Ep. 29 > Part สีดำ
<“สีดำ” achromatic หมายถึง การไม่มีสี ในทางทฤษฎีไม่จัดว่าเป็นสี แต่ก็มีอิทธิพลต่อสภาวะอารมณ์
<เป็นตัวแทนของพลังอำนาจ ความโกรธ ความทุกข์ ความเศร้า ดื้อรั้น การมองโลกในแง่ร้าย การบังคับควบคุม ความมืด ความลึกลับ ความกลัว ความชั่วร้าย เศร้าหมอง ความตาย [1]
<โดยทั่วไป ผู้หญิงจะมีความรู้สึกต่อสีไวกว่าผู้ชาย และลักษณะการบอดสี จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[2]
ความโกรธ:[☆]
<ความโกรธ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เป็นพันธุกรรม และอารมณ์ปกติ แต่เมื่อควบคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็นพลังทำลายล้าง อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล [3] คนที่มักโกรธง่าย มีการเลียนแบบบุคคลสำคัญหรือผู้ที่ใกล้ชิด
ปี 2550-2551
“ทะเลาะกันห้ามลงมือ”
เสียงป๊าของฉันพูดกับดี ป๊าของฉันมองจ้องเข้าไปนัยน์ตาของดี ด้วยน้ำเสียงราบเรียบกึ่งสั่ง กึ่งตักเตือน ฉันได้ยินคำนี้ด้วยหูทั้งสองข้างของฉันอย่างแจ่มชัดจากปากของป๊าวันแต่งงาน และได้ยินเสียงป๊าตะโกนก้องอีกครั้งในหูวันนี้ วันที่ฉันโดนทำร้าย
นั่นเป็นคำตักเตือนลูกเขยของป๊าที่หวงลูกสาว หรือคำพยากรณ์กันแน่นะ หรือป๊าอาจจะรู้หรือมองออกอยู่แล้วก็ได้ว่าวันนึงมันจะต้องเกิดขึ้น!!
ดีทำร้ายร่างกายของฉัน ต่อหน้าพ่อแม่ของเขาในบ้านของเขา ฉันรู้สึกอดสู ไร้ค่า ไร้ราคา ไร้เกียรติ ต่ำต้อย โดนดูถูก เหยียดหยาม และถูกหักหลัง ฉันถูกคนรักเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนป่นปี้ ไม่เหลือชิ้นดี
ถ้าเปลี่ยนที่ยืนระหว่างฉันกับดี เช่น คนที่ทำร้ายดีเป็นฉัน และป๊าแม่ของฉันยืนอุ้มเคน อายุไม่เกิน 1.9 ปี ในวงแขน และเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ป๊ากับแม่ฉันจะห้ามปรามการทำร้ายร่างกายครั้งนี้หรือไม่? ฉันอยากรู้เสียจริง
ความเศร้า: [☆]
< ความเกลียด เป็นอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีพัฒนาไปในทิศทางที่รุนแรงมากเกินจำเป็น จะต้องมีข้อมูลมากขึ้นกว่านั้น เพื่อจะเกลียดใครสักคน[4]
ใช่แล้ว ฉันเกลียด!!!
ทำไมฉันถึงยอมให้ เคน กลับไปกับดี อดีตสามี?
เพราะ ฉันรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่า เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อข้าว น้ำมะพร้าว นมสด ไข่ไก่ ข้าวเหนียวที่ฉันกิน (ช่วงที่ฉันท้องฉันกินได้แต่ข้าวเหนียว ไข่เจียว) ตั้งแต่ตั้งท้องจนเคน อายุ 1.9 ปี นมผง ขวดนม จุกนม ผ้าอ้อม เสื้อผ้าเคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และอื่น ๆ ทั้งหมดมันคือ “เงินของครอบครัวของดี อดีตสามีที่ฉันชิงชัง”
[☆] ความเศร้า (Sadness) กับความซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของทั้งสองสภาวะได้
[☆] ความโศกเศร้า แสดงออกในรูปแบบของความเหงา ความเสียใจ และความอ่อนแอ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว หรือใช้ความเข้าใจต่อบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นได้ อารมณ์เศร้าก็จะจางหายไปได้ตามกาลเวลา[4]
การมองโลกในแง่ร้าย: [☆]
< การมองโลกในแง่ร้าย เป็นการมองสถานการณ์ให้เลวร้ายเกินจริง ทำให้หมดกำลังใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ย่อมเป็นวิธีการมองโลกที่ไม่สมบูรณ์
คืนที่ฉันโดนทำร้ายร่างกาย ฉันนั่งร้องไห้บนฟูกหกฟุต สายตาเหม่อลอยจับจ้องที่ตู้ไม้ใส่หนังสือสามชั้น สูงประมาณเอว สีส้ม ฉันขนตู้หลังนี้ย้ายมาบ้านดีด้วย หลังแต่งงาน
ตอนฉันตัดสินใจซื้อตู้หลังนี้มา จำได้ว่าวันนั้นขณะที่ทำงาน จัดเรียงเอกสารอยู่ ๆ ฉันก็อยากได้ตู้ใส่หนังสือขึ้นมา เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฉันรีบขับรถฯ ไปร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แล้วมาประกอบเองที่บ้าน
ตอนนั้นฉันเลือกทำแต่สิ่งที่ฉันชอบ ซึ่งฉันชอบแต่งหน้า จึงเลือกทำงานในบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่ง ระหว่างทำงานฉันได้เรียนแต่งหน้าเจ้าสาว ได้แต่งหน้าตนเอง ได้ทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชิ้นเพื่อขาย มันแน่นอนอยู่แล้วที่ฉันต้องแต่งตัว ฉันในวันนั้นจึงดูดีกว่าฉันในวันนี้ราวฟ้ากับเหว
ตั้งแต่แต่งงานฉันสิ้นสุดอิสระทางการเงิน ความคิด ไร้ความสุข ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีความคล่องแคล่ว ถูกด้อยคุณค่า ห่างจากสังคมเพื่อนฝูง เก็บตัว พูดน้อยลงกว่าเดิมมาก บางวันฉันไม่พูดกับใครเลยเสียด้วยซ้ำ และตอนนี้ดวงตาของฉันเต็มไปด้วยน้ำตา มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ??
