https://ppantip.com/topic/42995116 (บทที่ 14 ความร่วมมือ)
เธอเริ่มแปลกใจที่คนขับรถพาคุณอัคราและตัวเธอมุ่งหน้าออกนอกตัวเมือง รถเมอร์ซีเดสกำลังมุ่งหน้ามาบนถนนวงแหวนรอบนอกซึ่งอยู่คนละทิศทางกับโรงแรมริเวอร์ไฮท์ ก่อนจะเลี้ยวขวามาตามถนนสายแม่โจ้ อีกเกือบสิบนาทีต่อมาก็ผ่านประตูใหญ่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ แล้วตรงมาเลี้ยวซ้ายเข้าถนนไปอำเภอแม่รัก ถนนสี่เลนว่างโล่ง ปราศจากยวดยานพาหนะวิ่งอยู่ข้างหน้าหรือตามมาข้างหลัง คนขับใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ เธอหันมองเจ้านาย แต่เขายังคงนิ่งเงียบ สนใจแค่โทรศัพท์ในมือ ส่วนพี่สุธรรมก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว ไร้เสียงพูดจา
“จะไปไหนคะเนี่ย นี่ไม่ใช่ทางเข้าเมืองไปโรงแรมนี่คะ?” ขวัญฤทัยถามขึ้นฝ่าความเงียบ
“ผมไม่เคยบอกว่าจะไปโรงแรม” อัคราเงยหน้าขึ้นพูด
“แล้วนี่เราจะไปไหนคะ?”
“ไปร่วมงานเลี้ยงพิเศษ ในสถานที่สุดพิเศษ สำหรับคนพิเศษสุดของผมอย่างคุณไงครับ”
“ขวัญคิดว่า เราจะไปร่วมงานวันชาติจีนเสียอีก”
“ผมให้คนไปแทนแล้ว”
“อะไรนะคะ ให้คนไปแทนแล้ว” เธอทวนคำ สงสัยเต็มประดา คิ้วขมวดเข้าหากัน “หมายความว่า..?”
“ใช่..งานนี้เฉพาะคุณกับผม และคนของผม”
“นี่บอสคิดจะทำอะไรกันแน่คะ” เธอถามถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้านาย
“ผมเตรียมงานเลี้ยงสุดพิเศษไว้ให้คุณโดยเฉพาะ”
“ไม่เอาค่ะ เลี้ยงอะไร พิเศษยังไง ขวัญก็ไม่ไป” ขวัญฤทัยประจันหน้ากับอัครา “พาขวัญกลับไปส่งบ้าน ขวัญจะกลับบ้าน”
“คุณต้องไม่พลาดงานนี้ คุณขวัญ มันพิเศษสำหรับคนอย่างคุณ”
“พิเศษยังไง ก็ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน” เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกแทนตัวเองเป็น “ฉัน” หางเสียงก็หายไปพร้อมกัน
ประธานบริหารหัวเราะ ก่อนตอบ “งานเลี้ยงฉลองที่เราได้ตัว หนอนบ่อนไส้ ของบริษัท”
“หนอนบ่อนไส้!” เธอเสียงดังขึ้น “ฉันไม่เห็นเข้าใจ บอสหมายถึงอะไร?”
“มันหมายถึงใคร ต่างหาก”
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
“ผมรักคนที่ผมไว้ใจเสมอ แต่คนที่ผมรักและไว้ใจกลับทำลายความไว้ใจของผมลงอย่างย่อยยับ” อัคราจ้องตาเลขา ของตัวเองไม่กระพริบ
“คุณพูดอะไรของคุณ ฉันยิ่งตามไม่ทันไปใหญ่” เปลี่ยนคำสรรพนามจาก “บอส” เป็น “คุณ” ในทันที
“แจกันหยกขาวใบนั้นไง” อัคราชี้นิ้วไปที่เบาะผู้โดยสารข้างหน้าฝั่งซ้าย
“แจกัน..”ขวัญฤทัยชะงักชั่วอึดใจ “แจกันเกี่ยวอะไร ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ”
“ผมเพิ่งพบว่า มันเป็นคนละใบกับแจกันที่ผมได้รับเป็นของขวัญในวันตรุษจีน”
“เป็นไปไม่ได้” เธอโต้แย้ง
“หลักฐานวางโทนโท่อยู่นั่น”
“คุณรู้ได้ยังไงว่า มันเป็นคนละใบ”
“คุณบอกผมซิ”
“คุณอัครา..” เสียงของเธอเบาลง ควบคุมอารมณ์และจิตใจ หัวใจเต้นช้าลง “ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยว”
“ก้นแจกันใบนั้นถูกดัดแปลงให้มีสองชิ้นเสียบประกบกันอย่างแนบเนียนจนแทบจะดูไม่ออก มีช่องว่างอยู่ข้างในระหว่างชิ้นบนกับชิ้นล่าง เราพบเครื่องดักฟังในช่องนั้น ใครสักคนเจตนาลอบฟังการสนทนาในห้องทำงานผม” อัคราอธิบายชัดถ้อยชัดคำ
“ใครช่างกล้าทำ?” เธอมองตาเจ้านาย
