กมธ.ความมั่นคงฯ ขอ มท.ทบทวนสัญญาซื้อไฟฟ้าชายแดนแม่สาย หลังพบเชื่อมโยงฟอกเงิน
https://prachatai.com/journal/2024/10/111195
กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร แสดงความกังวล กฟภ.ล่าช้าจัดการปัญหา หลัง ปปง.ยืนยันพบ 22 บัญชีม้าเชื่อมโยงการฟอกเงินยาเสพติดผ่านการซื้อขายไฟฟ้าที่บริเวณชายแดน ด้าน ป.ป.ส.ชี้พบหลักฐานเส้นทางการเงินเชื่อมโยงชัดเจน พร้อมเร่งตรวจสอบจุดซื้อขายไฟฟ้าอื่นตามชายแดน
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2567 ว่า นาย
รังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงผลการประชุม กมธ.ว่า กมธ.ได้พิจารณาติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด การฟอกเงิน และการใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งกรณีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อ กมธ. อาทิ กระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงข้อมูลว่า กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความพยายามในการเปลี่ยนคู่สัญญา โดยอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจาก 27 หน่วยงานด้านความมั่นคง พร้อมได้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อขอหลักฐานความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดที่เกี่ยวเนื่องกับ กฟภ. โดยได้รับคำชี้แจงจาก ป.ป.ส. ถึงหนังสือที่เคยทำข้อสังเกตว่าด้วยความเชื่อมโยงและหลักฐานประกอบความผิดการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดอันมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงสู่บริษัทเอกชนและการไฟฟ้า ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะนำหนังสือดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับคำพิพากษาในคดีความที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความคิดเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการพิจารณามาตรการกำกับดูแลตามความเหมาะสมต่อไป
ขณะที่ กฟภ.ชี้แจงว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านความมั่นคง ซึ่งต้องมีการสอบถามความคิดเห็นจากหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อน เพื่อพิจารณาว่ากรณีดังกล่าวเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือไม่ พร้อมทั้งยืนยันว่าแม้ ป.ป.ส. จะอายัดหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่ไม่ได้อายัดตัวสัญญา จึงยังสามารถซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาต่อไปได้ โดยเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ค้ำประกันจากเดิมที่เป็นวงเงิน Bank Guarantee เป็นการวางเงินสดจำนวน 70 ล้านบาทในนามของการไฟฟ้าท่าขี้เหล็ก นอกจากนี้ กฟภ. ยังมีความเห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานความผิดที่เพียงพอต่อการตัดสินใจยุติสัญญาดังกล่าว
ส่วน ป.ป.ส. ยืนยันพบหลักฐานเชื่อมโยงเส้นทางการเงินระหว่างเงินที่บริษัทเอกชนจ่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแม่สายกับการฟอกเงินผ่านบัญชีม้าของขบวนการยาเสพติด ในส่วนที่กระทรวงมหาดไทยได้สอบถามถึงความเสี่ยงลักษณะเดียวกัน ในจุดการซื้อ-ขายไฟฟ้าอื่นๆ ทาง ป.ป.ส. จะได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและตอบกลับข้อซักถามของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ให้ข้อมูลยืนยันความผิดฐานเป็นบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดจำนวน 22 บัญชี และมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงสู่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแม่สาย นอกจากนี้ ปปง. ได้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 500 บัญชี ซึ่งมีความผิดปกติและเกี่ยวเนื่องกับความผิดอื่นๆ ทั้งการหลอกลวงออนไลน์ การพนันออนไลน์ และการโอนเงินออกนอกประเทศโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้พบข้อจำกัดด้านข้อกฎหมายในการเอาผิดเกี่ยวกับธุรกิจโพยก๊วนที่ทำการแลกเปลี่ยนเงินข้ามประเทศแบบไม่ผ่านสถาบันการเงินด้วย
ด้าน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ยืนยัน ว่าจะตรวจสอบบัญชีทั้งหมดกว่า 513 บัญชีโดยครบถ้วน แต่ปัจจุบันนี้กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 ผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบ กำลังเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและกำลังพล จึงดำเนินการสอบสวนได้อย่างล่าช้า ทั้งนี้ สำนักงานจเรตำรวจ (จต.) ในฐานะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันในคำชี้แจงเดิม ตามที่เคยได้ชี้แจงต่อ กมธ.ถึงมูลความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 12 นาย ผู้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและถอนหมายจับของอดีตสมาชิกวุฒิสภา แต่ปัจจุบันผลการสอบสวนดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรอการตัดสินลงโทษและดำเนินการเอาผิดต่อไป ทั้งนี้ได้แสดงความกังวลข้อจำกัดในการเอาผิดตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจาก 1 ในผู้เกี่ยวข้องเป็นนายตำรวจเกษียณ อันใกล้จะครบกรอบเวลา 3 ปีตามที่กำหนดไว้ จึงเสนอให้คณะกรรมาธิการติดตามเร่งรัดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยตรง ก่อนที่จะพ้นกรอบเวลาดังกล่าว