ฉันยื่นมือเอื้อมเปิดตู้หนังสือสีส้ม ที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าของฉัน ภายในตู้สีส้มหลังนั้นมีของใช้ส่วนตัวของฉันก่อนแต่งงาน วางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำหอม Tommy ขวดแก้วใสสี่เหลี่ยมทรงสูง แม้กลิ่นของมันจะชวนกระตุ้นอาการไมเกรนของฉัน แต่ฉันก็ยังยืนยันจะซื้อ และฉีดเกือบทุกวันที่ไปทำงาน
กระเป๋าถือ กระเป๋า Crossbody ทรง Wristlet กระเป๋าสตางค์ prada หนังสีส้มเงา แวววาวกระทบแสง รองเท้าแตะ Burberry สีดำคาดเทา แว่นสายตากรอบสีแดงดำ CALVIN KLEIN แว่นกันแดด นาฬิกาข้อมือ
นอกจากหนังสือนิยายมากมายที่ถูกห่อหุ้มด้วยปกพลาสติกใส วางรายเรียงเป็นอย่างดี และครีมขัดผิวยี่ห้อดังหลายกระปุกถูกวางเรียงซ้อนกัน อดีตฉันใช้เงินซื้อของพวกนี้ไปเท่าไรกันนะ?!
ฉันยอมให้คุณภาพชีวิตของตัวเองตกต่ำได้ขนาดนี้เพียงเพื่อผู้ชาย และความรักโง่ ๆ เท่านั้นเองนะหรือ? ฉันฉลาดได้เพียงเท่านี้เองหรือนี่? อุตส่าห์มั่นหน้ามั่นโหนกคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอด!! ฉันนี่มันช่างหน้าโง่เสียจริง!!
[☆] ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ถูกสามีทำร้ายร่างกาย จำนวน 9 ราย มีความเหน็ดเหนื่อย น้อยใจ โกรธแค้น เกลียดชัง ต้องการก้าวออกไปจากความสัมพันธ์ รู้สึกสมน้ำหน้าตนเอง เสียดายเวลา และผิดหวังกับชีวิตที่ต้องตกต่ำ (คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552)[5]
[☆] เพศหญิงมักจะควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางสังคม และวัฒนธรรมมากกว่า[6]
[☆] “ความโกรธ + สติ” จะช่วยเพิ่มทางเลือก หากสามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม
[☆] นักจิตวิทยามองว่า ความโกรธแค้น ไม่ใช่ความโกรธ ต้องแยกกันอย่างชัดเจน
ความลึกลับ:
ค่ำวันนึง หลังเดือนกันยายน ปี 2553
“จี กูจะกลับบ้านคืนวันศุกร์นี้”
ฉันบอกจี ฉันพูดประโยคนี้ทันทีที่รับโทรศัพท์จี ฉันไม่ได้กล่าวทักทายอะไรจีเช่นทุกครั้ง
หลังการทำร้ายร่างกาย ฉันทบทวนสิ่งที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับชีวิตฉัน และชีวิตคู่ของฉันอยู่หลายครั้งหลายหน จนมั่นใจอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่ต้องการมีดี ในชีวิตของฉันอีกแล้ว” ถ้าฉันพึ่งเขาฉันต้องถูกดูแคลน ดูถูกเหยียบย่ำเช่นนี้อีกกี่ครั้ง?
ถ้าฉันอดทนมากกว่านี้ ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไรกันนะ? ถ้าฉันอายุมากกว่านี้ฉันจะรับมือกับชีวิตที่ล้มเหลวได้ไหมนะ? เคนคือหลาน แต่ฉันคือคนอื่น ฉันจะพึ่งเขาหรือ? ฉันจำเป็นต้องพึ่งคนอื่นจริง ๆ หรือ? ฉันรับไม่ได้!!
