JJNY :  ‘ชัชชาติ’ ปั่นจักรยานเจอ ‘ทิม พิธา’│หมอคางดำยังระบาดไม่แผ่ว│“ทรัมป์”2.0คาดฉุดจีดีพีไทย│“ปูติน”พูดถึงขีปนาวุธใหม่

โลกกลมเกิน! ‘ผู้ว่าฯชัชชาติ’ ปั่นจักรยานหนีรถติดดันเจอ ‘ทิม พิธา’ ปั่นจักรยานส่งลูกไป รร.
https://www.dailynews.co.th/news/4110668/

โลกกลมเกิน! "ผู้ว่าฯ ชัชชาติ" ปั่นจักรยานหนีรถติดเพื่อไปประชุม ดันเจอ "ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" ปั่นจักรยานเลียบริมคลองแสนแสบ ที่กลับจากส่งลูกสาวไปโรงเรียน

เชื่อว่าใครหลายคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ มักจะมองเป็นเรื่องปกติที่พบ “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ตามท้องถนน เพราะมักจะออกมาพบปะประชาชนสม่ำเสมอ ทั้งวิ่งออกกำลังกายตามสวนสาธารณะ หรือปั่นจักรยานเพื่อเดินทางไปทำงานเนื่องจากเลี่ยงรถติดใน กทม. และทุกครั้งจะไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กไปพร้อม ๆ กันเป็นประจำ จนใครหลายคนก็มักจะแซวว่า กว่าจะไปถึงที่หมายก็ใช้เวลาพอกับการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวอยู่ดี เพราะอาจารย์ชัชชาติชอบแวะคุยกับชาวบ้านตลอดทาง เช่นเดียวกันกับไวรัลในครั้งนี้ ที่อาจารย์ชัชชาติได้ออกมาไลฟ์สดพาทุกคนไปทำงานด้วยกัน แต่กลับเจอเรื่องเซอร์ไพร้ส์ระหว่างทาง.

ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ได้เล่าว่า ตนเองกำลังจะไปประชุมที่ มศว ประสานมิตร โดยการเดินทางในครั้งนี้ เลือกปั่นจักรยานเลียบริมคลองแสนแสบ ภายในคลิปอาจารย์ชัชชาติ ก็ได้แวะคุยกับประชาชนที่เดินสวนกันไปมา หรือนั่งอยู่ภายในบ้านพัก แต่ปรากฏว่ากลับเจอเรื่องเซอร์ไพร้ส์ เพราะเจอ “ทิม-พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กำลังปั่นจักรยานมาเพียงลำพังในชุดเรียบง่าย ทำเอาผู้ว่าฯ กทม. เห็น ถึงกับตะโกนเรียกเสียงหลงด้วยความดีอกดีใจ 
โดย ทิม พิธา ก็ได้ยกมือไหว้ผู้ว่าฯ และทักทายด้วยความดีใจเช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ว่าฯ ก็ถามว่าไปไหนมา พิธาก็ตอบกลับว่า ไปส่งลูกสาวที่โรงเรียนมา และที่ต้องเลือกปั่นจักรยานใช้เส้นทางนี้ ก็เพราะว่าสะดวกรวดเร็ว สามารถทะลุได้ทุกซอย แถมประหยัดเวลาได้มากกว่าการขับรถบนท้องถนน ก่อนทั้งคู่จะแยกย้ายกัน ผู้ว่าฯ ก็พูดว่า ให้ทักทายแฟนคลับที่กำลังรับชมในไลฟ์สดก่อน และก็ขอจับมือพร้อมบอกว่า คิดถึงมาก ๆ ฝากความคิดถึงนี้ถึงลูกสาวด้วยนะ 

หลังจากที่โพสต์ถูกเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างเข้าไปคอมเมนต์และชื่นชมโมเมนต์ที่น่ารักของทั้งคู่กันล้นหลาม กับภาพบรรยากาศเป็นกันเอง ซึ่งคลิปดังกล่าวถูกชาวเน็ตตัดออกไปโพสต์ และพูดถึงกันเป็นจำนวนมากอีกด้วย
 


หมอคางดำยังระบาดไม่แผ่ว กำจัดได้แค่30% ยังเหลืออีกเพียบ หยุดจับเมื่อไหร่จำนวนจะพุ่งขึ้นอีก
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4915476

หมอคางดำยังระบาดไม่แผ่ว กำจัดได้แค่30% ยังเหลืออีกเพียบ หยุดจับเมื่อไหร่จำนวนจะพุ่งขึ้นอีก
 
