JJNY : ประกาศปลดพนง.เกือบทั้งบริษัท│ปชน.จี้รบ.มุ่งมั่นลดก๊าซเรือนกระจก│ชัยชนะทรัมป์ฉุดริงกิต!│2567 จ่อขึ้นแท่นปีร้อนสุด

‘บริษัทดังชลบุรี’ ประกาศปลดพนักงานเกือบทั้งบริษัท ที่เหลือหยุดยาว 2 เดือน
https://www.dailynews.co.th/news/4056665/
 
 
"บริษัทแผงโซลาร์เซลล์ที่หนองใหญ่" ปลดพนักงานเกือบทั้งบริษัท ที่เหลือหยุดยาว 2 เดือน งานนี้ทำเอาชาวเน็ตแห่คอมเมนต์กันสนั่น

เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 67 มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์” ได้โพสต์ข้อความสุดอึ้ง หลังบริษัทหนองใหญ่ จ.ชลบุรี ประกาศปลดพนักงานเกือบทั้งโรงงาน นับเป็นอีกหนึ่งข่าวเศร้าของมนุษย์เงินเดือน
 
โดยเพจนิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์ ระบุข้อความว่า 

“เกิดอะไรขึ้นบริษัทที่ หนองใหญ่ ชลบุรี ปลดคนงานออกอย่างเยอะ ตกงานต้อนรับปีใหม่ คนที่ไม่ถูกปลดก็หยุดยาวตั้งแต่เดือนนี้ไปถึงปีใหม่”
 
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันเป็นจำนวนมาก โดยชาวเน็ตบางคนก็ต่างเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยอีกด้วย..
 
ขอบคุณข้อมูล : นิวส์ชลบุรี-ระยอง ออนไลน์

https://www.facebook.com/newschonburirayongonline01/posts/pfbid0371wjH9ovssynFRcYvRuNk1dX5GCmY5suFPBTHDBieM5nb2XrgS5TqfZcPiweLr51l



พรรคประชาชน จี้รบ.มุ่งมั่นลดก๊าซเรือนกระจกจริงจัง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_799783/

“ศนิวาร-วรภพ” พรรคประชาชน แถลงท่าทีไทยในเวทีโลก(เดือด) COP29″ หวังรัฐบาลไทย แสดงความมุ่งมั่นลดก๊าซเรือนกระจกจริงจัง จี้ นายกฯ เซ็น ร่างกฎหมาย ดันออกมาบังคับใช้ก่อนปี 2026
 
นางสาวศนิวาร บัวบาน พร้อมด้วย นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แถลง Policy Watch: “ท่าทีไทยในเวทีโลก(เดือด) COP29”  โดยนางสาวศนิวาร ชี้ให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไทยเกิดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ ภาวะโลกรวน สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยกว่า 280,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.82% ของ GDP แม้ไทยมีแผนปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ แต่กลับไม่มีเป้าหมายและตัวชี้วัด ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการป้องกัน ไม่มีแนวนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงไม่มีกรอบงบประมาณที่ชัดเจน
 
ดังนั้น หากรัฐบาลไทยยืนยันต่อที่ประชุม Cop 29 ได้ชัดเจน แสดงความมุ่งมั่นที่จะลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง เวทีนี้ จะแสดงให้นานาประเทศเห็นถึงบทบาทของไทย
 
ด้านนายวรภพ กล่าวถึงความล่าช้าของไทยในการจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยย้อนไปในปี 2021 ของการประชุม COP 26 ในเวทีมีการวางเป้าหมายว่าในปี 2030 ลดก๊าซเรือกระจก 30-40% ปี 2050 เป็นกลางทางคาร์บอน และปี 2065 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ แต่ในปี 2024 ยังไม่มีความคืบหน้าในการขับเคลื่อนตามเป้าหมายจากรัฐบาลไทย วัดจาก 3 ปี หลังจากประชุม COP 26 และ 1 ปี ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย
 