“จริงนะ กูจัดการให้!!”
จีตอบฉัน
วันที่ฉันบอกจีว่าจะกลับบ้าน จียังไม่รู้เรื่องการทำร้ายร่างกาย ฉันยังไม่กล้าบอก เพราะมีความหวังอยู่นิดนิดว่า ถ้าดี ยอมให้เคนอยู่กับฉันที่บ้านป๊า วันใดที่ดีคิดถึงเคน สามารถมาหาเคนได้ตลอดเวลา ครอบครัวของฉันจะได้ไม่แสดงอาการไม่ดีกับครอบครัวของดี ถ้าวันนั้นที่ฉันหวังไว้มีจริง ฉันจะได้ไม่ลำบากใจมากนัก
จี ย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวรได้ปีกว่าแล้วกระมัง ระยะนี้ฉันกับจีคุยกันมากกว่าตอนที่เราสองคนอยู่ร่วมบ้าน ร่วมคอนโดฯ กันเสียอีก จีรับรู้ปัญหาชีวิตคู่ของฉันกับดีมาเป็นระยะ ๆ
ที่ผ่านมาฉันกับจีเราสองพี่น้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยังเล็ก และหนักข้อขึ้นมากช่วงวัยรุ่น แต่ทั้งฉันและ จี เราสองคนจะสามัคคีกันมากเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังมีภัย
ค่ำวันพุธ หลังเดือนกันยายน ปี 2553
“คิดถึงแม่” ฉันบอกดี
ฉันบอกกับดีว่า อยากกลับบ้านพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดสักพัก ฉันไม่ได้โกหกแต่แค่บอกไม่หมดเท่านั้น
ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลับมาที่บ้านนี้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอแค่ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก แลกกับอะไรก็ได้ ฉันยอม และฉันก็แลกจริง ๆ ดังใจคิด
“ก็กลับสิ เอาเคนไปด้วยไหม?” ดีถามฉัน
“เอา” ฉันตอบ
“จะกลับมาอีกใช่ไหม? ถ้าไม่กลับพี่ดีจะไปรับกลับ? ดีบอกฉัน
“...” ฉันเงียบไม่ตอบ
[☆] มองเห็นแต่จุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความกังวลจนเกินเหตุ แต่วิธีคิดแบบนี้มีจุดแข็งก็คือ ทำให้เกิดการเฝ้าระวังในสิ่งที่กำลังคิดหรือทำอยู่ แต่จุดอ่อนก็คือ หากวิตกมากเกินไปก็ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมสิ่งดี ๆ [7]
ความกลัว:
พฤศจิกายน 2553
เพียง 7 วันที่ฉันพาเคนมาอยู่บ้านป๊ากับแม่ ดี โทรศัพท์หาฉันทั้งวัน โทรฯ เกือบทุก 2 ชั่วโมง เหมือนดีรู้เป็นนัยๆ ว่าฉันจะไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีก
การคุยกันแต่ละครั้งดี บอกรักฉัน แต่อีกสักพักเขาก็บอกเลิก และอีกครั้งก็ขู่จะพาเคนกลับไป ฉันกลัว [☆] กังวล และเครียดเหลือเกิน ฉันนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว
คืนที่ 7 คืนสุดท้าย ความอดทนของฉันก็สิ้นสุดลง จึงบอกให้ดีมารับเคน กลับบ้านเขาไปได้เลย ฉันตัดสาย เก็บข้าวของ ฉันกอด หอม เล่นกับเคนให้มาก และนานที่สุด คืนนั้นฉันก็ไม่ได้นอนเหมือนทุกคืน แต่คืนนี้ฉันร้องไห้ด้วย
[☆] ความกลัว “insecure” คือ ความรู้สึกว่าตนเองไม่มั่นคง ไม่มีปลอดภัย ซึ่งทางจิตวิทยา สภาวะ insecure ที่เกิดขึ้นกับจิตใจก็คือสภาวะที่มีความรู้สึกขาด โหยหา ไม่มีความมั่นใจ หรือการที่ไม่สามารถที่จะรับมือกับอะไรที่ไม่ชัดเจนได้
[☆] แก้ความกลัว โดยการ ฝึกการเท่าทันความรู้สึกของตัวเอง ใช้เทคนิค “Name it to tame it.” เพราะเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น มักมาคู่กันกับความคิด หากปล่อยให้ความคิดนำไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความฟุ้งซ่าน อารมณ์ทางลบก็จะขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ และนำไปสู่การมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก และสติจะช่วยให้สามารถควบคุมความคิด และพฤติกรรมได้ [8]
ความชั่วร้าย:[☆]
เช้าตรู่ วันที่ 8 ฉันนำของใช้เคน วางไว้ที่หน้าประตูบ้าน ฉันชงนมเตรียมความพร้อมเผื่อเคนนั่งรถฯ นานจะร้องไห้หิวนม
ประมาณ 7.00 น. ดีกับพ่อของดีมารับเคน พร้อมนำตุ๊กตากระต่ายสีขาว กับไม้ไฟกระพริบวูบวาบรูปหัวใจสีแดงติดมือกันมาด้วย
ดีและพ่อของดีส่ายของเล่นกับตุ๊กตาในมือไปมาเรียกร้องความสนใจจากเคน ได้ผลดีเสียด้วย