ภายหลังการพิจารณา กมธ.ได้แสดงความกังวลต่อการดำเนินการของ กฟภ.ที่มีความล่าช้า อีกทั้งยังมีมุมมองที่แตกต่างกันในข้อเท็จจริงของคดีความว่าด้วยการฟอกเงินผ่านบัญชีม้าของขบวนการยาเสพติด ซึ่ง กมธ.และหน่วยงานอื่น ๆ พยายามนำเสนอ พร้อมกันนี้ กมธ.ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในความตั้งใจที่จะสกัดความเคลื่อนไหวของขบวนการยาเสพติด อันกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะเครือข่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ โดยขอให้กระทรวงมหาดไทย ทบทวนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายว่าควรจะยกเลิกสัญญา หรือไม่ เนื่องจากไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะอาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยงต่อการทำให้กระบวนยาเสพติดตามแนวชายแดนเติบโตได้ ทั้งนี้ กมธ.ได้รับข้อเสนอแนะของทุกหน่วยงานเพื่อนำไปหารือต่อ และจะติดตามผลการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยในเรื่องมาตรการกำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึงการพิจารณายกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศต่อไป
กสม. เสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็ก หลังเกิดโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา
https://prachatai.com/journal/2024/10/111192
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็ก หลังเกิดโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา - แนะกระทรวงแรงงาน ยกเลิกแนวปฏิบัติสำนักงานประกันสังคม กรณีไม่จ่ายเงินสงเคราะห์ของผู้ประกันตนซึ่งถึงแก่ความตายให้กับบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 36/2567 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
1. กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กจากอุบัติเหตุบนท้องถนน หลังเกิดโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์รถทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ประสบอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2567 ส่งผลให้นักเรียนและครูได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) จึงได้จัดเวทีรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กตามหลักสิทธิมนุษยชนเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งสำเนาแจ้งไปยังประธานรัฐสภา เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา สรุปได้ ดังนี้
จากการรวบรวมข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์โศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษาดังกล่าวเกิดจากอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของรถชำรุดและมีประกายไฟ ทำให้เชื้อเพลิงหลักของรถคือก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) ติดไฟและไหม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรถคันดังกล่าวถูกดัดแปลงเพื่อติดตั้งถังก๊าซ CNG มากกว่าจำนวนที่จดแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก อีกทั้งคนขับรถไม่ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในรถและประตูฉุกเฉินไม่สามารถเปิดออกได้
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า อุบัติเหตุทางถนนกระทบต่อสิทธิและความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของทุกคน โดยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) บัญญัติให้เด็กและเยาวชนมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอดและสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองในทุกรูปแบบเพื่อให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ อีกทั้งคณะกรรมการประจำ CRC มีข้อกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุและการบาดเจ็บทางถนนในประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเสียชีวิต จึงแนะนำให้รัฐดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างนโยบายการดูแลเด็ก และการสร้างความตระหนักเรื่องความปลอดภัยของเด็กแก่ครอบครัว โรงเรียน และสังคมโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 พบว่า มีรถรับส่งนักเรียนและรถทัศนศึกษาเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง แม้ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางมาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน รวมถึงมีกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติและขาดการบังคับใช้อย่างจริงจัง จึงมีรถรับส่งนักเรียนจำนวนมากที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย บางส่วนดัดแปลงสภาพและนำมาใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย กสม. จึงเห็นว่า รัฐยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายความปลอดภัยทางถนน และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้รถทัศนศึกษา การใช้รถโดยสารสาธารณะและรถรับส่งนักเรียน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2567 กสม. โดยประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงมีหนังสือด่วนที่สุด เรื่องข้อเสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กตามหลักสิทธิมนุษยชนจากโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา แจ้งไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายและสิทธิเด็กให้ได้รับความปลอดภัยบนท้องถนน รวมถึงยุติการบาดเจ็บและเสียชีวิตให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว สรุปได้ดังนี้
(1) ให้ ครม. กำหนดให้ความปลอดภัยทางถนนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อยุติการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งสมควรมอบหมายให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบภาพรวมเป็นการเฉพาะ (single command) เพื่อกำกับติดตาม รายงานสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน และประเมินผลเพื่อรายงานให้ ครม. ทราบความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อยกเลิกการใช้รถโดยสารสองชั้นและรถที่ติดตั้งถังก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) เป็นเชื้อเพลิงมาใช้เป็นรถทัศนศึกษาและรถโดยสารสาธารณะ
(2) ในด้านการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน ให้ ครม. มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกเพิ่มความเข้มงวดผู้ที่ขออนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถโดยสาร การต่ออายุใบอนุญาต และการขออนุญาตแก้ไขดัดแปลงสาระสำคัญของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงการตรวจสอบ กำกับสถานประกอบการเอกชนและผู้ประกอบวิชาชีพ ที่ทำหน้าที่ออกหรือต่อใบอนุญาตให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายกับรถโดยสารสาธารณะที่ถูกดัดแปลงหรือไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต
JJNY : กมธ.ความมั่นคงฯ ขอมท.ทบทวน│กสม.แนะมาตรการคุ้มครองเด็ก│"ไพศาล"โพสต์เตือนระวังทำผิดรธน.│“จ่ามี”ขึ้นฝั่งเวียดนามแล้ว
https://prachatai.com/journal/2024/10/111195
กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ สภาผู้แทนราษฎร แสดงความกังวล กฟภ.ล่าช้าจัดการปัญหา หลัง ปปง.ยืนยันพบ 22 บัญชีม้าเชื่อมโยงการฟอกเงินยาเสพติดผ่านการซื้อขายไฟฟ้าที่บริเวณชายแดน ด้าน ป.ป.ส.ชี้พบหลักฐานเส้นทางการเงินเชื่อมโยงชัดเจน พร้อมเร่งตรวจสอบจุดซื้อขายไฟฟ้าอื่นตามชายแดน
เว็บไซต์สถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา รายงานเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2567 ว่า นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะ แถลงผลการประชุม กมธ.ว่า กมธ.ได้พิจารณาติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ในคดียาเสพติด การฟอกเงิน และการใช้บัญชีม้าในขบวนการยาเสพติดที่เชื่อมโยงกับอาชญากรรมที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ รวมทั้งกรณีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อ กมธ. อาทิ กระทรวงมหาดไทย ได้ชี้แจงข้อมูลว่า กระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้กำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ได้รับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความพยายามในการเปลี่ยนคู่สัญญา โดยอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็นจาก 27 หน่วยงานด้านความมั่นคง พร้อมได้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อขอหลักฐานความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดที่เกี่ยวเนื่องกับ กฟภ. โดยได้รับคำชี้แจงจาก ป.ป.ส. ถึงหนังสือที่เคยทำข้อสังเกตว่าด้วยความเชื่อมโยงและหลักฐานประกอบความผิดการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดอันมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงสู่บริษัทเอกชนและการไฟฟ้า ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยจะนำหนังสือดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับคำพิพากษาในคดีความที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความคิดเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อนำเสนอต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการพิจารณามาตรการกำกับดูแลตามความเหมาะสมต่อไป
ขณะที่ กฟภ.ชี้แจงว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนการพิจารณาผลกระทบด้านความมั่นคง ซึ่งต้องมีการสอบถามความคิดเห็นจากหน่วยงานด้านความมั่นคงก่อน เพื่อพิจารณาว่ากรณีดังกล่าวเป็นการกระทำที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ หรือไม่ พร้อมทั้งยืนยันว่าแม้ ป.ป.ส. จะอายัดหลักทรัพย์ค้ำประกันสัญญาซื้อขายไฟฟ้า แต่ไม่ได้อายัดตัวสัญญา จึงยังสามารถซื้อขายไฟฟ้าตามสัญญาต่อไปได้ โดยเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ค้ำประกันจากเดิมที่เป็นวงเงิน Bank Guarantee เป็นการวางเงินสดจำนวน 70 ล้านบาทในนามของการไฟฟ้าท่าขี้เหล็ก นอกจากนี้ กฟภ. ยังมีความเห็นว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานความผิดที่เพียงพอต่อการตัดสินใจยุติสัญญาดังกล่าว