สำหรับร่าง พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งพรรคก้าวไกลในขณะนั้น ยื่นเข้าสู่สภาฯ ในช่วงเดือน ธ.ค. ปี 2566 แต่เป็นกฎหมายการเงิน จึงต้องรอนายกรัฐมนตรีลงนาม โดยย้ำว่าร่างของพรรคก้าวไกล มีกลไกในการคุ้มครองสิทธิชุมชน และป้องกันการฟอกเขียวที่รัดกุมกว่า และร่างกฎหมายนี้ยังมีความสำคัญ คือ ไม่เกินอีก 1 ปี 2 เดือน สหภาพยุโรป จะเริ่มบังคับใช้ EU CBAM ในบางสินค้าตั้งแต่ปี 2026-2034 หากไทยยังไม่ผ่านร่างกฎหมายนี้ออกมา เท่ากับว่าสินค้าไทยที่เข้าข่าย ก็ต้องไปเสียภาษีคาร์บอนที่สหภาพยุโรป แทนที่จะเสียให้กับไทย
 
ขณะเดียวกัน ไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 372 ล้านตันคาร์บอน โดยในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ตนมีความเป็นห่วงร่างแผนพัฒนาพลังงานแห่งชาติ (PDP) ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย อีกทั้ง รัฐบาลไม่มีนโยบายที่สนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพ ด้านอุตสาหกรรม ด้านเกษตร ด้านสินค้า และอุตสาหกรรมสีเขียว รวมถึงไม่มีมาตรการสนับสนุนภาคของเสีย และภาคป่าไม้
 
อย่างไรก็ตาม สภาวะโลกรวน จะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย จึงขอให้ประชาชนติดตามการท่าทีของไทยในประชุม COP 29โดยเฉพาะการเริ่มทำตามแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ของประเทศ 30-40 % การเร่งออก พรบ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภายในครึ่งปีแรก 2025 การทบทวนแผน PDPไม่สร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลเพิ่ม การออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมและเกษตร ปรับเปลี่ยนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
 


ชัยชนะทรัมป์ฉุดริงกิต! สกุลเงินมาเลเซียเสี่ยงร่วง หลังตลาดกังวลภาษีสหรัฐ
https://www.bangkokbiznews.com/world/1152692

ชัยชนะในการเลือกตั้งของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และนโยบายภาษีที่อาจจะเกิดขึ้น เสี่ยงกดดันมูลค่าเงิน ‘ริงกิต’ ของมาเลเซียให้ร่วง ซึ่งเดิมทำผลงานได้ดีในเอเชีย โดยสัดส่วนการค้าคิดเป็น 130% ของจีดีพีมาเลเซีย
 
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “สกุลเงินริงกิต” ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นสกุลเงินในเอเชียเกิดใหม่เพียงสกุลเดียวที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ อาจมีแนวโน้ม “ชะลอตัวลง” เนื่องจากความเสี่ยงจากชัยชนะเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์
 
เมื่อสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ประกอบกับความกังวลการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ จึงส่งผลให้สกุลเงินริงกิตของมาเลเซีย ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมในสัปดาห์นี้ โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับสามของมาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วน 11% ทำให้สกุลเงินริงกิตมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อมาตรการภาษีสหรัฐใหม่อาจเตรียมบังคับใช้
 
จนถึงสิ้นปี ความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีและผลกระทบต่อเงินเฟ้อ อาจส่งผลให้สกุลเงินในเอเชีย รวมถึงสกุลริงกิตอ่อนค่าลง” คริสโตเฟอร์ 
หว่อง 
นักกลยุทธ์ด้านสกุลเงินจาก Oversea-Chinese Banking ในสิงคโปร์กล่าว เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้มีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงระดับโลกชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก และทำให้เกิดความกังวลว่า ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งนี้อาจเรียกเก็บภาษีสูงถึง 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และ 20% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับสกุลเงินริงกิต
ทั้งนี้ สกุลเงินริงกิตปิดตลาดโดยแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 4.4043 ต่อดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.)
 
ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี “ริงกิต” เป็นสกุลเงินที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในเอเชีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากภาษีการค้า
 
ข้อมูลจากธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า การค้าคิดเป็น 130% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของมาเลเซีย ทำให้มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาการค้ามากที่สุดในภูมิภาค
 
แม้ว่าการประกาศใช้ภาษีในสหรัฐ อาจต้องใช้เวลานาน ความไม่แน่นอนนี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดได้
 
การขู่ของทรัมป์เรื่องภาษีถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดที่ตลาดกังวล แต่เรายังไม่ทราบว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่านโยบายเหล่านั้นจะถูกบังคับใช้ หรือหากมันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่หว่องจาก Oversea-Chinese Banking กล่าว
 
อ้างอิง: bloomberg
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่