพาณิชย์ กินฟรี เพราะมีโรงทาน อยู่ฟรีเพราะมีอาคารให้คนปฎิบัตินอน มีศาลาเอาเต้นไปกางนอนได้ แค่เอาตัวเองไปวัดเท่านั้น และปฎิบัติธรรมที่นี่เขาจะให้ปฏิบัติเฉพาะบุญใหญ่สองเดือนครั้งนึงปีนึงห้าครั้ง เท่านั้น ก่อนจะเข้าเรื่องต่อ เราต้องขอบอกก่อนว่า ก่อนหน้านี้ เราไม่มีเซ๊น สัมผัส สื่อจิต มองเห็น ได้ยินเสียงไกลๆ อะไรพวกนี้ทั้งนั้น มีแค่เรื่องเดียวคือ เป็นคนที่เวลานอนหลับ จะถูกผีอำบ่อย ชนิดที่ว่าเกือบทุกวัน ทำให้เป็นคนที่กลัวการอยู่คนเดียว กลัวความมืดต้องมีแสงจากโคมไฟถึงจะหลับได้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ฝันถึงขั้นห้อยตะกุดที่เอวเลยกับผี พอใส่แล้วก็ไม่เคยถอด มีวันนึงไปว่ายน้ำถดตะกรุดไว้ในรถ ด้วยความเพลียลืมหลับไปอยู่สะดุ้งตื่น เห็นคนร่างใหญ่ยืนบนหัวนอนโผล่ก้มหน้ามองหน้าเรา เราวิ่ง สี่คูณร้อยไปเอาตะกรุดมาใส่ ใส่จนตะกรุดขาด แต่ช่วงนั้นเราบูชาพระพิฆเนศและศรัทธาท่านที่เลิกใช้ตะกรุดเพราะวันที่เราโดนผีอำ สวดมนต์ นะโม อะระหังสัมมา บทไหนก็ไม่หาย แล้วอยู่ๆในใจนึกถึงพระพิฆเนศ เลยท่อง บทสวดพระพิฆเนศ 3 จบ แล้วขอให้ท่านช่วย เราถึงหลุดจากฝันนั้นได้เพราะทุกครั้งจะฝันถึง ผู้หญิงคนนึงไม่เห็นหน้า อยู่ที่เท้าบ้างทับหน้าอกบ้าง ถูกจับตัวยกขึ้นลอยจากที่นอนแล้วจับเราทุมลงพื้นบ้าง ซ้ำๆแบบนี้ตลอด นอกเรื่องมาเยะไปหน่อยกลับเข้าเรื่องต่อ
วันแรกที่อยู่วัด หลังจากจุดธุปเพื่อของปฎิบัติธรรมแล้ว ที่นั่นเขาจะมีแบ่งเข้าห้องเรียนรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติ เราไปห้องน้องใหม่เลยคือไปครั้งแรก เป็นห้องยกพระ เรียนรู้เรื่อง จิต เรื่องของกรรม ว่ากรรมบรรพบุรุตเจ็ดชั่วโครตทำหน้าที่ยังไง กรรมจากเข้ากรรมนายเวรเขาทำอะไรกับเราได้บ้าง และคู่กรรม เขาทำะไรกับเราบ้าง ส่วนกรรมหลัก กรรมรอง กรรมร่วม ทำหน้าที่อะไรส่งผลอะไรกับเราบ้าง คนสอนเขาก็สอนไปเราก็นั่งฟัง ปกติ แล้วอยู่ๆ เราก็นั่งหลังค่อมลงๆ และปวดหลัง หนัก เจ็บ เหมือนมีใครนั่งทับหลังจากที่นั่งหลังตรงไม่ค่อม เราก็เลยหันไปดูคนอื่นๆในห้อง ว่าเขาเป็นแบบเรามั้ย คนอื่นก็นั่งปกติไม่เมื่อยเหมือนเรา แล้วมีประโยชน์นึงที่คนสนถามเรา ว่าเราจะต้องยกผลบุญให้กรรมหลัก เราเลยยกมือขึ้นแล้วบอกเขาว่า เราไม่รู้ว่ากรรมหลักคืออันไหน แล้วพี่ที่สอนเราก็เดินมาหาเราแล้วจับมือเรา แล้วถามเราว่า กรรมหลักคืออะไร อยู่ๆเราพูดออกไปเองว่า คู่กรรม พี่เขาก็ถามอีกเราอีกว่า บุญจะเอามั้ย เราก็ตอบพี่เขาไปเองอีกว่า เอา พี่เขาเลยบอกว่างั้นถอยไปก่อน จากนั้น อาการปวดหลังที่เป็นก่อนหน้านั้นคือหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น นั่นคือ ประสบการณ์แรก จากนั้นเราก็กลับไปทุ่กลุ่มเพื่อสอบอารมณ์ กับพี่ในกลุ่ม เขาก็ถามเราว่า เมื่อสักครู๋ไปเรียนมาเป็นยังไงบ้าง เราก็เลยเล่าให้เขาฟังว่าเรามาเช็คกรรมไม่ทัน