แห่ค้านพุ่ง 73% ร่างส.ส.เพื่อไทย แก้กม.กลาโหม สกัดรปห. – เว็บสภาเปิดโหวตถึงปีใหม่
https://www.matichon.co.th/politics/news_4945902
เว็บสภา เผย 72% โหวตค้านพุ่ง ร่างส.ส.เพื่อไทย แก้กฎหมายกลาโหม สกัดรัฐประหาร เปิดรับฟังถึงปีใหม่
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ.… ที่เสนอโดย นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปิดรับฟังตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยล่าสุด มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้ว 26,186 คน ปรากฏว่ามีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 73.42 % ขณะที่เห็นด้วยมี 26.58 %
อย่างไรก็ตาม การรับฟังผ่านเว็บไซต์รัฐสภา จะทำต่อไป และครบกำหนด ในวันที่ 1 มกราคม 2568
สำหรับหลักการ และเหตุผลของการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวระบุว่า ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น เพราะมองว่าการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม
พ.ศ.2551 แม้จะมีการแต่งตั้งกรรมการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นกรรมการ แต่การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลมีการวางตัวบุคคลที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อไป ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ
ข้อมูลประกอบการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมยังระบุอีกว่า คนที่ไม่ใช่พวกพ้องเสียโอกาสได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการทหารและทำให้การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลขาดความโปร่งใส ดังนั้น จึงควรให้อำนาจ ครม.เป็นผู้พิจารณา อีกทั้งควรปรับองค์ประกอบของกรรมการให้เหมาะสม รวมถึงองค์ประกอบของสภากลาโหม ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นสมาชิกสภากลาโหม ให้นายกฯเป็นประธานสภากลาโหมแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตัดกองทัพอออกจากสภากลาโหมบางส่วน ให้เหลือเพียง 1-2 คนก็เพียงพอ
ขณะที่ ตัวร่าง พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขนั้น ยังได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายทหารชั้นนายพล มาตรา 25 ที่จะได้รับการแตั้งตั้งเป็นอย่างน้อยด้วย คือ 1.ไม่เคยมีพฤติกรรมเป็นผู้อิทธิพลหรือพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
2.ต้องไม่เป็นคู่สัญญากับหน่วยยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม หรือประกอบธุรกิจหรือกิจการอันเกี่ยวข้องกับราชการกระทรวงกลาโหม
3.ไม่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยหรือถูกดำเนินคดีอาญา เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หมิ่นประมาท หรือลหุโทษ
นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมการจัดระเบียบปฏิบัติราชการทหารในมาตรา 35 ซึ่งเดิมกำหนดหน้าที่ทหารเพื่อปราบปรามจลาจล พบว่าร่างแก้ไขได้เพิ่มข้อห้ามใช้กำลังทหารหรือข้าราชการทหาร ในกรณีของการยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลหรือเพื่อก่อการกบฏ รวมถึงขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนราชการต่างๆ ห้ามใช้เพื่อธุรกิจหรือกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา และกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ ทั้งนี้ ได้กำหนดด้วยว่า ข้าราชการทหารที่ได้รับคำสั่งให้ทำ ย่อมมีสิทธิไม่ปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าผิดวินัยทหารหรือกฎหมายอาญาทหาร
รวมถึงยังเพิ่มบทลงโทษนายทหารที่ฝ่าฝืนหรือพบการเตรียมการผิดมาตรา 35 ด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ชั่วคราวตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการสอบสวนโดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการพักราชการตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ในสาระสำคัญของมาตรา 35 ที่เสนอแก้ไขนั้น ย้ำความสำคัญคือ เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เศรษฐกิจงานยากรัฐบาล เดิมพัน GDP ปี 68 โต3% 'สภาพัฒน์' ชี้โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1157137
• รัฐบาลกำลังจะแถลงผลงาน 3 เดือนในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ โดยหนึ่งในประเด็นที่จะแถลงคือเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสดใส
• ก่อนหน้านี้ทั้ง รมว.คลัง และรมช.คลังระบุว่าเศรษฐกิจปี 2568 จะขยายตัวได้มากกว่า 3% ซึ่งทำให้เข้าสู่ระดับศักยภาพ
• ขณะที่หน่วยงานเศรษฐกิจอย่างสภาพัฒน์มองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอน กระทบภาคเศรษฐกิจและการจ้างงาน คาดว่าจีดีพีปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.3 - 3.3%
• แนะจับตา 3 ความเสี่ยง เศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ การปรับตัวของแรรงานในประเทศ
รัฐบาลกำลังมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2567 โดยแนวโน้มของเศรษฐกิจที่รัฐบาลมองว่าจะสดใสจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะหยิบยกมาพูดในการแถลงผลงงานรอบ 3 เดือน ของรัฐบาลในวันที่ 12 ธ.ค.นี้
