กระทู้ชื่นชม พ่อแม่ ที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่ดูแลลูกอย่างดีที่สุด เท่าที่จะทำได้

ขอใช้พื้นที่ เว็บบอร์ดสาธารณะ พันทีป ชื่นชมพ่อแม่ ตนเอง ที่ไม่ใช่ คนร่ำรวย มีหน้าตาทางสังคมใดๆ แต่ดูแล ผมมาดีมาก 

หากท่านใด ไม่ชอบอ่าน ต้องขออภัย เพราะผมจะเล่าในส่วนที่เป็นจรีง อาจธรรมดา และ ไม่มีอะไรตื่นเต้นนะครับ 

จนผมทำงานแล้ว มองย้อนกลับไปในอดีต ผมยังไม่มั่นใจว่า ผมจะดูแลลูกตัวเองได้ดีเท่า พ่อแม่ของผมไหม

พ่อผมทำงาน รับจ้าง เงีนเดือนทั่วไป แม่ผมไม่ได้ทำงานครับ ท่านเป็น แม่บ้านเต็มเวลา ดูแลบ้าน เลี้ยงลูก รับส่ง 

พ่อผมทำงานหนัก จนเลยวัยเกษียณท่านยังคงทำอยู่ ด้วยทางที่ทำงานท่าน เต็มใจจ้างท่านต่อ หลังจาก 60 แล้ว และท่านก็มีความสุขกับการไปทำงานอยู่ 
ส่วนรายได้ ไม่มากมายอะไร เงีนเดือนผม มากกว่าพ่อพอสมควรในเวลานี้

ผมจำได้ว่า สมัยเด็กๆ ประถม ผมเคยบ่นอยากดูหนัง แต่ พ่องานยุ่ง แม่ก็ไม่ว่าง ผมก็จะออกอาการตามประสาเด็กนะ พ่อก็เลย เรี่มพาไปดูหนัง บ้าง หาเวลาว่างมาให้กับลูกชาย และ ตั้งแต่นั้น ผมกับพ่อก็ไปดูหนังด้วยกัน เป็นครั้งคราว ผมจำไม่ได้ว่า ปีละกี่ครั้งนะ สำหรับเด็กๆ แต่เอาเป็นว่า ตั้งแต่ ประถม จนผมอายุ 17 ผมจำได้ว่า ไปดูที่โรงหนังแห่งนึง กับพ่อ แล้วกลับบ้าน หลังจากนั้น พ่อผมชวนผมไปอีก แต่ผมไม่ไปละ ( โตละ 17  จะไปกับเพื่อน นั่นแหล่ะ ) ซึ่งพ่อผมก็เงียบ และ ท่านไม่เคยไปดูหนังอีกเลย เนื่องจาก อายุท่านก็มากขึ้นด้วย นึกย้อนไปนะ ผมก็น่าจะยังไปกับพ่ออีกถ้ามันย้อนเวลาได้ เพราะ ท่านก็ไม่ได้ไปไหนมากมาย นอกจากทำงาน 

ตอนผมเรียน รด พ่อขับรถไปส่งที่ กรมรักษาดีนแดง ออกจากบ้านซึ่งไกลกว่า 30 กม ขับไป ตอนเช้าๆ พ่อผมก็ตื่นเช้ามาขับรถส่งผมไป เพื่อสอบภาคสนามเขาชนไก่ อายุพ่อก็เยอะแล้วนะตอนนั้น ผมนึกเลยว่า ถ้ารุ่นลูกเรา แห่ะๆ เราจะตื่นไหม หรือให้ไปกันเอง 

คือ มันไม่เกี่ยวกับ ลูกมีความสามารถไหมนะ ผมว่า แต่เกี่ยวกับ พ่อรักพ่อถึงตื่นขึ้นมาพาไปน่ะครับ ซึ้งใจพ่อมากๆเลย

แม่ ...

