การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FED) คืนนี้ (18 ก.ย.) เห็นสัญญาณของการปรับลดดอกเบี้ย 0.50% แรงขึ้น โดย FED WATCH TOOL แสดงความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้นเป็น 67% ส่วนอีก 33% คาดว่าจะปรับลดลง 0.25% หากปรับลด 0.5% มองว่าจะเป็นการสร้างแรงกดดันต่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มากขึ้น
“สรุปการเร่งปรับลดดอกเบี้ยลงแร็วและแรงของ อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจ Recession ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม โอกาสเกิด Recession อีก 1 ปีข้างหน้า ของสหรัฐ ล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 30% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”
ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ย 16 ต.ค.
รัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายการคลังมากขึ้น อาทิ การประชุม ครม. นัดแรกวันนี้ พิจารณาการจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน
ส่วนกระแสการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน คาดจะประกาศใช้ 1 ต.ค. 2567 มีโอกาสเกิดขึ้นสูง หลัง รมว.แรงงาน เตรียมนัดประชุมไตรภาคีอีกครั้งวันที่ 20 ก.ย. 2567 (ซึ่งหากตัวแทนนายจ้างไม่มาร่วมประชุมถือว่าสละสิทธิ์) ประเด็นดังกล่าวคาดหนุนให้ GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ดังที่ปลัดกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายไว้
ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่เตรียมหารือ ธปท.เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินในอนาคตซึ่งคาดหมายถึงการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังให้สอดคล้องกันมากขึ้น โดยสิ่งที่รัฐบาลกังวล คือ 1. อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันสูงไปหรือไม่ 2. วิธีการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท 3. การเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน
ซึ่งนักลงทุนคาดหมายว่า ธปท. มีโอกาสลดดอกเบี้ยในอนาคต โดยในปีนี้มีโอกาสเห็นการลดดอกเบี้ยสัก 1 ครั้ง ราว 25 BPS. สะท้อนตามบอนด์ยีลด์ไทยอายุ 1 ปีถึง 8 ปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ทั้งหมด ซึ่งต้องติดตามการประชุมรอบถัดไปวันที่ 16 ต.ค. 2567 ว่าจะมีมติดังที่ตลาดคาดหมายไว้หรือไม่
เห็นภาพ SET มีโอกาสเกิน 1,500 จุด
ด้านดัชนี SET มีโอกาสเดินหน้าสู่ 1,500 จุด จากโมเมนตัมสนับสนุน 2 ส่วนคือ ไตรมาส 4 ฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม ทั้งจากการเดินหน้านโยบายรัฐบาล กองทุนวายุภักษ์ หนุนฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยมาแล้วเกิน 3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนระยะถัดไปยังเห็นเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อ จากนโยบายการเงินสหรัฐ ที่มีโอกาสลดดอกเบี้ยเร็วกว่าไทย และหุ้นไทยยังมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากการ REBALANCE ของดัชนี MSCI รอบหน้า ช่วงต้นเดือน พ.ย. เพราะในช่วงไตรมาส 3 หุ้นไทยพลิกมาบวกแรง 10.3% QTD ขึ้นแรงกว่าหุ้นโลก (MSCI WORLD) ที่ขึ้นเพียง 3.6% QTD ทำให้น้ำหนักหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ
โดยตามกลไก VALUATION เวลาฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นมีโอกาสซื้อขายบน MEYG -0.5SD ถึง 1 SD หรือบริเวณ 3.5-3.3% หนุน P/E เพิ่มและดัชนีเป้าหมายเพิ่มขึ้น 73 –126 จุด เป็น 1,523 -1,576 จุด
กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น เพื่อรักษาสเถียรภาพค่าเงินบาท หลังค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาเร็วอยู่ใกล้ ๆ 33 บาท/ดอลลาร์ ขณะเดียวกันบอนด์ยีลด์ 1 ถึง 8 ปี ค่อย ๆ ย่อตัวลงมาต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนคาดหวัง กนง. ลดดอกเบี้ยเช่นกัน ซึ่งตามกลไกเวลาดอกเบี้ยปรับตัวลงทุก ๆ 25 BPS. มีโอกาสที่จะหนุนให้ดัชนีเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้ 60 จุด เป็น 1,510 จุด
“สรุปทั้งฟันด์โฟลว์ที่มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยตลอดไตรมาส 4 รวมถึง กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น ตามกลไกหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นและมีโอกาสเห็นภาพว่า SET INDEX จะสูงกว่า 1,500 จุด ในปีนี้ได้”...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1654526
ตลาดเพิ่มน้ำหนัก FED ลดดอกเบี้ยแรง 0.5% ลุ้น กนง.ลดดอกเบี้ย 16 ต.ค.