“เราหาตัวการอยู่หลายเดือน จนรู้ตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่บ้านจากบริษัทรับทำความสะอาดที่เราจ้างมา เราจับตัวเธอไว้แล้ววันนี้ แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่า แค่แม่บ้านคนเดียวจะทำเรื่องแบบนี้ได้ มันต้องมีคนร่วมมือหรือสั่งการ ผมกำลังจะพาคุณไปเจอแม่บ้านคนนั้น”
“คนไหน? เรามีแม่บ้านสามคน แต่ละคนหมุนเวียนขึ้นไปทำความสะอาดห้องทำงานของคุณทุกสิบวัน”
“พอไปถึง คุณจะรู้เอง แล้วผมก็จะให้คุณซักฟอกเอาความจริงจากปากแม่บ้านด้วยตัวเองว่า มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้บ้าง”
“ทำไมต้องเป็นเลขาอย่างฉัน คุณให้คนอื่นทำดีกว่า” ขวัญฤทัยพยายามบ่ายเบี่ยง
“ไม่มีใครเหมาะกับงานนี้เท่าคุณแล้ว ดูเหมือนแม่บ้านคนนั้น จะสนิทสนมกับคุณเป็นพิเศษ”
“เกี่ยวอะไรกับฉันเนี่ย” เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์ เปิดไลน์ลูกสาวขึ้นมารีบพิมพ์ข้อความ “ขอโทษ”
อัคราชักปืนพกกึ่งอัตโนมัติออกจากข้างลำตัวด้วยมือขวา เล็งปากกระบอกปืนมาที่ขวัญฤทัย “คุณต้องไปกับผม แล้วนั่น คุณเขียนถึงใคร!?” อัคราสั่ง
และถามลั่นห้องโดยสาร
เลขาสาวใหญ่ยกสองมือขึ้นในระดับหน้าอก ปล่อยให้โทรศัพท์หล่นร่วงลงบนเบาะนั่ง ทำตาขวาง พูดอย่างเยือกเย็น “เรื่องของฉัน อย่ายุ่ง”
“นั่งเงียบๆ อย่าโวยวายหรือทำอะไรให้มันยุ่งยาก”
“คุณบอกมาดีกว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับฉันยังไง” ใจเธอคิดถึงปืนพกประจำกายที่บ้าน จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง นิ่งรอโอกาส
“คุณทรยศผม คุณเป็นเลขาที่ผมทั้งรักและไว้ใจมาตลอดหลายปี แต่กลับกลายเป็นว่าคุณคือหนอน......โอ๊ยยย!”
ขวัญฤทัยไม่รอให้อัคราพูดจบ เธอใช้สันฝ่ามือซ้ายฟันเปรี้ยงเข้าที่ข้อมือขวาของเขา รวดเร็วและรุนแรง จนปากกระบอกปืนหันออกไปพ้นตัวเธอ ปืนลั่นกระสุนออกมาหนึ่งนัด เสียงดังจนเธอหูอื้อ ลูกปืนพลาดเป้าไปเจาะพนักพิงที่นั่งคนขับ สุธรรมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ในจังหวะต่อเนื่องกันนั้น มือขวาของเธอก็คว้าหมับที่สไลด์บนโครงปืนแล้วบีบแน่นพร้อมกระโจนขึ้นบนเบาะ มือซ้ายแย่งกำด้ามปืนจากมือของอัครา โถมตัวใช้สองมือออกแรงบิดให้ลำกล้องปืนหันเข้าหาหน้าอกเขา ส่วนอัคราเองก็ใช้มือซ้ายเข้าช่วยมือขวา เกร็งแขนผลักดันปืนให้หมุนกลับมาจ่อที่ลำตัวฝ่ายหญิง เขาเหนี่ยวไกแต่มันแข็ง กดไม่ลง ปืนไม่ลั่นออกไป เพราะสไลด์ถูกมือกำบีบรัดไว้กับโครงปืนแน่นสุดแรง สองคนต่อสู้ประลองกำลังแขนกันสุดฤทธิ์ แต่หลังยื้อยุดฉุดกระชากแย่งปืนกันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกได้ว่ารถเริ่มแล่นส่ายไปมาบนถนนด้วยความเร็วสูง เหมือนไร้คนขับ ทั้งคู่เสียการทรงตัว เซล้มลงบนเบาะด้านขวาแล้วถูกโยนกลับไปกระแทกประตูฝั่งซ้ายรุนแรงตามแรงเหวี่ยงของรถ มือทั้งสองข้างของแต่ละคนยังคงเหนี่ยวรั้ง งัดข้อกันไปมาไม่มีใครยอมใคร และแล้วจู่ๆ อัคราก็ออกอาการอ่อนล้า พลังแขนกับข้อมือลดลงไปเล็กน้อย ทำให้ขวัญฤทัยได้โอกาสพลิกกลับมากุมความได้เปรียบ เธอสามารถสอดนิ้วชี้ข้างซ้ายเข้าทับนิ้วชี้ข้างขวาของอัคราบนไกปืนจากอีกฝั่งได้สำเร็จ แล้วหมุนบิดข้อมือเขาให้ปากกระบอกปืนชี้ไปทางประตูรถด้านซ้าย เธอคลายกำมือขวาจากการบีบสไลด์พอหลวมๆ กดนิ้วมือของอัคราให้เหนี่ยวไก กระสุนระเบิดออกเจาะกระจกประตูร้าวจนกลายเป็นเกล็ดทั่วทั้งบาน
