กลุ่ม CAP ออกแถลงการณ์กรณีตากใบ เรียกร้องรัฐสอบสวนระดับนานาชาติ-ประณามผู้กระทำความผิดลอยนวล
https://thestandard.co/cap-issues-statement-on-tak-bai-incident/
วานนี้ (25 ตุลาคม) กลุ่ม Civil Society Assembly For Peace: CAP ของสมัชชาภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ ออกแถลงการณ์กรณีตากใบจากครอบครัวผู้สูญเสียและองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่
ข้อความระบุว่า ‘คดีตากใบ: การสร้างความยุติธรรมและความรับผิดชอบร่วมกัน’
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ชุมนุมอย่างสันติที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 คืออาชญากรรมที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำต่อประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและไม่มีผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว เป็นเวลา 20 ปีที่ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ผู้บงการกลับลอยนวลพ้นผิด ทำให้พี่น้องและญาติผู้สูญเสีย รวมถึงประชาชนปาตานี / ชายแดนภาคใต้ มีความไม่พอใจและหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์จากเหตุการณ์ที่ตากใบ ในวาระครบรอบ 20 ปี แถลงการณ์ฉบับในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่คดีความหมดอายุ จึงมีข้อเรียกร้องสำคัญดังนี้
1. ให้รัฐบาลสอบสวนเหตุการณ์ในระดับนานาชาติ โดยการร้องขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบ หรือขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) เข้ามามีส่วนในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะเข้าข่ายกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องการใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุโดยรัฐในเหตุการณ์ตากใบ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
2. ให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่เคยลงนาม โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และสนับสนุนการจัดตั้งกลไกเพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิและความเป็นธรรมในกรณีอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้ผู้มีอำนาจรัฐตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงใหม่ โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมานี้ต้องมีความเป็นกลางและเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง
3. ให้รัฐบาลประณามการลอยนวลของผู้กระทำความผิด (Impunity) รัฐบาลควรเน้นย้ำให้เห็นว่าความล้มเหลวในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายในระดับชาติเป็นตัวอย่างของการลอยนวลของผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อความเป็นธรรมในระดับสากล ต้องให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทย
ทั้งนี้ เราขอยืนยันข้อเรียกร้องเหล่านี้ด้วยเจตจำนงที่มุ่งมั่นและเปิดกว้างต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลและผู้บริหารข้าราชการในพื้นที่ โดยเรามีความเชื่อมั่นว่าการแสวงหาความยุติธรรมในกรณีนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องของการลงโทษผู้กระทำผิด แต่คือการสร้างระบบที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ เราขอเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความยุติธรรมที่แท้จริง พร้อมทั้งสร้างความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการในพื้นที่ภาคใต้ที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมของทุกฝ่าย
ฝุ่นพิษฟุ้งกทม.‘ศกพ.’ขอประชาชนลดใช้รถยนต์-เลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
https://www.dailynews.co.th/news/4012922/
‘ศกพ.’ ขอความร่วมมือลดใช้รถยนต์ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หลังเตือนฝุ่นพิษฟุ้ง กทม. 25-27 ต.ค.
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ตามที่มีมวลอากาศเย็นที่แผ่เข้ามาบริเวณทางตอนเหนือ และทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ส่งผลให้พื้นที่ กทม. เกิดสภาพอากาศที่ปิด ฝุ่นละอองสะสมในชั้นบรรยากาศ ฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มที่สูง ระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค. นั้น
ศกพ. ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน 1.บำรุงดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช้รถยนต์ที่มีควันดำอย่างเด็ดขาด 2.ใช้รถเท่าที่จำเป็น ลดใช้รถยนต์ส่วนบุคคล 3.รักษาสุขภาพอนามัย 4.ตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้านจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Air4thai และศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ 5.ปฏิบัติตามคำแนะนำ สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร 6.หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง 7.หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์
โดยติดตามคุณภาพอากาศที่
http://air4thai.pcd.go.th/webV3/#/Home
ประกาศเตือน รับมือ พายุ'จ่ามี' ฝนตกหนัก แจ้งนอภ.32อำเภอ เฝ้าระวังอุทกภัย24ชม.