ก่อนหน้านี้
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุว่า เศรษฐกิจในปี 2568 จะขยายตัวได้เกินกว่า 3% ขณะที่
เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ระดับศักยภาพคือขยายตัวได้เกินกว่า 3% ซึ่งเป็นภาพที่รัฐบาลนั้นอยากให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามในมุมมองของหน่วยงานเศรษฐกิจที่ติดตามความเคลื่อนไหวและแนวโน้มเศรษฐกิจยังประเมินว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ยังมีความเสี่ยง และความไม่แน่นอนสูงมาก
ในงานสัมมนาทางวิชาการ "2025 : Economic & Employment Trend Forum” ที่จัดขึ้นเร็วๆนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.3 – 3.3% โดยมีทั้งปัจจัยสนับสนุน และเฝ้าระวังดังนี้
วิชญ์พิพล ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ของสศช.กล่าวในหัวข้อ "แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค ปี 2568” ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ สศช.คาดการณ์นั้นจะขยายตัวได้ที่ 2.3 – 3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ การใช้จ่ายของภาครัฐ การลงทุนของภาคเอกชน การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก
นอกจากนี้ สถานการณ์การจ้างงานในไตรมาสสาม ปี 2567 พบว่า ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 40.0 ล้านคน โดยการจ้างงานภาคเกษตรกรรมหดตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้
สำหรับหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสอง ปี 2567 พบว่า มีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น สัดส่วนหนี้ต่อ GDP 89.6% ซึ่งสาเหตุของการชะลอของหนี้สินครัวเรือน มาจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง
• ดังนั้น แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลต่อการจ้างงานในระยะต่อไป ได้แก่
1.ความเสี่ยงจากแนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ที่เป็นผลจากความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
2.ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค
และ 3.ปัจจัยในประเทศ เช่น การปรับตัวของผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น
โดยมีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะกลาง ได้แก่
1. ต้องเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมในอนาคต
2. ปรับปรุงระบบราชการให้มีขนาดและประสิทธิภาพ
ส่วนประเด็นที่ต้องขับเคลื่อนในระยะยาว นั้น สศช.มองว่าจำเป็นเพิ่มอัตราการเกิดอย่างมีคุณภาพของประชากรไทย พร้อมทั้งพัฒนาการศักยภาพและทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และผู้แทนด้านแรงงาน ต้องร่วมมือกันในการเร่งปรับตัว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วย
สภาพอากาศวันนี้ อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา ภาคใต้ 9 จังหวัด ยังเจอฝนถล่ม
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9541865
กรมอุตุนิยมวิทยา เตือน สภาพอากาศวันนี้ อุณหภูมิทั่วประเทศจะสูงขึ้น 1-2 องศา แต่ภาคใต้ 9 จังหวัด ยังคงเจอฝนถล่ม และมีฝนตกหนักบางแห่ง
กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นแต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขณะที่ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง
ภาคเหนือ
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส
ภาคกลาง
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ภาคตะวันออก
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส
ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้นมา ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพและปริมณฑล
เมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส
JJNY : แห่ค้านพุ่ง 73% ร่างส.ส.เพื่อไทย│เดิมพันGDP ปี 68│ภาคใต้ 9 จว.ยังเจอฝนถล่ม│ชี้ปีนี้โลกจะร้อนที่สุดเท่าที่บันทึกมา
https://www.matichon.co.th/politics/news_4945902
เว็บสภา เผย 72% โหวตค้านพุ่ง ร่างส.ส.เพื่อไทย แก้กฎหมายกลาโหม สกัดรัฐประหาร เปิดรับฟังถึงปีใหม่
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีเว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th เปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนต่อ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ.… ที่เสนอโดย นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปิดรับฟังตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยล่าสุด มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นแล้ว 26,186 คน ปรากฏว่ามีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 73.42 % ขณะที่เห็นด้วยมี 26.58 %
อย่างไรก็ตาม การรับฟังผ่านเว็บไซต์รัฐสภา จะทำต่อไป และครบกำหนด ในวันที่ 1 มกราคม 2568