สายตาของเคนจ้องไปที่ของเล่นในมือดี เคนชูมือทั้งสองข้าง เดินเข้าหาดีอย่างสนุกสนาน ชูมือหยิบของเล่น พ่อของดีโน้มตัว ยื่นมือฉวยอุ้มเคนไว้แนบอกอย่างเร็วพลัน ฉันยืนแน่นิ่งมองเคนที่เดินไปหาดี ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แขน ขาของฉันเหมือนจะอ่อนแรง และจุกในอก
“ถ้าเอาเคนไปจากกู เราสองคนขาดกัน” ฉันยื่นคำขาด
ฉันกับเคนกอดกันแน่น เคนกำเสื้อใช้นิ้วมือบีบไหล่ฉันเบา ๆ เหมือนเคนและฉันรู้กันดีว่า วันนี้จะเป็นวันที่เราแม่ลูกต้องจากกันตลอดกาล แขน ขาของฉันไร้เรี่ยวแรง ดวงตาร้อนผ่าว ฉันเริ่มควบคุมสีหน้าของตัวเองไม่ได้ เพราะหัวใจของฉันแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“จะทนได้เหรอที่จะห่างจากลูกอ่ะ? หวงลูกจะตาย รักลูกขนาดนี้ทนไม่ไหวหรอก!!”
ดีโน้มตัวลงมาพูดกับฉันข้างหูด้วยเสียงเบา ๆ และสีหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมือดึงฉันไปกอด ลูกผมแล้วจูบลงบนหน้าผากของฉัน ช่างเป็นภาพการจากลาที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน
ดียกมือฉวยเคนที่แขนพ่อของดี แล้วอุ้มเคนเดินไปรถฯ ที่จอดอยู่หน้าบ้านฉันอย่างช้า ๆ พรางหันมามอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กึ่งยิ้มเยาะ เหล่ตามองฉันอย่างผู้ที่มีชัยที่เหนือกว่า ฉันหันหลังกลับเข้าในตัวบ้านป๊า ฉันเดินขึ้นห้องนอน กลัวกลั้นน้ำตาไม่ทัน
[☆] ทำไมคนรักกันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิก อีกฝ่ายหนึ่งจึงตอบแทนด้วยความรุนแรง นักจิตวิทยาได้ศึกษาโดยย้อนหลัง ไปยังวัยทารกช่วง 2-3 ปีแรกของชีวิต ความอบอุ่นจากแม่ ทำให้เด็กพัฒนาความรู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่าเพียงใด ความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเอง และความไว้วางใจในตัวผู้อื่น ซึ่งจะติดตัวมาจนเป็นผู้ใหญ่[9]
เศร้าหมอง:
ปกติเคนติดฉันมาก เคนเคยเป็นโคลิคร้องไห้หน้าดำหน้าแดงหลายชั่วโมง ตั้งแต่ 20.00 น. -4.00 น. เวลาเคนมีอาการทุกคนในครอบครัวดีต่างแยกย้ายเข้าห้องตัวเอง ไม่เว้นแม้กระทั่งดี
ฉันต้องอุ้มเคนเดินไปมาในบ้าน กอด ชวนคุย ชวนเล่น อุ้มกล่อมนอนให้เคนนอนในอกฉัน บางคืนเคนร้องไห้หนักจนสีหน้าไม่ค่อยดี ฉันจะอุ้มไปเดินข้างนอกบ้าน บางคืนดีก็จะเดินไปด้วย แต่ไม่นานก็ชวนเข้าไปกล่อมเคนในบ้าน ให้เหตุผลว่าดีจะได้ดู tv หรือนอนหลับต่อ ฉันก็ไม่ได้ขัดอะไร
บางคืนเข้าบ้านได้ครู่เดียว เคนก็ร้องไห้หน้าตาแดงกร่ำจนท้ายที่สุด ฉันก็ต้องอุ้มเดินไปมาในหมู่บ้านอยู่นานหลายชั่วโมง กว่า เคนจะหยุดร้อง
กาลครั้งหนึ่ง (1)
<“สีดำ” achromatic หมายถึง การไม่มีสี ในทางทฤษฎีไม่จัดว่าเป็นสี แต่ก็มีอิทธิพลต่อสภาวะอารมณ์
<เป็นตัวแทนของพลังอำนาจ ความโกรธ ความทุกข์ ความเศร้า ดื้อรั้น การมองโลกในแง่ร้าย การบังคับควบคุม ความมืด ความลึกลับ ความกลัว ความชั่วร้าย เศร้าหมอง ความตาย [1]
<โดยทั่วไป ผู้หญิงจะมีความรู้สึกต่อสีไวกว่าผู้ชาย และลักษณะการบอดสี จะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง[2]
ความโกรธ:[☆]
<ความโกรธ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เป็นพันธุกรรม และอารมณ์ปกติ แต่เมื่อควบคุมไม่ได้ มันจะกลายเป็นพลังทำลายล้าง อาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล [3] คนที่มักโกรธง่าย มีการเลียนแบบบุคคลสำคัญหรือผู้ที่ใกล้ชิด
ปี 2550-2551
“ทะเลาะกันห้ามลงมือ”
เสียงป๊าของฉันพูดกับดี ป๊าของฉันมองจ้องเข้าไปนัยน์ตาของดี ด้วยน้ำเสียงราบเรียบกึ่งสั่ง กึ่งตักเตือน ฉันได้ยินคำนี้ด้วยหูทั้งสองข้างของฉันอย่างแจ่มชัดจากปากของป๊าวันแต่งงาน และได้ยินเสียงป๊าตะโกนก้องอีกครั้งในหูวันนี้ วันที่ฉันโดนทำร้าย
นั่นเป็นคำตักเตือนลูกเขยของป๊าที่หวงลูกสาว หรือคำพยากรณ์กันแน่นะ หรือป๊าอาจจะรู้หรือมองออกอยู่แล้วก็ได้ว่าวันนึงมันจะต้องเกิดขึ้น!!