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9476797
นครราชสีมา ประกาศเตือน ชาวบ้านรับมือพายุ “จ่ามี” ทำฝนตกหนัก พ่อเมืองโคราช สั่งนอภ 32 อำเภอ ผู้บริหารท้องถิ่น พร้อมรับมือ-เฝ้า
ระวัง ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนอ่างเก็บน้ำ 27 แห่ง สมหวังเปิดอ่างฯเติมเต็มน้ำ ลุ้นลำตะคองพ้นวิกฤต เหตุน้ำผลิตประปาเหลือ 28 เปอร์เซ็นต์
26 ต.ค. 67 – ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้ออกประกาศฉบับที่ 4 เรื่องพายุ “จ่ามี” ว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ พายุโซนร้อนกำลังแรง “จ่ามี (TRAMI)” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากประมาณ 400 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะไหหลำ ประเทศจีนกำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
คาดว่า จะเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งทางด้านตอนกลาง ใกล้บริเวณเมืองดานังของประเทศเวียดนาม ในช่วงวันที่ 26-28 ตุลาคม 2567 โดยพายุนี้จะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย เนื่องจากยังมีมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุมทางด้านหน้าของพายุในช่วงดังกล่าว แต่อาจจะส่งผลกระทบทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง กับมีลมแรงในช่วงวันดังกล่าว
หลังจากนั้น พายุจะเปลี่ยนทิศทางเคลื่อนตัวออกห่างจากชายฝั่งประเทศเวียดนามกลับไปทางทะเลจีนใต้ ซึ่งทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีฝนลดลง
จึงคาดว่าจังหวัดที่จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา อำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนวันที่ 27 ตุลาคม 2567 ฝนตกหนักถึงหนักมาก จังหวัดมุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา สุรินทร์ ศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนวันที่ 28-29 ตุลาคม 2567 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก จังหวัดมุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี
จากการพยากรณ์และคาดการณ์ลักษณะอากาศดังกล่าว กองอำนวยการและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้อำนวยการจังหวัด จึงได้แจ้งโทรสารด่วนที่สุด ที่ นม. (กปภจ.) 0021/ว 202 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ไปถึงนายอำเภอทั้ง 32 อำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครราชสีมา
ให้เตรียมความพร้อมป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ระหว่างวันที่ 26-27 ตุลาคม 2567 ทั้งการแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ และระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมประโชกแรง
รวมทั้งให้แต่ละอำเภอประเมินพื้นที่เสี่ยงภัย บูรณาการเตรียมพร้อมทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัยและกำลังพลให้พร้อมปฏิบัติงานตามแผนเผชิญเหตุ และให้มีความพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยเร่งด่วน ตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้แต่ละอำเภอ ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภคไว้ด้วย และให้เร่งรัดสูบน้ำจากแหล่งน้ำดิบต่างๆ หรือจากฝนที่ตกลงในพื้นที่ สูบมาไว้ในแหล่งกักเก็บน้ำดิบผลิตประปาให้เต็มความจุ เพื่อให้มีน้ำสำรองเพียงพอใช้ในช่วงฤดูแล้งปีนี้และยาวไปถึงฤดูร้อนปีหน้า เนื่องจากสถานการณ์เก็บกักในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง จ.นครราชสีมา รวม 27 แห่ง
ล่าสุดวันนี้ พบว่า เหลือน้ำเก็บกักรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 624.98 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 51.19 % และเป็นน้ำใช้การได้ 562.14 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 48.55 % เท่านั้น โดยเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง ที่ส่งจ่ายน้ำหล่อเลี้ยงชาวโคราชถึง 5 อำเภอ เหลือน้ำแค่ 105.72 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 33.62 % และเป็นน้ำใช้การได้เพียง 83 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 28.45 % เท่านั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ “น้ำน้อยวิกฤติ”
ขณะที่อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง เหลือน้ำเก็บกัก 88.49 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 57.10 % และเป็นน้ำใช้การได้ 87.77 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 56.90 % ,อ่างเก็บน้ำมูลบน เหลือน้ำ 84.39 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 59.85 % และเป็นน้ำใช้การได้ 77.39 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 57.76 % และอ่างเก็บน้ำลำแชะ เหลือน้ำ 152.53 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 55.47 % และเป็นน้ำใช้การได้ 145.53 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 54.30 % เท่านั้น
ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 23 แห่ง เหลือน้ำเก็บกักรวมอยู่ที่ 193.83ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 57.80 % และเป็นน้ำใช้การได้ 168.45 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 54.35 % ดังนั้น ทุกอ่างฯ จะต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมที่สุด เพื่อให้เพียงพอใช้จนกว่าจะถึงฤดูฝนปีหน้า
JJNY : กลุ่ม CAP ออกแถลงการณ์ตากใบ│ฝุ่นพิษฟุ้งกทม.│ประกาศรับมือ'จ่ามี'│เซเลนสกีอ้างการข่าว รัสเซียจ่อส่งทหารเกาหลีเหนือ
https://thestandard.co/cap-issues-statement-on-tak-bai-incident/
วานนี้ (25 ตุลาคม) กลุ่ม Civil Society Assembly For Peace: CAP ของสมัชชาภาคประชาสังคมเพื่อสันติภาพ ออกแถลงการณ์กรณีตากใบจากครอบครัวผู้สูญเสียและองค์กรภาคประชาสังคมในพื้นที่
ข้อความระบุว่า ‘คดีตากใบ: การสร้างความยุติธรรมและความรับผิดชอบร่วมกัน’
โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่อประชาชนผู้ชุมนุมอย่างสันติที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 คืออาชญากรรมที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำต่อประชาชนอย่างโหดเหี้ยมและไม่มีผู้รับผิดชอบต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังกล่าว เป็นเวลา 20 ปีที่ประชาชนไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ผู้บงการกลับลอยนวลพ้นผิด ทำให้พี่น้องและญาติผู้สูญเสีย รวมถึงประชาชนปาตานี / ชายแดนภาคใต้ มีความไม่พอใจและหมดศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์จากเหตุการณ์ที่ตากใบ ในวาระครบรอบ 20 ปี แถลงการณ์ฉบับในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นวันที่คดีความหมดอายุ จึงมีข้อเรียกร้องสำคัญดังนี้
1. ให้รัฐบาลสอบสวนเหตุการณ์ในระดับนานาชาติ โดยการร้องขอให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติเข้ามาตรวจสอบ หรือขอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court: ICC) เข้ามามีส่วนในการพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพราะเข้าข่ายกฎหมายระหว่างประเทศ เรื่องการใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุโดยรัฐในเหตุการณ์ตากใบ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
2. ให้รัฐบาลไทยปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่เคยลงนาม โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และสนับสนุนการจัดตั้งกลไกเพื่อตรวจสอบการละเมิดสิทธิและความเป็นธรรมในกรณีอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และให้ผู้มีอำนาจรัฐตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงใหม่ โดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมานี้ต้องมีความเป็นกลางและเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง
3. ให้รัฐบาลประณามการลอยนวลของผู้กระทำความผิด (Impunity) รัฐบาลควรเน้นย้ำให้เห็นว่าความล้มเหลวในการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดตามกฎหมายในระดับชาติเป็นตัวอย่างของการลอยนวลของผู้กระทำผิด ซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อความเป็นธรรมในระดับสากล ต้องให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการปฏิรูปกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของไทย
ทั้งนี้ เราขอยืนยันข้อเรียกร้องเหล่านี้ด้วยเจตจำนงที่มุ่งมั่นและเปิดกว้างต่อผู้มีอำนาจในรัฐบาลและผู้บริหารข้าราชการในพื้นที่ โดยเรามีความเชื่อมั่นว่าการแสวงหาความยุติธรรมในกรณีนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องของการลงโทษผู้กระทำผิด แต่คือการสร้างระบบที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและประเทศชาติ เราขอเรียกร้องให้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้รับความยุติธรรมที่แท้จริง พร้อมทั้งสร้างความเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการในพื้นที่ภาคใต้ที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมของทุกฝ่าย
ฝุ่นพิษฟุ้งกทม.‘ศกพ.’ขอประชาชนลดใช้รถยนต์-เลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง
https://www.dailynews.co.th/news/4012922/
‘ศกพ.’ ขอความร่วมมือลดใช้รถยนต์ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง หลังเตือนฝุ่นพิษฟุ้ง กทม. 25-27 ต.ค.
เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ศกพ.) กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า ตามที่มีมวลอากาศเย็นที่แผ่เข้ามาบริเวณทางตอนเหนือ และทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ส่งผลให้พื้นที่ กทม. เกิดสภาพอากาศที่ปิด ฝุ่นละอองสะสมในชั้นบรรยากาศ ฝุ่น PM2.5 มีแนวโน้มที่สูง ระหว่างวันที่ 25-27 ต.ค. นั้น
ศกพ. ขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน 1.บำรุงดูแลรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช้รถยนต์ที่มีควันดำอย่างเด็ดขาด 2.ใช้รถเท่าที่จำเป็น ลดใช้รถยนต์ส่วนบุคคล 3.รักษาสุขภาพอนามัย 4.ตรวจสอบคุณภาพอากาศก่อนออกจากบ้านจากเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน Air4thai และศูนย์สื่อสารการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ 5.ปฏิบัติตามคำแนะนำ สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกอาคาร 6.หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง 7.หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์
โดยติดตามคุณภาพอากาศที่ http://air4thai.pcd.go.th/webV3/#/Home
ประกาศเตือน รับมือ พายุ'จ่ามี' ฝนตกหนัก แจ้งนอภ.32อำเภอ เฝ้าระวังอุทกภัย24ชม.
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_9476797
นครราชสีมา ประกาศเตือน ชาวบ้านรับมือพายุ “จ่ามี” ทำฝนตกหนัก พ่อเมืองโคราช สั่งนอภ 32 อำเภอ ผู้บริหารท้องถิ่น พร้อมรับมือ-เฝ้า
ระวัง ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนอ่างเก็บน้ำ 27 แห่ง สมหวังเปิดอ่างฯเติมเต็มน้ำ ลุ้นลำตะคองพ้นวิกฤต เหตุน้ำผลิตประปาเหลือ 28 เปอร์เซ็นต์
26 ต.ค. 67 – ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้ออกประกาศฉบับที่ 4 เรื่องพายุ “จ่ามี” ว่า เมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ พายุโซนร้อนกำลังแรง “จ่ามี (TRAMI)” บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน มีศูนย์กลางอยู่ห่างจากประมาณ 400 กิโลเมตร ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะไหหลำ ประเทศจีนกำลังเคลื่อนตัวทางตะวันตก ด้วยความเร็วประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
คาดว่า จะเคลื่อนเข้าสู่ชายฝั่งทางด้านตอนกลาง ใกล้บริเวณเมืองดานังของประเทศเวียดนาม ในช่วงวันที่ 26-28 ตุลาคม 2567 โดยพายุนี้จะไม่เคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทย เนื่องจากยังมีมวลอากาศเย็นแผ่ลงมาปกคลุมทางด้านหน้าของพายุในช่วงดังกล่าว แต่อาจจะส่งผลกระทบทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง กับมีลมแรงในช่วงวันดังกล่าว
หลังจากนั้น พายุจะเปลี่ยนทิศทางเคลื่อนตัวออกห่างจากชายฝั่งประเทศเวียดนามกลับไปทางทะเลจีนใต้ ซึ่งทำให้บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง มีฝนลดลง
จึงคาดว่าจังหวัดที่จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา อำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนวันที่ 27 ตุลาคม 2567 ฝนตกหนักถึงหนักมาก จังหวัดมุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา สุรินทร์ ศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ส่วนวันที่ 28-29 ตุลาคม 2567 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก จังหวัดมุกดาหาร ยโสธร อำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี
จากการพยากรณ์และคาดการณ์ลักษณะอากาศดังกล่าว กองอำนวยการและป้องกันบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้อำนวยการจังหวัด จึงได้แจ้งโทรสารด่วนที่สุด ที่ นม. (กปภจ.) 0021/ว 202 ลงวันที่ 25 ตุลาคม 2567 ไปถึงนายอำเภอทั้ง 32 อำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครราชสีมา
ให้เตรียมความพร้อมป้องกัน และลดผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่ ระหว่างวันที่ 26-27 ตุลาคม 2567 ทั้งการแจ้งเตือนประชาชนให้ทราบเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือ และระมัดระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากพายุฝนฟ้าคะนองและลมประโชกแรง
รวมทั้งให้แต่ละอำเภอประเมินพื้นที่เสี่ยงภัย บูรณาการเตรียมพร้อมทรัพยากร เครื่องจักรกลสาธารณภัยและกำลังพลให้พร้อมปฏิบัติงานตามแผนเผชิญเหตุ และให้มีความพร้อมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยเร่งด่วน ตลอด 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้แต่ละอำเภอ ประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำอุปโภค-บริโภคไว้ด้วย และให้เร่งรัดสูบน้ำจากแหล่งน้ำดิบต่างๆ หรือจากฝนที่ตกลงในพื้นที่ สูบมาไว้ในแหล่งกักเก็บน้ำดิบผลิตประปาให้เต็มความจุ เพื่อให้มีน้ำสำรองเพียงพอใช้ในช่วงฤดูแล้งปีนี้และยาวไปถึงฤดูร้อนปีหน้า เนื่องจากสถานการณ์เก็บกักในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง จ.นครราชสีมา รวม 27 แห่ง
ล่าสุดวันนี้ พบว่า เหลือน้ำเก็บกักรวมเฉลี่ยอยู่ที่ 624.98 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 51.19 % และเป็นน้ำใช้การได้ 562.14 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 48.55 % เท่านั้น โดยเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง ที่ส่งจ่ายน้ำหล่อเลี้ยงชาวโคราชถึง 5 อำเภอ เหลือน้ำแค่ 105.72 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 33.62 % และเป็นน้ำใช้การได้เพียง 83 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 28.45 % เท่านั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ “น้ำน้อยวิกฤติ”
ขณะที่อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง เหลือน้ำเก็บกัก 88.49 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 57.10 % และเป็นน้ำใช้การได้ 87.77 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 56.90 % ,อ่างเก็บน้ำมูลบน เหลือน้ำ 84.39 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 59.85 % และเป็นน้ำใช้การได้ 77.39 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 57.76 % และอ่างเก็บน้ำลำแชะ เหลือน้ำ 152.53 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 55.47 % และเป็นน้ำใช้การได้ 145.53 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 54.30 % เท่านั้น
ส่วนอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 23 แห่ง เหลือน้ำเก็บกักรวมอยู่ที่ 193.83ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 57.80 % และเป็นน้ำใช้การได้ 168.45 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือ 54.35 % ดังนั้น ทุกอ่างฯ จะต้องบริหารจัดการน้ำอย่างรัดกุมที่สุด เพื่อให้เพียงพอใช้จนกว่าจะถึงฤดูฝนปีหน้า