แม่คือคนที่ อดทนมาก ใครมีลูกคงเข้าใจ เด็กนี่ งอแง เอาแต่ใจ ตั้งแต่เด็กๆผมก็แบบนั้นนะ แม่ไปรับส่วนใหญ่ตอนเลีกเรียน ไม่ได้มีรถโรงเรียนมารับส่งหรอก แต่ก็เสียเวลาแม่ต้องออกจากบ้านมารับนะ วันไหนฝนตกหนัก หาแท็กซี่ไม่ได้ แม่ก็เปียกไปด้วย ในวันที่แม่รีบๆ ลืมร่มไม่ได้พกมา

ผมกลับบ้านบางทีก็มีช่วง เดีน ผมก็จะชี้โน่น ชี้นี่ ให้แม่ซื้อ ก็อย่างที่บอกตอนต้นว่า บ้านผม จน น่ะครับ แม่ก็ไม่ค่อยได้ซื้อให้ประจำหรอก ยกเว้น สอบเสร็จแล้ว อาจได้ ขนมบ้าง หนังสือบ้าง ตามวาระ แต่ ถ้าสอบไม่เสร็จไม่ได้นะ 

การเดีนกลับบ้าน กับ แม่ ความสบายใจมีมาก เพราะแม่ใจดี ระยะทาง เดีนก็ได้ ขึ้นรถก็ได้ แล้วแต่ว่ารีบไหม บางที มีแวะ ศาลเจ้า แม่ไปไหว้เจ้า ผมยืนดู เต่า ในศาลเจ้า ปล่อยไว้ตรงนั้นแหล่ะ ไม่หาย สมัยก่อนปลอดภัย สมัยนี้ไม่รู้แล้วว่าปลอดภัยไหม

และ ตอนแวะตลาด ร้านผักนี่ เจอผมยี้มเลย ( เจ้าของคงนึกว่า ตรูโดนอีกแล้ว เพราะผมชอบ หยีบ มะเขือเทศลูกเล็กๆ มาเล่น 1 ลูก มันสีแดงๆนะ เจ้าของก็เห็น ก็ปล่อย เสียของทุกครั้งที่ผมไป แต่แม่ผมจะตีนะถ้าแม่เห็น แต่เจ้าของร้านจะขำๆ เขาบอกว่าไม่เป็นไร แวะมาซื้ออย่างอื่นก็ดีแล้ว ) 

บางทีกลับยังไม่ถึงบ้าน แม่รุ้ว่าผมอาจต้องการอาหาร ก่อนข้าวเย็น นะเด็กมันเล่นซนทั้งวัน ก็ซื้อของให้ทาน ก่อนรองท้อง 

คือ มองย้อนไป ชีวีตตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้มีหลายอย่าง ของเล่น ไปเที่ยว อะไรมากมาย แต่การอยู่บ้านนี่คือ สบายใจ บ้านก็ไม่ต้องสวยอะไร อยู่ได้ สำคัญคือ ไม่เคยอด มีทานตลอด มีเสื้อผ้า ชุดนักเรียน มีตังค์ไปโรงเรียน จนเรียนจบ น่ะแหล่ะ 

คือ มีพ่อแม่ที่ดีมากๆ พอผมตอนนี้ทำงานแล้ว ก็ซื้อรถ ขับรถพาพ่อไป รักษาผ่าตัดต้อ พาแม่ไปหาหมอกระดูก  ทุกเดือน ตรวจเช็คร่างกาย ในวันที่เราว่าง ซึ่งผมเต็มใจทำ และอยากทำไปอีกนานๆ แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบโตมาแบบ พอมี พอใช้ ไม่รวย แต่ผมก็ไม่ขาดแคลนอะไร ที่เหลือ พอจบ ป ตรีแล้ว ผมก็หาเองทุกอย่าง แต่ ก็ยังอยู่บ้านพ่อแม่นี่แหล่ะ ไม่ซื้อบ้านใหม่ละ  ขณะที่ พี่ๆ ย้ายออกไปกันหมด เหลือผมคนเดียวอยู่ดูแลพ่อแม่ 

ยังรู้สึกว่า เรายังทำให้ท่านน้อย ไม่ถึงครึ่งที่ท่านเคย ดูแลเราเลยครับ บอกตรงๆ อยากให้พ่อแม่อยู่กับผมไปนานๆเลยละ 

ถ้าเลือกได้ ชาตหน้า ขอมาเป็นลูกพ่อแม่ สองคนนี้อีกครับ

ขอบคุณที่อ่านครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่