เลยไม่รู้ว่ากรรมหลักคือใครและเล่าเรื่งที่เกิดให้พี่เขาฟัง พี่เขาเลยบกให้เรา พนมมือแล้วหลับตา แล้วให้เราถามเข้าไปในจิต ว่ากรรมหลักของเราใช่คู่กรรมหรือไม่ถ้าใช่ก็ขอให้มือสูงขึ้น แล้วให้เราใช้วิธีที่ทางวัดสอน เร่งสภาวะธรรม เพียงพูดจบยังไม่ทันได้เริ่มทำการเร่งเลยมืเราก็สูงขึ้น แล้วก็ทวนคำถามอีกครั้งว่าถ้าใช่ขอให้มือต่ำลง อารมณ์เหมือนยกช้าง ยกพระถาม อะไรประมานนั้น แล้วได้คำตอบคือ เป็นคู่กรรมจริงๆ (เรามาเช็คกรรมกระพระอาจารย์ในรบที่ไปปฏิบัติครั้งที่สอง เป็นคู่กรรมและบรรพบุรุต) แล้วพี่เขาก็บอกเราว่า เรามี เจโตปริยญาณ อยู๋จงต่อยอดให้ถูกทาง เราเลยขอบคุณพี่เขาที่ให้คำตอบ แล้วเราก็เกิดคำถามต่อมาว่า อะไรคือ เจโตปริยญาณ (ไม่พ้นที่จะให้คำตอบนี้แก่เราไปได้นั้นก็คือ พี่กูรู กูรู้ กูเกิ้ล นั่นเอง)
เจโตปริยญาณ ปรีชากำหนดรู้ใจผู้อื่นได้, รู้ใจผู้อื่นอ่านความคิดของเขาได้
เช่น รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ใจเขาเศร้าหมองหรือผ่องใส เป็นต้น
(ข้อ ๕ ในวิชชา ๘, ข้อ ๓ ในอภิญญา ๖)
วิชชา ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ;
วิชชา ๓ คือ
๑. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ได้ระลึกชาติได้
๒. จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย
๓. อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น;
วิชชา ๘ คือ
๑. วิปัสสนาญาณ ญาณในวิปัสสนา
๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ
๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ
๔. ทิพพโสต หูทิพย์
๕. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้
๖. ปุพเพนิวาสานุสติ
๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ (=จุตูปปาตญาณ)
๘. อาสวักขยญาณ อภิญญา ความรู้ยิ่ง, ความรู้เจาะตรงยวดยิ่ง,
ความรู้ชั้นสูง มี ๖ อย่างคือ
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต หูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพพจักขุ ตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป,
๕ อย่างแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา
จากที่เราไปดูคร่าวในตอนนั้นก็ยังไม่เข้าใจอะไรมากมายนัก งง งง สี่ตัว ไปเลย พอเขาเรียกร่วมขึ้นศาลา ไปนั่งสมาธิ สวดมนต์ ที่วัดเค้าก็จะมีคำกล่าว เพื่เปิดกระแส ญาณ คือเป็นชื่อของพระพทุธเจ้าคือต้องบอกก่อนว่าวัดที่นี่มีการปฏิบัติธรรม ๒ อย่าง คือ สมถกรรมฐาน กับ วิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งทั้ง ๒ อย่างนี้ล้วนแต่ต้องอาศัยสติเป็นเครื่องระลึกรู้อารมณ์กรรมฐาน และอาศัยปัญญาคือสัมปชัญญะเป็นเครื่องกำกับการปฏิบัตินั้นไว้เสมอ ไม่เช่นนั้นเราจะปฏิบัติผิดพลาดได้ง่ายๆ