ทันใด ขวัญฤทัยก็บิดข้อมือกดปากกระบอกปืนให้จ่อลงที่ต้นขาขวาของอัครา เหนี่ยวไกอีกนัด กระสุนวิ่งผ่านกางเกงทะลุเข้าเนื้ออวบอ้วนของเขา อัคราร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ใบหน้าบิดเบี้ยว แขนอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เธอจับข้อมือเขากระแทกเข้ากับขอบประตูนับครั้งไม่ถ้วนจนปืนหลุดออกจากกำมือและหล่นลงบนพื้นแผ่นยางสำหรับวางเท้า
เลขาขยุ้มเส้นผมจับหัวประธานบริหารโขกกับขอบประตูอย่างรุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วใช้มือขวาดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาพันรอบคอเขาสองรอบ ดึงให้ตึง กระโดดถอยหลังมาชิดบานประตูฝั่งขวา สองมือออกแรงดึงสายเข็มขัดด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกาย
อัคราดิ้นพล่าน หายใจไม่ออก สองตาเบิกโพลงแทบถลนออกนอกเบ้า เส้นเลือดปูดโปนบนใบหน้า ส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ในลำคอ ตะเกียกตะกายใช้สองมือดึงสายเข็มขัดกลับเพื่อให้มันคลายออก ดิ้นรนหาทางสูดอากาศเข้าเต็มปอดอีกครั้ง แต่ยิ่งดึงก็ยิ่งคล้ายกับแข่งชักคะเย่อ เพราะอีกฝ่ายก็ดึงกลับด้วยเรี่ยวแรงมากมายมหาศาล เขาเลื่อนลำตัวขึ้นบนเบาะ ปล่อยมือจากสายเข็มขัดมาคว้าคอและดึงผมเธอ แต่เธอก็สลัดจนหลุด เขาใช้เท้าซ้ายถีบที่ลำตัวเธอ แต่ก็ถูกเธอยกขาขึ้นเตะปัดป้องพร้อมส่งเสียงคำรามลั่นเยี่ยงสัตว์ป่า บ้าคลั่งและดุร้าย เขาเปลี่ยนมาดึงสายเข็มขัดอีกครั้ง ทุรนทุรายอยู่อย่างนั้นหลายนาทีเพื่อให้หลุดพ้นพันธนาการ แต่ก็ยากจะต้านทานไหว สายเข็มขัดบีบรัดลำคอแน่นตึง ใกล้ขาดใจ หมดหนทางคลายมันออก แขนขาเริ่มอ่อนปวกเปียก พละกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงไม่เหลือ และแล้วการต่อสู้ขัดขืนก็สิ้นสุดลง เขาหมดสติอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเบาะผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้ายนั่นเอง
ส่วนสุธรรมนั้นนั่งคอพับอยู่บนที่นั่งคนขับ สองมือตกจากพวงมาลัยวางอยู่ข้างตัวบนเบาะ เท้าขวากดคันเร่งค้างไว้จนจมมิด รถเมอร์ซีเดสยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อยบนถนนอย่างอิสระ ไร้การควบคุมอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็แล่นออกนอกเลนไปทางซ้าย พุ่งชนราวสะพานปูนซีเมนต์แตกกระจาย ตัวรถทะลุออกไปเหินลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำในชั่วเสี้ยววินาที แล้วค่อยๆ จมลงไปใต้ผืนน้ำลึกมืดดำ
ก่อนรถจะจมลงใต้น้ำ ขวัญฤทัยหยิบปลอกกระสุนหนึ่งปลอกที่พบอยู่บนเบาะนั่งใส่กระเป๋าสะพาย ถีบกระจกประตูฝั่งผู้โดยด้านหลังข้างซ้ายจนหลุดออกทั้งบาน เธอกลั้นหายใจเมื่อน้ำพรั่งพรูเข้าภายในห้องโดยสาร เย็นยะเยือก เหน็บหนาวถึงกระดูก เมื่อระดับน้ำท่วมทั้งคัน เธอก็พุ่งตัวออกจากรถ ลอยคอดำผุดดำว่ายตามกระแสน้ำไหลเอื่อยๆ ออกห่างจากจุดที่รถตกแม่น้ำไปเรื่อยๆ นานแสนนาน จนแน่ใจว่าไกลมากพอแล้วจึงจะเกาะกอหญ้าริมตลิ่งพักเหนื่อย นาฬิกากันน้ำที่ข้อมือซ้ายบอกเวลาตีหนึ่ง เธออยู่ในน้ำห้าชั่วโมงเชียวหรือนี่ ไม่เป็นตะคริวจมน้ำตายก็บุญแค่ไหนแล้ว
กระเป๋าสายโซ่และสมบัติอย่างอื่นยังอยู่กับตัว โทรศัพท์แช่น้ำคงพังไปแล้ว เงินถึงจะเปียกโชกแต่ยังคงมีค่าเสมอ บัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรเอทีเอ็ม เครดิตการ์ด และเอกสารอย่างอื่น ตากให้แห้งก็ยังใช้การได้ แต่เครื่อง Personal Tracking Locator ติดตามตำแหน่งส่วนบุคคลในกระเป๋าน่าจะพังใช้การไม่ได้แล้ว เธอจำเป็นต้องถอดร้องเท้าส้นสูงคู่สวยทิ้ง น่าเสียดายมาก แต่เท้าเปลือยเปล่าสะดวกต่อการว่ายน้ำมากกว่า หวังว่ามันจะจมลงใต้พื้นดินโคลน ไม่ลอยขึ้นมาให้ใครพบเห็นบนผิวน้ำ มือคลำที่ติ่งหูสองข้าง ต่างหูทับทิมเหลืออยู่ข้างเดียว เก็บข้างที่เหลือใส่กระเป๋า อีกข้างคงหล่นหายในแม่น้ำ หรืออาจตกอยู่ในรถ แต่ช่างเถอะ กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สายตากวาดมองรอบตัวในความมืดสลัว หาทางขึ้นฝั่ง