สำหรับหลักการ และเหตุผลของการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวระบุว่า ให้อำนาจคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีหน้าที่และอำนาจพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลที่ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น เพราะมองว่าการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม
พ.ศ.2551 แม้จะมีการแต่งตั้งกรรมการที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพเป็นกรรมการ แต่การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลมีการวางตัวบุคคลที่เป็นพวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ให้สืบสายเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพต่อไป ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับนายทหารที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ใช่พวกพ้องของผู้บัญชาการเหล่าทัพ
ข้อมูลประกอบการพิจารณาร่างแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหมยังระบุอีกว่า คนที่ไม่ใช่พวกพ้องเสียโอกาสได้ก้าวหน้าในชีวิตราชการทหารและทำให้การแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลขาดความโปร่งใส ดังนั้น จึงควรให้อำนาจ ครม.เป็นผู้พิจารณา อีกทั้งควรปรับองค์ประกอบของกรรมการให้เหมาะสม รวมถึงองค์ประกอบของสภากลาโหม ให้หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นสมาชิกสภากลาโหม ให้นายกฯเป็นประธานสภากลาโหมแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และตัดกองทัพอออกจากสภากลาโหมบางส่วน ให้เหลือเพียง 1-2 คนก็เพียงพอ
ขณะที่ ตัวร่าง พ.ร.บ.ฉบับแก้ไขนั้น ยังได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณสมบัติของนายทหารชั้นนายพล มาตรา 25 ที่จะได้รับการแตั้งตั้งเป็นอย่างน้อยด้วย คือ 1.ไม่เคยมีพฤติกรรมเป็นผู้อิทธิพลหรือพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด การค้ามนุษย์ การทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
2.ต้องไม่เป็นคู่สัญญากับหน่วยยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหม หรือประกอบธุรกิจหรือกิจการอันเกี่ยวข้องกับราชการกระทรวงกลาโหม
3.ไม่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนทางวินัยหรือถูกดำเนินคดีอาญา เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หมิ่นประมาท หรือลหุโทษ
นอกจากนั้นยังเพิ่มเติมการจัดระเบียบปฏิบัติราชการทหารในมาตรา 35 ซึ่งเดิมกำหนดหน้าที่ทหารเพื่อปราบปรามจลาจล พบว่าร่างแก้ไขได้เพิ่มข้อห้ามใช้กำลังทหารหรือข้าราชการทหาร ในกรณีของการยึดหรือควบคุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินจากรัฐบาลหรือเพื่อก่อการกบฏ รวมถึงขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ราชการส่วนราชการต่างๆ ห้ามใช้เพื่อธุรกิจหรือกิจการอันเป็นประโยชน์ส่วนตัวของผู้บังคับบัญชา และกระทำการอันมิชอบด้วยกฎหมายอื่นๆ ทั้งนี้ ได้กำหนดด้วยว่า ข้าราชการทหารที่ได้รับคำสั่งให้ทำ ย่อมมีสิทธิไม่ปฏิบัติตาม และไม่ถือว่าผิดวินัยทหารหรือกฎหมายอาญาทหาร
รวมถึงยังเพิ่มบทลงโทษนายทหารที่ฝ่าฝืนหรือพบการเตรียมการผิดมาตรา 35 ด้วยการหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ชั่วคราวตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดการสอบสวนโดยไม่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการพักราชการตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ ในสาระสำคัญของมาตรา 35 ที่เสนอแก้ไขนั้น ย้ำความสำคัญคือ เพื่อป้องกันไม่ให้ทหารได้ใช้อำนาจในทางที่ผิดและเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เศรษฐกิจงานยากรัฐบาล เดิมพัน GDP ปี 68 โต3% 'สภาพัฒน์' ชี้โจทย์ท้าทายเศรษฐกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1157137
• รัฐบาลกำลังจะแถลงผลงาน 3 เดือนในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ โดยหนึ่งในประเด็นที่จะแถลงคือเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มสดใส
• ก่อนหน้านี้ทั้ง รมว.คลัง และรมช.คลังระบุว่าเศรษฐกิจปี 2568 จะขยายตัวได้มากกว่า 3% ซึ่งทำให้เข้าสู่ระดับศักยภาพ
• ขณะที่หน่วยงานเศรษฐกิจอย่างสภาพัฒน์มองว่ายังมีปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอน กระทบภาคเศรษฐกิจและการจ้างงาน คาดว่าจีดีพีปี 2568 จะขยายตัวได้ 2.3 - 3.3%
• แนะจับตา 3 ความเสี่ยง เศรษฐกิจโลก ภูมิรัฐศาสตร์ การปรับตัวของแรรงานในประเทศ
รัฐบาลกำลังมีมุมมองที่ดีต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2567 โดยแนวโน้มของเศรษฐกิจที่รัฐบาลมองว่าจะสดใสจะเป็นหนึ่งในประเด็นที่ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะหยิบยกมาพูดในการแถลงผลงงานรอบ 3 เดือน ของรัฐบาลในวันที่ 12 ธ.ค.นี้
ก่อนหน้านี้พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุว่า เศรษฐกิจในปี 2568 จะขยายตัวได้เกินกว่า 3% ขณะที่ เผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นจนเข้าสู่ระดับศักยภาพคือขยายตัวได้เกินกว่า 3% ซึ่งเป็นภาพที่รัฐบาลนั้นอยากให้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามในมุมมองของหน่วยงานเศรษฐกิจที่ติดตามความเคลื่อนไหวและแนวโน้มเศรษฐกิจยังประเมินว่าเศรษฐกิจในปี 2568 ยังมีความเสี่ยง และความไม่แน่นอนสูงมาก