ดีทำร้ายร่างกายของฉัน ต่อหน้าพ่อแม่ของเขาในบ้านของเขา ฉันรู้สึกอดสู ไร้ค่า ไร้ราคา ไร้เกียรติ ต่ำต้อย โดนดูถูก เหยียดหยาม และถูกหักหลัง ฉันถูกคนรักเหยียบย่ำศักดิ์ศรีจนป่นปี้ ไม่เหลือชิ้นดี
ถ้าเปลี่ยนที่ยืนระหว่างฉันกับดี เช่น คนที่ทำร้ายดีเป็นฉัน และป๊าแม่ของฉันยืนอุ้มเคน อายุไม่เกิน 1.9 ปี ในวงแขน และเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ป๊ากับแม่ฉันจะห้ามปรามการทำร้ายร่างกายครั้งนี้หรือไม่? ฉันอยากรู้เสียจริง
ความเศร้า: [☆]
< ความเกลียด เป็นอารมณ์โกรธที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมีพัฒนาไปในทิศทางที่รุนแรงมากเกินจำเป็น จะต้องมีข้อมูลมากขึ้นกว่านั้น เพื่อจะเกลียดใครสักคน[4]
ใช่แล้ว ฉันเกลียด!!!
ทำไมฉันถึงยอมให้ เคน กลับไปกับดี อดีตสามี?
เพราะ ฉันรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่า เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่ซื้อข้าว น้ำมะพร้าว นมสด ไข่ไก่ ข้าวเหนียวที่ฉันกิน (ช่วงที่ฉันท้องฉันกินได้แต่ข้าวเหนียว ไข่เจียว) ตั้งแต่ตั้งท้องจนเคน อายุ 1.9 ปี นมผง ขวดนม จุกนม ผ้าอ้อม เสื้อผ้าเคน ผ้าอ้อมสำเร็จรูป และอื่น ๆ ทั้งหมดมันคือ “เงินของครอบครัวของดี อดีตสามีที่ฉันชิงชัง”
[☆] ความเศร้า (Sadness) กับความซึมเศร้า (Depression) ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แต่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างของทั้งสองสภาวะได้
[☆] ความโศกเศร้า แสดงออกในรูปแบบของความเหงา ความเสียใจ และความอ่อนแอ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง การปรับตัว หรือใช้ความเข้าใจต่อบางสิ่งบางอย่างที่เกิดขึ้นได้ อารมณ์เศร้าก็จะจางหายไปได้ตามกาลเวลา[4]
การมองโลกในแง่ร้าย: [☆]
< การมองโลกในแง่ร้าย เป็นการมองสถานการณ์ให้เลวร้ายเกินจริง ทำให้หมดกำลังใจ ไม่กล้าตัดสินใจ ย่อมเป็นวิธีการมองโลกที่ไม่สมบูรณ์
คืนที่ฉันโดนทำร้ายร่างกาย ฉันนั่งร้องไห้บนฟูกหกฟุต สายตาเหม่อลอยจับจ้องที่ตู้ไม้ใส่หนังสือสามชั้น สูงประมาณเอว สีส้ม ฉันขนตู้หลังนี้ย้ายมาบ้านดีด้วย หลังแต่งงาน
ตอนฉันตัดสินใจซื้อตู้หลังนี้มา จำได้ว่าวันนั้นขณะที่ทำงาน จัดเรียงเอกสารอยู่ ๆ ฉันก็อยากได้ตู้ใส่หนังสือขึ้นมา เมื่อเวลาเลิกงานมาถึง ฉันรีบขับรถฯ ไปร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แล้วมาประกอบเองที่บ้าน
ตอนนั้นฉันเลือกทำแต่สิ่งที่ฉันชอบ ซึ่งฉันชอบแต่งหน้า จึงเลือกทำงานในบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่ง ระหว่างทำงานฉันได้เรียนแต่งหน้าเจ้าสาว ได้แต่งหน้าตนเอง ได้ทดสอบใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางทุกชิ้นเพื่อขาย มันแน่นอนอยู่แล้วที่ฉันต้องแต่งตัว ฉันในวันนั้นจึงดูดีกว่าฉันในวันนี้ราวฟ้ากับเหว
ตั้งแต่แต่งงานฉันสิ้นสุดอิสระทางการเงิน ความคิด ไร้ความสุข ไร้ชีวิตชีวา ไม่มีความคล่องแคล่ว ถูกด้อยคุณค่า ห่างจากสังคมเพื่อนฝูง เก็บตัว พูดน้อยลงกว่าเดิมมาก บางวันฉันไม่พูดกับใครเลยเสียด้วยซ้ำ และตอนนี้ดวงตาของฉันเต็มไปด้วยน้ำตา มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ??