เธอคิดถึงปืนพกกระบอกเล็กที่ตัดสินใจเก็บไว้บ้านเมื่อตอนหัวค่ำ
หวังว่าสองคนในรถนั่นจะยังไม่ตายและหาทางหนีออกมาได้ทัน หรือว่าตายไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ช่างหัวพวกนั้น เธอไม่ใส่ใจความเป็นความตายของอดีตเจ้านายกับคนขับรถอีกแล้ว อย่างไรเสีย เธอก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่แล้ว หรือ ดีขึ้นมาหน่อยก็จะถูกยกให้เป็นพยานปากสำคัญ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า เธอจะกลายเป็นผู้ต้องหา หากนายอัครากับพี่สุธรรมเสียชีวิต
เรื่องที่เกิดขึ้นเล็กน้อยมากสำหรับเธอ หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่เธอจะไปทำให้สำเร็จในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ขวัญฤทัยแหวกว่ายเลาะริมตลิ่งมาอีกสองถึงสามร้อยเมตรจนถึงท่าน้ำที่มีแพไม้ไผ่และราวจับยื่นออกมา คงทำไว้สำหรับลอยกระทง..เธอคิด กวาดสายตามองสรรพสิ่งรอบข้าง เหนือแพขึ้นไปเป็นศาลาหลังเล็ก และมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ ถัดไปเป็นกำแพงสีขาว คงจะเป็นด้านหลังวัดใดวัดหนึ่งของชุมชนแถวนี้ เธอเกาะด้านข้างแพไม้ไผ่พยุงตัวเดินขึ้นมายืนบนพื้นดินแห้งแข็ง ร่างกายเปียกปอน สั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ ฟันกระทบกันดังกึกกัก ใช้สองมือรีดไล่น้ำออกจากชุดกี่เพ้า บิดผมให้หมาด เทน้ำออกจากกระเป๋าสะพาย ก้าวตามบันไดขึ้นเนินลาดชันมาที่ศาลา
หมาหลายตัวข้างในรั้ววัดเห่าขึ้นเกรียวกราว ประตูรั้วปิดล็อค ป้ายบนกำแพงบอกชื่อวัดบ้านแก้ว ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง เธอเดินลัดเลาะมาจนสุดกำแพงด้านหนึ่งแล้วเลี้ยวตามแนวกำแพงมาเดินในร่องระบายน้ำที่คั่นกลางระหว่างกำแพงวัดกับรั้วบ้านพักอาศัยของชาวบ้าน เธอออกสู่ซอยแคบๆ เห็นด้านหน้าวัดเปิดไฟหนึ่งดวง จึงหลบกลับเข้ามุมกำแพง หมาหมู่ในวัดยังเห่าไม่หยุด หมาจรจัดในซอยก็พลันเห่าตามกันเป็นระลอก
ขวัญฤทัยยืนนิ่งรออยู่ในเงามืด ทั้งตัวยังคงสั่นเทา ครู่ใหญ่ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ติดเข่งพลาสติกไว้ข้างหลังวิ่งผ่านหน้าวั
นิยาย: จอมป่วนชวนจับโจร บทที่ 15 เปียกปอนและหนาวเหน็บ
เธอเริ่มแปลกใจที่คนขับรถพาคุณอัคราและตัวเธอมุ่งหน้าออกนอกตัวเมือง รถเมอร์ซีเดสกำลังมุ่งหน้ามาบนถนนวงแหวนรอบนอกซึ่งอยู่คนละทิศทางกับโรงแรมริเวอร์ไฮท์ ก่อนจะเลี้ยวขวามาตามถนนสายแม่โจ้ อีกเกือบสิบนาทีต่อมาก็ผ่านประตูใหญ่มหาวิทยาลัยแม่โจ้ แล้วตรงมาเลี้ยวซ้ายเข้าถนนไปอำเภอแม่รัก ถนนสี่เลนว่างโล่ง ปราศจากยวดยานพาหนะวิ่งอยู่ข้างหน้าหรือตามมาข้างหลัง คนขับใช้ความเร็วสูงกว่าปกติ เธอหันมองเจ้านาย แต่เขายังคงนิ่งเงียบ สนใจแค่โทรศัพท์ในมือ ส่วนพี่สุธรรมก็ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว ไร้เสียงพูดจา
“จะไปไหนคะเนี่ย นี่ไม่ใช่ทางเข้าเมืองไปโรงแรมนี่คะ?” ขวัญฤทัยถามขึ้นฝ่าความเงียบ
“ผมไม่เคยบอกว่าจะไปโรงแรม” อัคราเงยหน้าขึ้นพูด
“แล้วนี่เราจะไปไหนคะ?”