ส่วน ป.ป.ส. ยืนยันพบหลักฐานเชื่อมโยงเส้นทางการเงินระหว่างเงินที่บริษัทเอกชนจ่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแม่สายกับการฟอกเงินผ่านบัญชีม้าของขบวนการยาเสพติด ในส่วนที่กระทรวงมหาดไทยได้สอบถามถึงความเสี่ยงลักษณะเดียวกัน ในจุดการซื้อ-ขายไฟฟ้าอื่นๆ ทาง ป.ป.ส. จะได้เร่งดำเนินการตรวจสอบและตอบกลับข้อซักถามของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ให้ข้อมูลยืนยันความผิดฐานเป็นบัญชีม้าที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินของขบวนการยาเสพติดจำนวน 22 บัญชี และมีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงสู่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแม่สาย นอกจากนี้ ปปง. ได้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีที่เกี่ยวข้องอีกกว่า 500 บัญชี ซึ่งมีความผิดปกติและเกี่ยวเนื่องกับความผิดอื่นๆ ทั้งการหลอกลวงออนไลน์ การพนันออนไลน์ และการโอนเงินออกนอกประเทศโดยผิดกฎหมาย ทั้งนี้พบข้อจำกัดด้านข้อกฎหมายในการเอาผิดเกี่ยวกับธุรกิจโพยก๊วนที่ทำการแลกเปลี่ยนเงินข้ามประเทศแบบไม่ผ่านสถาบันการเงินด้วย
ด้าน กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ยืนยัน ว่าจะตรวจสอบบัญชีทั้งหมดกว่า 513 บัญชีโดยครบถ้วน แต่ปัจจุบันนี้กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 3 ผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบ กำลังเผชิญกับข้อจำกัดด้านงบประมาณและกำลังพล จึงดำเนินการสอบสวนได้อย่างล่าช้า ทั้งนี้ สำนักงานจเรตำรวจ (จต.) ในฐานะผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันในคำชี้แจงเดิม ตามที่เคยได้ชี้แจงต่อ กมธ.ถึงมูลความผิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 12 นาย ผู้เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือและถอนหมายจับของอดีตสมาชิกวุฒิสภา แต่ปัจจุบันผลการสอบสวนดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรอการตัดสินลงโทษและดำเนินการเอาผิดต่อไป ทั้งนี้ได้แสดงความกังวลข้อจำกัดในการเอาผิดตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจาก 1 ในผู้เกี่ยวข้องเป็นนายตำรวจเกษียณ อันใกล้จะครบกรอบเวลา 3 ปีตามที่กำหนดไว้ จึงเสนอให้คณะกรรมาธิการติดตามเร่งรัดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยตรง ก่อนที่จะพ้นกรอบเวลาดังกล่าว
ภายหลังการพิจารณา กมธ.ได้แสดงความกังวลต่อการดำเนินการของ กฟภ.ที่มีความล่าช้า อีกทั้งยังมีมุมมองที่แตกต่างกันในข้อเท็จจริงของคดีความว่าด้วยการฟอกเงินผ่านบัญชีม้าของขบวนการยาเสพติด ซึ่ง กมธ.และหน่วยงานอื่น ๆ พยายามนำเสนอ พร้อมกันนี้ กมธ.ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในความตั้งใจที่จะสกัดความเคลื่อนไหวของขบวนการยาเสพติด อันกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะเครือข่ายที่มีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของรัฐ โดยขอให้กระทรวงมหาดไทย ทบทวนนโยบายการซื้อขายไฟฟ้าบริเวณชายแดนอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายว่าควรจะยกเลิกสัญญา หรือไม่ เนื่องจากไม่เป็นผลดีต่อประเทศไทย เพราะอาจทำให้ประเทศมีความเสี่ยงต่อการทำให้กระบวนยาเสพติดตามแนวชายแดนเติบโตได้ ทั้งนี้ กมธ.ได้รับข้อเสนอแนะของทุกหน่วยงานเพื่อนำไปหารือต่อ และจะติดตามผลการพิจารณาของกระทรวงมหาดไทยในเรื่องมาตรการกำกับดูแลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึงการพิจารณายกเลิกสัญญาซื้อขายไฟฟ้าที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศต่อไป
กสม. เสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็ก หลังเกิดโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา
https://prachatai.com/journal/2024/10/111192
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็ก หลังเกิดโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา - แนะกระทรวงแรงงาน ยกเลิกแนวปฏิบัติสำนักงานประกันสังคม กรณีไม่จ่ายเงินสงเคราะห์ของผู้ประกันตนซึ่งถึงแก่ความตายให้กับบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 36/2567 โดยมีวาระสำคัญดังนี้