ฉันยื่นมือเอื้อมเปิดตู้หนังสือสีส้ม ที่ตั้งเด่นอยู่ด้านหน้าของฉัน ภายในตู้สีส้มหลังนั้นมีของใช้ส่วนตัวของฉันก่อนแต่งงาน วางเรียงรายอยู่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย น้ำหอม Tommy ขวดแก้วใสสี่เหลี่ยมทรงสูง แม้กลิ่นของมันจะชวนกระตุ้นอาการไมเกรนของฉัน แต่ฉันก็ยังยืนยันจะซื้อ และฉีดเกือบทุกวันที่ไปทำงาน
กระเป๋าถือ กระเป๋า Crossbody ทรง Wristlet กระเป๋าสตางค์ prada หนังสีส้มเงา แวววาวกระทบแสง รองเท้าแตะ Burberry สีดำคาดเทา แว่นสายตากรอบสีแดงดำ CALVIN KLEIN แว่นกันแดด นาฬิกาข้อมือ
นอกจากหนังสือนิยายมากมายที่ถูกห่อหุ้มด้วยปกพลาสติกใส วางรายเรียงเป็นอย่างดี และครีมขัดผิวยี่ห้อดังหลายกระปุกถูกวางเรียงซ้อนกัน อดีตฉันใช้เงินซื้อของพวกนี้ไปเท่าไรกันนะ?!
ฉันยอมให้คุณภาพชีวิตของตัวเองตกต่ำได้ขนาดนี้เพียงเพื่อผู้ชาย และความรักโง่ ๆ เท่านั้นเองนะหรือ? ฉันฉลาดได้เพียงเท่านี้เองหรือนี่? อุตส่าห์มั่นหน้ามั่นโหนกคิดว่าตัวเองฉลาดมาตลอด!! ฉันนี่มันช่างหน้าโง่เสียจริง!!
[☆] ผู้หญิงที่มีประสบการณ์ถูกสามีทำร้ายร่างกาย จำนวน 9 ราย มีความเหน็ดเหนื่อย น้อยใจ โกรธแค้น เกลียดชัง ต้องการก้าวออกไปจากความสัมพันธ์ รู้สึกสมน้ำหน้าตนเอง เสียดายเวลา และผิดหวังกับชีวิตที่ต้องตกต่ำ (คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552)[5]
[☆] เพศหญิงมักจะควบคุมอารมณ์โกรธได้ดี เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันทางสังคม และวัฒนธรรมมากกว่า[6]
[☆] “ความโกรธ + สติ” จะช่วยเพิ่มทางเลือก หากสามารถจัดการกับเรื่องต่าง ๆได้อย่างเหมาะสม
[☆] นักจิตวิทยามองว่า ความโกรธแค้น ไม่ใช่ความโกรธ ต้องแยกกันอย่างชัดเจน
ความลึกลับ:
ค่ำวันนึง หลังเดือนกันยายน ปี 2553
“จี กูจะกลับบ้านคืนวันศุกร์นี้”
ฉันบอกจี ฉันพูดประโยคนี้ทันทีที่รับโทรศัพท์จี ฉันไม่ได้กล่าวทักทายอะไรจีเช่นทุกครั้ง
หลังการทำร้ายร่างกาย ฉันทบทวนสิ่งที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับชีวิตฉัน และชีวิตคู่ของฉันอยู่หลายครั้งหลายหน จนมั่นใจอย่างหนักแน่นว่า “ฉันไม่ต้องการมีดี ในชีวิตของฉันอีกแล้ว” ถ้าฉันพึ่งเขาฉันต้องถูกดูแคลน ดูถูกเหยียบย่ำเช่นนี้อีกกี่ครั้ง?