“ไปร่วมงานเลี้ยงพิเศษ ในสถานที่สุดพิเศษ สำหรับคนพิเศษสุดของผมอย่างคุณไงครับ”
“ขวัญคิดว่า เราจะไปร่วมงานวันชาติจีนเสียอีก”
“ผมให้คนไปแทนแล้ว”
“อะไรนะคะ ให้คนไปแทนแล้ว” เธอทวนคำ สงสัยเต็มประดา คิ้วขมวดเข้าหากัน “หมายความว่า..?”
“ใช่..งานนี้เฉพาะคุณกับผม และคนของผม”
“นี่บอสคิดจะทำอะไรกันแน่คะ” เธอถามถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจ้านาย
“ผมเตรียมงานเลี้ยงสุดพิเศษไว้ให้คุณโดยเฉพาะ”
“ไม่เอาค่ะ เลี้ยงอะไร พิเศษยังไง ขวัญก็ไม่ไป” ขวัญฤทัยประจันหน้ากับอัครา “พาขวัญกลับไปส่งบ้าน ขวัญจะกลับบ้าน”
“คุณต้องไม่พลาดงานนี้ คุณขวัญ มันพิเศษสำหรับคนอย่างคุณ”
“พิเศษยังไง ก็ไม่ไป ฉันจะกลับบ้าน” เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกแทนตัวเองเป็น “ฉัน” หางเสียงก็หายไปพร้อมกัน
ประธานบริหารหัวเราะ ก่อนตอบ “งานเลี้ยงฉลองที่เราได้ตัว หนอนบ่อนไส้ ของบริษัท”
“หนอนบ่อนไส้!” เธอเสียงดังขึ้น “ฉันไม่เห็นเข้าใจ บอสหมายถึงอะไร?”
“มันหมายถึงใคร ต่างหาก”
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี”
“ผมรักคนที่ผมไว้ใจเสมอ แต่คนที่ผมรักและไว้ใจกลับทำลายความไว้ใจของผมลงอย่างย่อยยับ” อัคราจ้องตาเลขา ของตัวเองไม่กระพริบ
“คุณพูดอะไรของคุณ ฉันยิ่งตามไม่ทันไปใหญ่” เปลี่ยนคำสรรพนามจาก “บอส” เป็น “คุณ” ในทันที
“แจกันหยกขาวใบนั้นไง” อัคราชี้นิ้วไปที่เบาะผู้โดยสารข้างหน้าฝั่งซ้าย
“แจกัน..”ขวัญฤทัยชะงักชั่วอึดใจ “แจกันเกี่ยวอะไร ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าใจ”
“ผมเพิ่งพบว่า มันเป็นคนละใบกับแจกันที่ผมได้รับเป็นของขวัญในวันตรุษจีน”
“เป็นไปไม่ได้” เธอโต้แย้ง
“หลักฐานวางโทนโท่อยู่นั่น”
“คุณรู้ได้ยังไงว่า มันเป็นคนละใบ”
“คุณบอกผมซิ”
“คุณอัครา..” เสียงของเธอเบาลง ควบคุมอารมณ์และจิตใจ หัวใจเต้นช้าลง “ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่เกี่ยว”
“ก้นแจกันใบนั้นถูกดัดแปลงให้มีสองชิ้นเสียบประกบกันอย่างแนบเนียนจนแทบจะดูไม่ออก มีช่องว่างอยู่ข้างในระหว่างชิ้นบนกับชิ้นล่าง เราพบเครื่องดักฟังในช่องนั้น ใครสักคนเจตนาลอบฟังการสนทนาในห้องทำงานผม” อัคราอธิบายชัดถ้อยชัดคำ
“ใครช่างกล้าทำ?” เธอมองตาเจ้านาย
“เราหาตัวการอยู่หลายเดือน จนรู้ตัวผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่บ้านจากบริษัทรับทำความสะอาดที่เราจ้างมา เราจับตัวเธอไว้แล้ววันนี้ แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่า แค่แม่บ้านคนเดียวจะทำเรื่องแบบนี้ได้ มันต้องมีคนร่วมมือหรือสั่งการ ผมกำลังจะพาคุณไปเจอแม่บ้านคนนั้น”
“คนไหน? เรามีแม่บ้านสามคน แต่ละคนหมุนเวียนขึ้นไปทำความสะอาดห้องทำงานของคุณทุกสิบวัน”
“พอไปถึง คุณจะรู้เอง แล้วผมก็จะให้คุณซักฟอกเอาความจริงจากปากแม่บ้านด้วยตัวเองว่า มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้บ้าง”