ในงานสัมมนาทางวิชาการ "2025 : Economic & Employment Trend Forum” ที่จัดขึ้นเร็วๆนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวอยู่ในกรอบ 2.3 – 3.3% โดยมีทั้งปัจจัยสนับสนุน และเฝ้าระวังดังนี้
วิชญ์พิพล ติวะตันสกุล ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน ของสศช.กล่าวในหัวข้อ "แนวโน้มภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค ปี 2568” ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 ที่ สศช.คาดการณ์นั้นจะขยายตัวได้ที่ 2.3 – 3.3% โดยมีปัจจัยสนับสนุน อาทิ การใช้จ่ายของภาครัฐ การลงทุนของภาคเอกชน การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออก
นอกจากนี้ สถานการณ์การจ้างงานในไตรมาสสาม ปี 2567 พบว่า ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 40.0 ล้านคน โดยการจ้างงานภาคเกษตรกรรมหดตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้
สำหรับหนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสอง ปี 2567 พบว่า มีมูลค่า 16.32 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น สัดส่วนหนี้ต่อ GDP 89.6% ซึ่งสาเหตุของการชะลอของหนี้สินครัวเรือน มาจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง
• ดังนั้น แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจและปัจจัยที่ส่งผลต่อการจ้างงานในระยะต่อไป ได้แก่
1.ความเสี่ยงจากแนวโน้มการขยายตัวต่ำกว่าที่คาดของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ที่เป็นผลจากความไม่แน่นอนจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
2.ความยืดเยื้อของสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค
และ 3.ปัจจัยในประเทศ เช่น การปรับตัวของผู้ประกอบการในการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น
โดยมีประเด็นที่ควรให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะกลาง ได้แก่
1. ต้องเร่งพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมในอนาคต
2. ปรับปรุงระบบราชการให้มีขนาดและประสิทธิภาพ
ส่วนประเด็นที่ต้องขับเคลื่อนในระยะยาว นั้น สศช.มองว่าจำเป็นเพิ่มอัตราการเกิดอย่างมีคุณภาพของประชากรไทย พร้อมทั้งพัฒนาการศักยภาพและทักษะที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21 ทั้งนี้ ภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และผู้แทนด้านแรงงาน ต้องร่วมมือกันในการเร่งปรับตัว เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวด้วย
สภาพอากาศวันนี้ อุณหภูมิสูงขึ้น 1-2 องศา ภาคใต้ 9 จังหวัด ยังเจอฝนถล่ม
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_9541865
กรมอุตุนิยมวิทยา เตือน สภาพอากาศวันนี้ อุณหภูมิทั่วประเทศจะสูงขึ้น 1-2 องศา แต่ภาคใต้ 9 จังหวัด ยังคงเจอฝนถล่ม และมีฝนตกหนักบางแห่ง
กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้เริ่มมีกำลังอ่อนลง ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนเริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นแต่ยังคงมีอากาศเย็นในตอนเช้า ขณะที่ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักบางแห่ง
ภาคเหนือ
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 19-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดดอยอากาศหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 8-15 องศาเซลเซียส
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อากาศเย็นในตอนเช้า และอุณหภูมิจะสูงขึ้น 1-2 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 16-22 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศาเซลเซียส บริเวณยอดภูอากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิต่ำสุด 12-16 องศาเซลเซียส
ภาคกลาง
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-23 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส
ภาคตะวันออก
อากาศเย็นในตอนเช้า อุณหภูมิต่ำสุด 21-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 32-34 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูง 1-2 เมตร
ภาคใต้ฝั่งตะวันออก
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณจังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 23-24 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 29-34 องศาเซลเซียส
ตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชขึ้นมา ทะเลมีคลื่นสูง 1-2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร ตั้งแต่จังหวัดสงขลาลงไป ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ฝั่งตะวันตก
มีฝนฟ้าคะนอง ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 31-32 องศาเซลเซียส ทะเลมีคลื่นต่ำกว่า 1 เมตร ห่างฝั่งคลื่นสูงมากกว่า 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพและปริมณฑล
เมฆบางส่วน อุณหภูมิต่ำสุด 23-25 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-34 องศาเซลเซียส