ถ้าฉันอดทนมากกว่านี้ ชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไรกันนะ? ถ้าฉันอายุมากกว่านี้ฉันจะรับมือกับชีวิตที่ล้มเหลวได้ไหมนะ? เคนคือหลาน แต่ฉันคือคนอื่น ฉันจะพึ่งเขาหรือ? ฉันจำเป็นต้องพึ่งคนอื่นจริง ๆ หรือ? ฉันรับไม่ได้!!
“จริงนะ กูจัดการให้!!”
จีตอบฉัน
วันที่ฉันบอกจีว่าจะกลับบ้าน จียังไม่รู้เรื่องการทำร้ายร่างกาย ฉันยังไม่กล้าบอก เพราะมีความหวังอยู่นิดนิดว่า ถ้าดี ยอมให้เคนอยู่กับฉันที่บ้านป๊า วันใดที่ดีคิดถึงเคน สามารถมาหาเคนได้ตลอดเวลา ครอบครัวของฉันจะได้ไม่แสดงอาการไม่ดีกับครอบครัวของดี ถ้าวันนั้นที่ฉันหวังไว้มีจริง ฉันจะได้ไม่ลำบากใจมากนัก
จี ย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวรได้ปีกว่าแล้วกระมัง ระยะนี้ฉันกับจีคุยกันมากกว่าตอนที่เราสองคนอยู่ร่วมบ้าน ร่วมคอนโดฯ กันเสียอีก จีรับรู้ปัญหาชีวิตคู่ของฉันกับดีมาเป็นระยะ ๆ
ที่ผ่านมาฉันกับจีเราสองพี่น้องเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ยังเล็ก และหนักข้อขึ้นมากช่วงวัยรุ่น แต่ทั้งฉันและ จี เราสองคนจะสามัคคีกันมากเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกำลังมีภัย
ค่ำวันพุธ หลังเดือนกันยายน ปี 2553
“คิดถึงแม่” ฉันบอกดี
ฉันบอกกับดีว่า อยากกลับบ้านพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดสักพัก ฉันไม่ได้โกหกแต่แค่บอกไม่หมดเท่านั้น
ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่กลับมาที่บ้านนี้อีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอแค่ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก แลกกับอะไรก็ได้ ฉันยอม และฉันก็แลกจริง ๆ ดังใจคิด
“ก็กลับสิ เอาเคนไปด้วยไหม?” ดีถามฉัน
“เอา” ฉันตอบ
“จะกลับมาอีกใช่ไหม? ถ้าไม่กลับพี่ดีจะไปรับกลับ? ดีบอกฉัน
“...” ฉันเงียบไม่ตอบ
[☆] มองเห็นแต่จุดด้อยของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นจากความกังวลจนเกินเหตุ แต่วิธีคิดแบบนี้มีจุดแข็งก็คือ ทำให้เกิดการเฝ้าระวังในสิ่งที่กำลังคิดหรือทำอยู่ แต่จุดอ่อนก็คือ หากวิตกมากเกินไปก็ทำให้ไม่มีโอกาสได้ชื่นชมสิ่งดี ๆ [7]
ความกลัว:
พฤศจิกายน 2553
เพียง 7 วันที่ฉันพาเคนมาอยู่บ้านป๊ากับแม่ ดี โทรศัพท์หาฉันทั้งวัน โทรฯ เกือบทุก 2 ชั่วโมง เหมือนดีรู้เป็นนัยๆ ว่าฉันจะไม่กลับไปที่บ้านนั้นอีก
การคุยกันแต่ละครั้งดี บอกรักฉัน แต่อีกสักพักเขาก็บอกเลิก และอีกครั้งก็ขู่จะพาเคนกลับไป ฉันกลัว [☆] กังวล และเครียดเหลือเกิน ฉันนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว
คืนที่ 7 คืนสุดท้าย ความอดทนของฉันก็สิ้นสุดลง จึงบอกให้ดีมารับเคน กลับบ้านเขาไปได้เลย ฉันตัดสาย เก็บข้าวของ ฉันกอด หอม เล่นกับเคนให้มาก และนานที่สุด คืนนั้นฉันก็ไม่ได้นอนเหมือนทุกคืน แต่คืนนี้ฉันร้องไห้ด้วย
[☆] ความกลัว “insecure” คือ ความรู้สึกว่าตนเองไม่มั่นคง ไม่มีปลอดภัย ซึ่งทางจิตวิทยา สภาวะ insecure ที่เกิดขึ้นกับจิตใจก็คือสภาวะที่มีความรู้สึกขาด โหยหา ไม่มีความมั่นใจ หรือการที่ไม่สามารถที่จะรับมือกับอะไรที่ไม่ชัดเจนได้