“ทำไมต้องเป็นเลขาอย่างฉัน คุณให้คนอื่นทำดีกว่า” ขวัญฤทัยพยายามบ่ายเบี่ยง
“ไม่มีใครเหมาะกับงานนี้เท่าคุณแล้ว ดูเหมือนแม่บ้านคนนั้น จะสนิทสนมกับคุณเป็นพิเศษ”
“เกี่ยวอะไรกับฉันเนี่ย” เธอก้มหน้ามองโทรศัพท์ เปิดไลน์ลูกสาวขึ้นมารีบพิมพ์ข้อความ “ขอโทษ”
อัคราชักปืนพกกึ่งอัตโนมัติออกจากข้างลำตัวด้วยมือขวา เล็งปากกระบอกปืนมาที่ขวัญฤทัย “คุณต้องไปกับผม แล้วนั่น คุณเขียนถึงใคร!?” อัคราสั่ง
และถามลั่นห้องโดยสาร
เลขาสาวใหญ่ยกสองมือขึ้นในระดับหน้าอก ปล่อยให้โทรศัพท์หล่นร่วงลงบนเบาะนั่ง ทำตาขวาง พูดอย่างเยือกเย็น “เรื่องของฉัน อย่ายุ่ง”
“นั่งเงียบๆ อย่าโวยวายหรือทำอะไรให้มันยุ่งยาก”
“คุณบอกมาดีกว่า เรื่องนี้เกี่ยวกับฉันยังไง” ใจเธอคิดถึงปืนพกประจำกายที่บ้าน จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง นิ่งรอโอกาส
“คุณทรยศผม คุณเป็นเลขาที่ผมทั้งรักและไว้ใจมาตลอดหลายปี แต่กลับกลายเป็นว่าคุณคือหนอน......โอ๊ยยย!”
ขวัญฤทัยไม่รอให้อัคราพูดจบ เธอใช้สันฝ่ามือซ้ายฟันเปรี้ยงเข้าที่ข้อมือขวาของเขา รวดเร็วและรุนแรง จนปากกระบอกปืนหันออกไปพ้นตัวเธอ ปืนลั่นกระสุนออกมาหนึ่งนัด เสียงดังจนเธอหูอื้อ ลูกปืนพลาดเป้าไปเจาะพนักพิงที่นั่งคนขับ สุธรรมร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ในจังหวะต่อเนื่องกันนั้น มือขวาของเธอก็คว้าหมับที่สไลด์บนโครงปืนแล้วบีบแน่นพร้อมกระโจนขึ้นบนเบาะ มือซ้ายแย่งกำด้ามปืนจากมือของอัครา โถมตัวใช้สองมือออกแรงบิดให้ลำกล้องปืนหันเข้าหาหน้าอกเขา ส่วนอัคราเองก็ใช้มือซ้ายเข้าช่วยมือขวา เกร็งแขนผลักดันปืนให้หมุนกลับมาจ่อที่ลำตัวฝ่ายหญิง เขาเหนี่ยวไกแต่มันแข็ง กดไม่ลง ปืนไม่ลั่นออกไป เพราะสไลด์ถูกมือกำบีบรัดไว้กับโครงปืนแน่นสุดแรง สองคนต่อสู้ประลองกำลังแขนกันสุดฤทธิ์ แต่หลังยื้อยุดฉุดกระชากแย่งปืนกันอยู่ครู่ใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกได้ว่ารถเริ่มแล่นส่ายไปมาบนถนนด้วยความเร็วสูง เหมือนไร้คนขับ ทั้งคู่เสียการทรงตัว เซล้มลงบนเบาะด้านขวาแล้วถูกโยนกลับไปกระแทกประตูฝั่งซ้ายรุนแรงตามแรงเหวี่ยงของรถ มือทั้งสองข้างของแต่ละคนยังคงเหนี่ยวรั้ง งัดข้อกันไปมาไม่มีใครยอมใคร และแล้วจู่ๆ อัคราก็ออกอาการอ่อนล้า พลังแขนกับข้อมือลดลงไปเล็กน้อย ทำให้ขวัญฤทัยได้โอกาสพลิกกลับมากุมความได้เปรียบ เธอสามารถสอดนิ้วชี้ข้างซ้ายเข้าทับนิ้วชี้ข้างขวาของอัคราบนไกปืนจากอีกฝั่งได้สำเร็จ แล้วหมุนบิดข้อมือเขาให้ปากกระบอกปืนชี้ไปทางประตูรถด้านซ้าย เธอคลายกำมือขวาจากการบีบสไลด์พอหลวมๆ กดนิ้วมือของอัคราให้เหนี่ยวไก กระสุนระเบิดออกเจาะกระจกประตูร้าวจนกลายเป็นเกล็ดทั่วทั้งบาน