1. กสม. มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กจากอุบัติเหตุบนท้องถนน หลังเกิดโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่เกิดเหตุการณ์รถทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จังหวัดอุทัยธานี ประสบอุบัติเหตุ เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2567 ส่งผลให้นักเรียนและครูได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหากรณีดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษชนแห่งชาติ (กสม.) จึงได้จัดเวทีรับฟังข้อเท็จจริงและความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กตามหลักสิทธิมนุษยชนเสนอต่อนายกรัฐมนตรี รวมทั้งสำเนาแจ้งไปยังประธานรัฐสภา เพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการพิจารณาศึกษาแนวทางการป้องกันและลดอุบัติเหตุเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน รัฐสภา สรุปได้ ดังนี้
จากการรวบรวมข้อมูลและรับฟังความคิดเห็น ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์โศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษาดังกล่าวเกิดจากอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนของรถชำรุดและมีประกายไฟ ทำให้เชื้อเพลิงหลักของรถคือก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) ติดไฟและไหม้อย่างรวดเร็ว ซึ่งรถคันดังกล่าวถูกดัดแปลงเพื่อติดตั้งถังก๊าซ CNG มากกว่าจำนวนที่จดแจ้งต่อกรมการขนส่งทางบก อีกทั้งคนขับรถไม่ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในรถและประตูฉุกเฉินไม่สามารถเปิดออกได้
กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า อุบัติเหตุทางถนนกระทบต่อสิทธิและความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายอันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งของทุกคน โดยอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) บัญญัติให้เด็กและเยาวชนมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอดและสิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครองในทุกรูปแบบเพื่อให้เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ อีกทั้งคณะกรรมการประจำ CRC มีข้อกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุและการบาดเจ็บทางถนนในประเทศไทยที่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กเสียชีวิต จึงแนะนำให้รัฐดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างนโยบายการดูแลเด็ก และการสร้างความตระหนักเรื่องความปลอดภัยของเด็กแก่ครอบครัว โรงเรียน และสังคมโดยรวม
อย่างไรก็ตาม ในปี 2567 พบว่า มีรถรับส่งนักเรียนและรถทัศนศึกษาเกิดอุบัติเหตุหลายครั้ง แม้ว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางมาตรการด้านความปลอดภัยของรถรับส่งนักเรียน รวมถึงมีกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว แต่ยังไม่มีผลในทางปฏิบัติและขาดการบังคับใช้อย่างจริงจัง จึงมีรถรับส่งนักเรียนจำนวนมากที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย บางส่วนดัดแปลงสภาพและนำมาใช้เป็นรถรับส่งนักเรียนที่ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย จนทำให้เกิดอุบัติเหตุและความสูญเสีย กสม. จึงเห็นว่า รัฐยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการดำเนินการตามนโยบายความปลอดภัยทางถนน และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวกับการใช้รถทัศนศึกษา การใช้รถโดยสารสาธารณะและรถรับส่งนักเรียน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2567 กสม. โดยประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงมีหนังสือด่วนที่สุด เรื่องข้อเสนอแนะมาตรการความปลอดภัยเพื่อคุ้มครองเด็กตามหลักสิทธิมนุษยชนจากโศกนาฏกรรมรถทัศนศึกษา แจ้งไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอ ครม. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายและสิทธิเด็กให้ได้รับความปลอดภัยบนท้องถนน รวมถึงยุติการบาดเจ็บและเสียชีวิตให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว สรุปได้ดังนี้
(1) ให้ ครม. กำหนดให้ความปลอดภัยทางถนนเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเพื่อยุติการเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งสมควรมอบหมายให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบภาพรวมเป็นการเฉพาะ (single command) เพื่อกำกับติดตาม รายงานสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุทางถนน และประเมินผลเพื่อรายงานให้ ครม. ทราบความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์เพื่อยกเลิกการใช้รถโดยสารสองชั้นและรถที่ติดตั้งถังก๊าซธรรมชาติอัด (CNG) เป็นเชื้อเพลิงมาใช้เป็นรถทัศนศึกษาและรถโดยสารสาธารณะ
(2) ในด้านการบังคับใช้กฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน ให้ ครม. มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบกเพิ่มความเข้มงวดผู้ที่ขออนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถโดยสาร การต่ออายุใบอนุญาต และการขออนุญาตแก้ไขดัดแปลงสาระสำคัญของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก รวมถึงการตรวจสอบ กำกับสถานประกอบการเอกชนและผู้ประกอบวิชาชีพ ที่ทำหน้าที่ออกหรือต่อใบอนุญาตให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด โดยร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายกับรถโดยสารสาธารณะที่ถูกดัดแปลงหรือไม่ได้รับการต่อใบอนุญาต