[☆] แก้ความกลัว โดยการ ฝึกการเท่าทันความรู้สึกของตัวเอง ใช้เทคนิค “Name it to tame it.” เพราะเมื่อมีอารมณ์บางอย่างเกิดขึ้น มักมาคู่กันกับความคิด หากปล่อยให้ความคิดนำไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะความฟุ้งซ่าน อารมณ์ทางลบก็จะขยายตัวออกไปเรื่อย ๆ และนำไปสู่การมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก และสติจะช่วยให้สามารถควบคุมความคิด และพฤติกรรมได้ [8]
ความชั่วร้าย:[☆]
เช้าตรู่ วันที่ 8 ฉันนำของใช้เคน วางไว้ที่หน้าประตูบ้าน ฉันชงนมเตรียมความพร้อมเผื่อเคนนั่งรถฯ นานจะร้องไห้หิวนม
ประมาณ 7.00 น. ดีกับพ่อของดีมารับเคน พร้อมนำตุ๊กตากระต่ายสีขาว กับไม้ไฟกระพริบวูบวาบรูปหัวใจสีแดงติดมือกันมาด้วย
ดีและพ่อของดีส่ายของเล่นกับตุ๊กตาในมือไปมาเรียกร้องความสนใจจากเคน ได้ผลดีเสียด้วย
สายตาของเคนจ้องไปที่ของเล่นในมือดี เคนชูมือทั้งสองข้าง เดินเข้าหาดีอย่างสนุกสนาน ชูมือหยิบของเล่น พ่อของดีโน้มตัว ยื่นมือฉวยอุ้มเคนไว้แนบอกอย่างเร็วพลัน ฉันยืนแน่นิ่งมองเคนที่เดินไปหาดี ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด แขน ขาของฉันเหมือนจะอ่อนแรง และจุกในอก
“ถ้าเอาเคนไปจากกู เราสองคนขาดกัน” ฉันยื่นคำขาด
ฉันกับเคนกอดกันแน่น เคนกำเสื้อใช้นิ้วมือบีบไหล่ฉันเบา ๆ เหมือนเคนและฉันรู้กันดีว่า วันนี้จะเป็นวันที่เราแม่ลูกต้องจากกันตลอดกาล แขน ขาของฉันไร้เรี่ยวแรง ดวงตาร้อนผ่าว ฉันเริ่มควบคุมสีหน้าของตัวเองไม่ได้ เพราะหัวใจของฉันแตกเป็นเสี่ยง ๆ
“จะทนได้เหรอที่จะห่างจากลูกอ่ะ? หวงลูกจะตาย รักลูกขนาดนี้ทนไม่ไหวหรอก!!”
ดีโน้มตัวลงมาพูดกับฉันข้างหูด้วยเสียงเบา ๆ และสีหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมือดึงฉันไปกอด ลูกผมแล้วจูบลงบนหน้าผากของฉัน ช่างเป็นภาพการจากลาที่น่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน
ดียกมือฉวยเคนที่แขนพ่อของดี แล้วอุ้มเคนเดินไปรถฯ ที่จอดอยู่หน้าบ้านฉันอย่างช้า ๆ พรางหันมามอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กึ่งยิ้มเยาะ เหล่ตามองฉันอย่างผู้ที่มีชัยที่เหนือกว่า ฉันหันหลังกลับเข้าในตัวบ้านป๊า ฉันเดินขึ้นห้องนอน กลัวกลั้นน้ำตาไม่ทัน
[☆] ทำไมคนรักกันฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิก อีกฝ่ายหนึ่งจึงตอบแทนด้วยความรุนแรง นักจิตวิทยาได้ศึกษาโดยย้อนหลัง ไปยังวัยทารกช่วง 2-3 ปีแรกของชีวิต ความอบอุ่นจากแม่ ทำให้เด็กพัฒนาความรู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่าเพียงใด ความรู้สึกเชื่อมั่นในตัวเอง และความไว้วางใจในตัวผู้อื่น ซึ่งจะติดตัวมาจนเป็นผู้ใหญ่[9]
เศร้าหมอง:
ปกติเคนติดฉันมาก เคนเคยเป็นโคลิคร้องไห้หน้าดำหน้าแดงหลายชั่วโมง ตั้งแต่ 20.00 น. -4.00 น. เวลาเคนมีอาการทุกคนในครอบครัวดีต่างแยกย้ายเข้าห้องตัวเอง ไม่เว้นแม้กระทั่งดี
ฉันต้องอุ้มเคนเดินไปมาในบ้าน กอด ชวนคุย ชวนเล่น อุ้มกล่อมนอนให้เคนนอนในอกฉัน บางคืนเคนร้องไห้หนักจนสีหน้าไม่ค่อยดี ฉันจะอุ้มไปเดินข้างนอกบ้าน บางคืนดีก็จะเดินไปด้วย แต่ไม่นานก็ชวนเข้าไปกล่อมเคนในบ้าน ให้เหตุผลว่าดีจะได้ดู tv หรือนอนหลับต่อ ฉันก็ไม่ได้ขัดอะไร
บางคืนเข้าบ้านได้ครู่เดียว เคนก็ร้องไห้หน้าตาแดงกร่ำจนท้ายที่สุด ฉันก็ต้องอุ้มเดินไปมาในหมู่บ้านอยู่นานหลายชั่วโมง กว่า เคนจะหยุดร้อง