ทันใด ขวัญฤทัยก็บิดข้อมือกดปากกระบอกปืนให้จ่อลงที่ต้นขาขวาของอัครา เหนี่ยวไกอีกนัด กระสุนวิ่งผ่านกางเกงทะลุเข้าเนื้ออวบอ้วนของเขา อัคราร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ใบหน้าบิดเบี้ยว แขนอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด เธอจับข้อมือเขากระแทกเข้ากับขอบประตูนับครั้งไม่ถ้วนจนปืนหลุดออกจากกำมือและหล่นลงบนพื้นแผ่นยางสำหรับวางเท้า
เลขาขยุ้มเส้นผมจับหัวประธานบริหารโขกกับขอบประตูอย่างรุนแรง ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วใช้มือขวาดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาพันรอบคอเขาสองรอบ ดึงให้ตึง กระโดดถอยหลังมาชิดบานประตูฝั่งขวา สองมือออกแรงดึงสายเข็มขัดด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีในร่างกาย
อัคราดิ้นพล่าน หายใจไม่ออก สองตาเบิกโพลงแทบถลนออกนอกเบ้า เส้นเลือดปูดโปนบนใบหน้า ส่งเสียงฟังไม่ได้ศัพท์ในลำคอ ตะเกียกตะกายใช้สองมือดึงสายเข็มขัดกลับเพื่อให้มันคลายออก ดิ้นรนหาทางสูดอากาศเข้าเต็มปอดอีกครั้ง แต่ยิ่งดึงก็ยิ่งคล้ายกับแข่งชักคะเย่อ เพราะอีกฝ่ายก็ดึงกลับด้วยเรี่ยวแรงมากมายมหาศาล เขาเลื่อนลำตัวขึ้นบนเบาะ ปล่อยมือจากสายเข็มขัดมาคว้าคอและดึงผมเธอ แต่เธอก็สลัดจนหลุด เขาใช้เท้าซ้ายถีบที่ลำตัวเธอ แต่ก็ถูกเธอยกขาขึ้นเตะปัดป้องพร้อมส่งเสียงคำรามลั่นเยี่ยงสัตว์ป่า บ้าคลั่งและดุร้าย เขาเปลี่ยนมาดึงสายเข็มขัดอีกครั้ง ทุรนทุรายอยู่อย่างนั้นหลายนาทีเพื่อให้หลุดพ้นพันธนาการ แต่ก็ยากจะต้านทานไหว สายเข็มขัดบีบรัดลำคอแน่นตึง ใกล้ขาดใจ หมดหนทางคลายมันออก แขนขาเริ่มอ่อนปวกเปียก พละกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงไม่เหลือ และแล้วการต่อสู้ขัดขืนก็สิ้นสุดลง เขาหมดสติอยู่ในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนบนเบาะผู้โดยสารด้านหลังฝั่งซ้ายนั่นเอง
ส่วนสุธรรมนั้นนั่งคอพับอยู่บนที่นั่งคนขับ สองมือตกจากพวงมาลัยวางอยู่ข้างตัวบนเบาะ เท้าขวากดคันเร่งค้างไว้จนจมมิด รถเมอร์ซีเดสยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อยบนถนนอย่างอิสระ ไร้การควบคุมอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็แล่นออกนอกเลนไปทางซ้าย พุ่งชนราวสะพานปูนซีเมนต์แตกกระจาย ตัวรถทะลุออกไปเหินลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ ก่อนจะตกลงไปในแม่น้ำในชั่วเสี้ยววินาที แล้วค่อยๆ จมลงไปใต้ผืนน้ำลึกมืดดำ
ก่อนรถจะจมลงใต้น้ำ ขวัญฤทัยหยิบปลอกกระสุนหนึ่งปลอกที่พบอยู่บนเบาะนั่งใส่กระเป๋าสะพาย ถีบกระจกประตูฝั่งผู้โดยด้านหลังข้างซ้ายจนหลุดออกทั้งบาน เธอกลั้นหายใจเมื่อน้ำพรั่งพรูเข้าภายในห้องโดยสาร เย็นยะเยือก เหน็บหนาวถึงกระดูก เมื่อระดับน้ำท่วมทั้งคัน เธอก็พุ่งตัวออกจากรถ ลอยคอดำผุดดำว่ายตามกระแสน้ำไหลเอื่อยๆ ออกห่างจากจุดที่รถตกแม่น้ำไปเรื่อยๆ นานแสนนาน จนแน่ใจว่าไกลมากพอแล้วจึงจะเกาะกอหญ้าริมตลิ่งพักเหนื่อย นาฬิกากันน้ำที่ข้อมือซ้ายบอกเวลาตีหนึ่ง เธออยู่ในน้ำห้าชั่วโมงเชียวหรือนี่ ไม่เป็นตะคริวจมน้ำตายก็บุญแค่ไหนแล้ว