วันที่ 23 พฤศจิกายน ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลา ในฐานะคณะกรรมการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ เปิดเผยกับ มติชนออนไลน์ ว่า สถานการณ์ปลาหมอคางดำล่าสุด แม้ในทางข่าวจะเงียบๆไป แต่ในสถานการณ์ความจริงล่าสุดยังน่าเป็นห่วงอยู่ เพราะมันกระจายตัวเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆและรวดเร็ว  พื้นที่ ที่ยังคงล่าปลาหมอคางดำจริงจังคือ จ.สมุทรสาคร ที่มีการออกไปจับ ทั้งเอาไปขายราคาถูก ทำอาหาร ตัวเล็กๆเอาไปทำปุ๋ย ทำปลาร้า ทำน้ำหมักชีวภาพ รดน้ำต้นไม้  อย่างไรก็ตาม เมื่อไรที่หยุดทำ ปริมาณก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นอีก เพราะมันขยายพันธุ์เพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็วมาก
 
ในภาพรวมทั่วประเทศเวลานี้ เราสามารถกำจัดปลาหมอคางดำได้แล้วประมาณ 2 ล้าน กิโลกรัมหรือ ราวๆ30% อีก 70% ยังเหลืออยู่ ซึ่งต้องพยายามกำจัดต่อไป เราตั้งเป้าคือ ให้เหลือ 0 ตัว คือให้หมดไปเลย คณะกรรมการขอ งบประมาณในการดำเนินการเรื่องนี้ทั่วประเทศ 450 ล้านบาท แต่ได้มาแค่ 10 ล้าน บาท ที่เหลือ ทางกระทรวงเกษตรก็ต้องเอาเงินจากส่วนอื่นๆมาสมทบ เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ได้”ดร.ชวลิต กล่าว
 
เมื่อถามว่า ในพื้นที่ จ.สงขลา ที่กลัวกันว่า ปลาหมอคางดำจะไประบาดที่นั่น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ดร.ชวลิต กล่าวว่า ตรวจสอบแล้ว ยังไม่พบ อาจจะเป็นเพราะ 1. ระหว่างแหล่งน้ำทั่งไปกับทะเลสาบสงขลานั้น มีคันดินกั้นอยู่ ปลาหมอคางดำจึงเข้าไปไม่ได้ และ 2. คาดว่า บางตัวอาจจะเล็ดรอดเข้าไป แต่ทะเลสาบสงขลานั้นมีความหลากหลายของปลามาก เข้าไปแล้ว อาจจะถูกปลาเจ้าถิ่นกินหมด

เมื่อถามอีกว่า เนื้อของปลาหมอคางดำ ที่เคยส่งเสริมให้นำมารับประทานนั้น ตอนนี้ได้รับความนิยมไหม ดร. ชวลิต กล่าวว่า ตนเคยกินแล้ว ไม่อร่อยเท่าปลานิล รสชาติแห้งๆ แต่ก็ไม่ได้แย่มาก พอกินได้ แต่ตัวเล็กๆ กินไม่ได้ เพราะจะมีกระดูกก้างเยอะ ต้องกินตัวใหญ่ๆเท่านั้น



ไทยเตรียมรับมือ “ทรัมป์” 2.0 คาดฉุดจีดีพีไทย ลด 0.87% สูญรายได้ 1.6 แสนล้านบาท
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1154628
 
• นโยบายทรัมป์ 2.0  ขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% และจากประเทศอื่นที่ได้ดุลการค้า 10-15%   
• ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจม.หอการค้าไทย คาดนโยบายทรัมป์ 2.0  ทำเสียหายถึง 160,472 ล้านบาท
• ทุบส่งออกไทยลดลง 1.52% และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลดลง 0.87%
• ปี 68 คาดส่งออกไทยรับผลกระทบนโยบายทรัมป์  จะขยายตัว 1.24 % มูลค่า 297,892 ล้านดอลลาร์        
 
การกลับมานั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐรอบ 2 ของ"นายโดนัลด์ ทรัมป์" ทำให้โลกจับตานโยบายการค้าของสหรัฐ เพราะก่อนหน้านี้ที่ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ก็ทำให้โลกการค้าปั่นป่วนเกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน กระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะทั้ง 2 ประเทศ คือมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
 
โลกกังวลถึงนโยบายทรัมป์ 2.0 จะผลกระทบเศรษฐโลกและเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะมาตรการเก็บภาษีนำเข้าทั้งหมด 10-20% ยกเว้นสินค้าจากจีนซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษีพิเศษ 60%  กลายเป็นสงครามการค้า รอบ 2
 
"ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" ได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่มีต่อเศรษฐกิจไทย โดยประเมินว่า หากนายทรัมป์ดำเนินนโยบายทุกอย่างตามที่หาเสียงไว้ ทั้งการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 60% และจากประเทศอื่นที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ รวมถึงไทย 10-15%, ลดพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศนั้น ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะเสียหายถึง 160,472 ล้านบาท หรือทำให้การส่งออกไทยลดลง 1.52% และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ลดลง 0.87% 
แบ่งเป็น
 
 ผลกระทบทางตรง ทำให้ 
 
1."ค่าเงินบาท" มีแนวโน้มอ่อนค่าหากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง เนื่องจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า
  