เพราะว่าที่นี่ กรรมหลัก ที่เกี่ยวข้องกับเรา (ขอเรียกสิ่งที่มองไม่เห็นว่าสิ่งศักดิ้ละกัน) สามารถผ่านสังขาล มาปฏิบัติกับเราได้ แต่ต้องมีครูบาร์อาจารย์กำกับห้ามไปทำเองข้างนอกวัด เพราะว่าในวัดเรามีพระพุทธรูปขององค์พระพุทธญาณวิถีเป็นประธาน ในการปฎิบัติธรรม เราจะรับรู้ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะเรามีสติตลอดเวลา ทุกขณะขนาดปฏิบัติธรรม
เราก็สวดมนต์ตามที่วัดให้สวดพร้อมกัน บนศาลาปกตินั่นแหละ พอมาถึงช่วงที่นั่งสมาธิ ก็คิดนะว่าจะทนนั่งได้นานมั้ยเพราะปกติไม่ค่อยนั่งสมาธิได้เกินสงสามนาทีก็ปวดเมื่อยละ ก่อนนั่งก็กล่าวบทนำก่อนนั่งสมาธิ
แล้วอยู่ๆก็ไปปิ้งแว๊บ คือก่อนมาวัดไม่กี่วันไปเจอ วิธีการนั่งสมาธิที่พญานาคใช้กัน ก็คือ หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ1 หายใจเข้านับ 2 หายใจออกนับ 2 นับแบบนี้ไปเรื่อยๆ หาก นับ หายใจเข้านับ 1 หายใจออกนับ 2 นับผิด ให้กลับไปนับ 1 ใหม่ นั่นหมายถึง ไม่มีสติ ใจไม่ยู่กับเนื้อกับตัว คิดเรื่องอื่น บลาๆ หากเรามีสติ กับลมหายใจ มีสติอยู่กับตัว มันจะนับไปเรื่อยๆ เราเลยเอามาลองทำตอนนั่ง สมาธิดู พอหลับตานับไม่ถึงเลขสอง ตัวเรามันก็โยนเอนเอียงไปซ้ายขวา หมุนบ้างแบบ หมุนตามเข็มนาฬิกาแล้วก็หมุนทวนกลับ อยู่ๆคอก็เงยหน้าขึ้น เราก็ยังหลับตาต่อไปไม่ได้สนใจคือปล่อยมัน แล้วนับไปถึง เลขสิบเอ็ด ตัวเราตอนนั่งสมาธิก็นั่งสบายๆไม่ได้เกร็ง อะไรนะ อยุ่ๆตัวมันก็ยืดตัว หลังตรง หน้าตั้งตรงมองไปข้างหน้า มือที่ผสานระหว่างหน้าตัก หิ้วนิ้วโป้งชนกันตั้งวงเป็นวงกลม ก็ไม่ได้สนใจก็นั่งนับเลขต่อไปจนถึง
เลขสามสิบห้า แล้วมันเกิดภาพนิมิต เพราะตอนนั้นพระอาจารย์ให้นั่งแล้วดู ดวงจิตเดิมแท้ของเราสีอะไร (จิตเดิมแท้คือจิตแรกเริ่มของเราตั้งแต่แรก เป็นจิตที่บริสุทธิ์ปราศจาก กิเลส เป็นจิตที่จดจำ บันทึกทุกภพทุกชาติที่เราเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เราทุกคนจะมีจิตเดิมแท้ทุกคน พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ เราเกิดมาในภพชาตินี้นั่นคือ 1ดวงจิตของเราในภพชาตินี้ และจิตเดิมแท้ที่อยู่ภายในจิตของตัวเราอีกที ทำหน้าที่เหมือนตัวสังขาลเราเป็นมือถือ แล้วจิตเดิมแท้คือเมมโมรีการ์ด/icloud มือถือตกรุ่นเราเปลี่ยนมือถือใหม่แต่เมมก็อันเดิมicloudเดิม ต่อให้มือถือจะเปลี่ยนไปกี่เครื่องก็ตาม)
ต่อ ภาพนิมิตที่เกิดคือเป็นแสงสีใสๆสว่างมาก ก่อนหน้านั้นมันเป็นสีเหลืองแล้วสุดท้ายคืสีใสประกายเพชรเหมือนเวลาเรา จ้องมองหลอดไฟเป็นวงกลมอยู่ตรงข้างหน้าเรามองดวงจิตนั้นแล้วระหว่างนั้นมันเป็นอารมณ์เหมือนเราขับรถเร็วมากๆเหมืนเหยียบสุดไมล์ระหว่างสองข้างทางเร็วๆ เเต่ตัวเราลอยอยู่เหนือก้นเมฆ แล้วปรากฎ เป็นภาพ พญานาคห้าเศีรย์สีทองแล้วห่างไปไกลๆหน่อย เป็นพระรูปหนึ่งนั่งสมาธิอยู่บนก้นเมฆไกลแบบที่เราไม่รู้ว่าท่านคือใคร พระอาจารย์ให้ลืมตา ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่านิมิตที่จิตเดิมแท้พาเราไปนั่นคือ อะไร