กระเป๋าสายโซ่และสมบัติอย่างอื่นยังอยู่กับตัว โทรศัพท์แช่น้ำคงพังไปแล้ว เงินถึงจะเปียกโชกแต่ยังคงมีค่าเสมอ บัตรประชาชน ใบขับขี่ บัตรเอทีเอ็ม เครดิตการ์ด และเอกสารอย่างอื่น ตากให้แห้งก็ยังใช้การได้ แต่เครื่อง Personal Tracking Locator ติดตามตำแหน่งส่วนบุคคลในกระเป๋าน่าจะพังใช้การไม่ได้แล้ว เธอจำเป็นต้องถอดร้องเท้าส้นสูงคู่สวยทิ้ง น่าเสียดายมาก แต่เท้าเปลือยเปล่าสะดวกต่อการว่ายน้ำมากกว่า หวังว่ามันจะจมลงใต้พื้นดินโคลน ไม่ลอยขึ้นมาให้ใครพบเห็นบนผิวน้ำ มือคลำที่ติ่งหูสองข้าง ต่างหูทับทิมเหลืออยู่ข้างเดียว เก็บข้างที่เหลือใส่กระเป๋า อีกข้างคงหล่นหายในแม่น้ำ หรืออาจตกอยู่ในรถ แต่ช่างเถอะ กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว สายตากวาดมองรอบตัวในความมืดสลัว หาทางขึ้นฝั่ง
เธอคิดถึงปืนพกกระบอกเล็กที่ตัดสินใจเก็บไว้บ้านเมื่อตอนหัวค่ำ
หวังว่าสองคนในรถนั่นจะยังไม่ตายและหาทางหนีออกมาได้ทัน หรือว่าตายไปแล้วก็ไม่รู้ แต่ช่างหัวพวกนั้น เธอไม่ใส่ใจความเป็นความตายของอดีตเจ้านายกับคนขับรถอีกแล้ว อย่างไรเสีย เธอก็จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในอุบัติเหตุครั้งนี้อยู่แล้ว หรือ ดีขึ้นมาหน่อยก็จะถูกยกให้เป็นพยานปากสำคัญ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า เธอจะกลายเป็นผู้ต้องหา หากนายอัครากับพี่สุธรรมเสียชีวิต
เรื่องที่เกิดขึ้นเล็กน้อยมากสำหรับเธอ หากเปรียบเทียบกับสิ่งที่เธอจะไปทำให้สำเร็จในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ขวัญฤทัยแหวกว่ายเลาะริมตลิ่งมาอีกสองถึงสามร้อยเมตรจนถึงท่าน้ำที่มีแพไม้ไผ่และราวจับยื่นออกมา คงทำไว้สำหรับลอยกระทง..เธอคิด กวาดสายตามองสรรพสิ่งรอบข้าง เหนือแพขึ้นไปเป็นศาลาหลังเล็ก และมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ ถัดไปเป็นกำแพงสีขาว คงจะเป็นด้านหลังวัดใดวัดหนึ่งของชุมชนแถวนี้ เธอเกาะด้านข้างแพไม้ไผ่พยุงตัวเดินขึ้นมายืนบนพื้นดินแห้งแข็ง ร่างกายเปียกปอน สั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ ฟันกระทบกันดังกึกกัก ใช้สองมือรีดไล่น้ำออกจากชุดกี่เพ้า บิดผมให้หมาด เทน้ำออกจากกระเป๋าสะพาย ก้าวตามบันไดขึ้นเนินลาดชันมาที่ศาลา
หมาหลายตัวข้างในรั้ววัดเห่าขึ้นเกรียวกราว ประตูรั้วปิดล็อค ป้ายบนกำแพงบอกชื่อวัดบ้านแก้ว ตำบลสันผีเสื้อ อำเภอเมือง เธอเดินลัดเลาะมาจนสุดกำแพงด้านหนึ่งแล้วเลี้ยวตามแนวกำแพงมาเดินในร่องระบายน้ำที่คั่นกลางระหว่างกำแพงวัดกับรั้วบ้านพักอาศัยของชาวบ้าน เธอออกสู่ซอยแคบๆ เห็นด้านหน้าวัดเปิดไฟหนึ่งดวง จึงหลบกลับเข้ามุมกำแพง หมาหมู่ในวัดยังเห่าไม่หยุด หมาจรจัดในซอยก็พลันเห่าตามกันเป็นระลอก
ขวัญฤทัยยืนนิ่งรออยู่ในเงามืด ทั้งตัวยังคงสั่นเทา ครู่ใหญ่ก็มีรถมอเตอร์ไซค์ติดเข่งพลาสติกไว้ข้างหลังวิ่งผ่านหน้าวั