2." การส่งออก " สินค้าของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ลดลง 3,106 ล้านดอลลาร์หรือ 108,714 ล้านบาท   คิดเป็น 1.03% ต่อการส่งออกรวม และ 0.59% ต่อ GDP
สินค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม ยานพาหนะ และยางและผลิตภัณฑ์ยาง เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น
  
3.การลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” และการสนับสนุนให้ย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในไทยลดลง
   
ผลกระทบทางอ้อม การส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานจีน-สหรัฐฯ ลดลง 49,105 ล้านบาท และการส่งออกวัตถุดิบของไทยในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ-จีน ลดลง 2,653 ล้านบาท) ได้แก่
 
1. การส่งออกวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานจีน-สหรัฐฯ การขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 60% อาจทำให้ไทยสูญเสียมูลค่าการส่งออกวัตถุดิบที่เชื่อมโยงกับจีนไปกว่า 1,403 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 49,105 ล้านบาท) คิดเป็น 0.46% ของการส่งออกรวม และ 0.27% ของ GDP
  
2. การส่งออกวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ-จีน หากจีนมีการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ วัตถุดิบไทยที่เชื่อมโยงกับการส่งออกของสหรัฐฯ ไปจีนอาจลดลงอีก 75.8 ล้านดอลลาร์ฯ (ประมาณ 2,653 ล้านบาท) คิดเป็น 0.03% ของการส่งออกรวม และ 0.01% ของ GDP
 
3. การทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทย นโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ทำให้จีนอาจจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้สินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โลหะ และสิ่งทอ
 
อย่างไรก็ตามไทยมีโอกาสส่งออกสินค้าไทยเพื่อทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐ แทนสินค้าจีน โดยเฉพาะในหมวดเครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางและผลิตภัณฑ์ยาง และของเล่น หากไทยสามารถปรับตัวและขยายการผลิตให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้
“นโยบายการขึ้นภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการส่งออกของไทยรวมกันแล้ว อาจจะทำให้ไทยสูญเสียมูลค่าส่งออก 160,472 ล้านบาท การส่งออกหายไป 1.52% ฉุดให้ภาพรวมจีดีพีไทยปรับลดลง 0.87%”
   
 นอกจากนี้ทางศูนย์ ยังเคราะห์ทิศทางการส่งออกไทยในไตรมาส 4 ปี 2567 และการส่งออกปี 2568 ว่า เศรษฐกิจคู่ค้าของไทยในไตรมาส 4 มีแนวโน้มชะลอตัวลง หรือฟื้นตัวลงทั้ง สหรัฐ ยุโรป จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การส่งออกไตรมาส 4/67 ชะลอตัว ได้แก่ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าลงของยุโรป และอาเซียน ค่าเงินบาทที่ผันผวน และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ
ส่วนปัจจัยสนับสนุนการส่งออกไตรมาส 4/67 ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวในประเทศต่าง ๆ ทำให้หลายประเทศลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลดีต่อการบริโภค และการลงทุนของประเทศต่าง ๆ สำหรับสินค้าส่งออกหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไตรมาส 4/67 เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ทองคำ เครื่องจักรกล อาหารและเครื่องดื่ม และอัญมณี ส่วนตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยไตรมาส 4/67 คือ สหรัฐฯ อาเซียน สหภาพยุโรป อินเดีย และออสเตรเลีย
 
ดังนั้น ไตรมาส 4 คาดว่า การส่งออกไทยจะขยายตัว 1.2%โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 0.12-2.21%มูลค่า 71,055 ล้านดอลลาร์  ขณะที่ทั้งปี 67 คาดการส่งออกไทยขยายตัว3.21%โดยช่วงคาดการณ์ที่2.95-3.46%หรือมีมูลค่า294,231ล้านดอลลาร์หรือช่วงคาดการณ์ 293,474 – 294,945ล้านดอลลาร์
สำหรับการส่งออกไทยในปี 2568 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวได้ 2.8% (กรอบ 2.55-3.03%) หรือคิดเป็นมูลค่า 302,477 ล้านดอลลาร์(กรอบ 301,741 - 303,213 ล้านดอลลาร์) โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้การส่งออกปี 68 เติบโต ได้แก่ เศรษฐกิจโลกและการค้าโลกที่ขยายตัว อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว การลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ และการบริโภคที่ฟื้นตัวในหลายประเทศ
 
โดยสินค้าส่งออกหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยปี 68 เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล ผลไม้สด แช่แข็ง และอัญมณี โดยตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยปี 68 คือ สหรัฐฯ อาเซียน ยุโรป อินเดีย และออสเตรเลีย
 
แต่หากปีหน้า สหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าจีน 60%และไทย 10%การส่งออกจะเหลือขยายตัวเพียง 1.24%มูลค่าลดลงเหลือ 297,892 ล้านดอลลาร์ และกรณีแย่ที่สุด หากสหรัฐเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่มเป็น 15%และจีนยังคงโดนที่ 60%การส่งออกไทยจะขยายตัวแค่ 0.72%มูลค่าเหลือ 296,339 ล้านดอลลาร์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่