“สรุปการเร่งปรับลดดอกเบี้ยลงแร็วและแรงของ อาจตามมาด้วยความเสี่ยงในการเกิดเศรษฐกิจ Recession ในสหรัฐ อย่างไรก็ตาม โอกาสเกิด Recession อีก 1 ปีข้างหน้า ของสหรัฐ ล่าสุดทรงตัวอยู่ที่ 30% ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”
ลุ้น กนง. ลดดอกเบี้ย 16 ต.ค.
รัฐบาลชุดใหม่เตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน นโยบายการคลังมากขึ้น อาทิ การประชุม ครม. นัดแรกวันนี้ พิจารณาการจ่ายเงินในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต สำหรับกลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน
ส่วนกระแสการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน คาดจะประกาศใช้ 1 ต.ค. 2567 มีโอกาสเกิดขึ้นสูง หลัง รมว.แรงงาน เตรียมนัดประชุมไตรภาคีอีกครั้งวันที่ 20 ก.ย. 2567 (ซึ่งหากตัวแทนนายจ้างไม่มาร่วมประชุมถือว่าสละสิทธิ์) ประเด็นดังกล่าวคาดหนุนให้ GDP GROWTH ไทยปีนี้มีโอกาสแตะ 3% ดังที่ปลัดกระทรวงการคลังตั้งเป้าหมายไว้
ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่เตรียมหารือ ธปท.เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายทางการเงินในอนาคตซึ่งคาดหมายถึงการดำเนินนโยบายการเงิน-การคลังให้สอดคล้องกันมากขึ้น โดยสิ่งที่รัฐบาลกังวล คือ 1. อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันสูงไปหรือไม่ 2. วิธีการชะลอการแข็งค่าของเงินบาท 3. การเติมสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน
ซึ่งนักลงทุนคาดหมายว่า ธปท. มีโอกาสลดดอกเบี้ยในอนาคต โดยในปีนี้มีโอกาสเห็นการลดดอกเบี้ยสัก 1 ครั้ง ราว 25 BPS. สะท้อนตามบอนด์ยีลด์ไทยอายุ 1 ปีถึง 8 ปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ทั้งหมด ซึ่งต้องติดตามการประชุมรอบถัดไปวันที่ 16 ต.ค. 2567 ว่าจะมีมติดังที่ตลาดคาดหมายไว้หรือไม่
เห็นภาพ SET มีโอกาสเกิน 1,500 จุด
ด้านดัชนี SET มีโอกาสเดินหน้าสู่ 1,500 จุด จากโมเมนตัมสนับสนุน 2 ส่วนคือ ไตรมาส 4 ฟันด์โฟลว์มีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติม ทั้งจากการเดินหน้านโยบายรัฐบาล กองทุนวายุภักษ์ หนุนฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลเข้าหุ้นไทยมาแล้วเกิน 3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
ส่วนระยะถัดไปยังเห็นเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าต่อ จากนโยบายการเงินสหรัฐ ที่มีโอกาสลดดอกเบี้ยเร็วกว่าไทย และหุ้นไทยยังมีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจากการ REBALANCE ของดัชนี MSCI รอบหน้า ช่วงต้นเดือน พ.ย. เพราะในช่วงไตรมาส 3 หุ้นไทยพลิกมาบวกแรง 10.3% QTD ขึ้นแรงกว่าหุ้นโลก (MSCI WORLD) ที่ขึ้นเพียง 3.6% QTD ทำให้น้ำหนักหุ้นไทยจะเพิ่มขึ้นในเชิงเปรียบเทียบ
โดยตามกลไก VALUATION เวลาฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้นมีโอกาสซื้อขายบน MEYG -0.5SD ถึง 1 SD หรือบริเวณ 3.5-3.3% หนุน P/E เพิ่มและดัชนีเป้าหมายเพิ่มขึ้น 73 –126 จุด เป็น 1,523 -1,576 จุด
กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น เพื่อรักษาสเถียรภาพค่าเงินบาท หลังค่าเงินบาทที่แข็งค่ามาเร็วอยู่ใกล้ ๆ 33 บาท/ดอลลาร์ ขณะเดียวกันบอนด์ยีลด์ 1 ถึง 8 ปี ค่อย ๆ ย่อตัวลงมาต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.5% สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนคาดหวัง กนง. ลดดอกเบี้ยเช่นกัน ซึ่งตามกลไกเวลาดอกเบี้ยปรับตัวลงทุก ๆ 25 BPS. มีโอกาสที่จะหนุนให้ดัชนีเป้าหมายเพิ่มขึ้นได้ 60 จุด เป็น 1,510 จุด
“สรุปทั้งฟันด์โฟลว์ที่มีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยตลอดไตรมาส 4 รวมถึง กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น ตามกลไกหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นและมีโอกาสเห็นภาพว่า SET INDEX จะสูงกว่า 1,500 จุด ในปีนี้ได้”...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1654526