JJNY : ณัฐวุฒิเดินหน้าฟื้นคดี 99 ศพเสื้อแดง│โรมห่วงกอ.รมน.│กอ.รมน.ปัดสั่งห้ามขาย│น้ำท่วมยุโรปกลางรุนแรงรอบ 20 ปี ตาย 15

ณัฐวุฒิ มาแล้ว เดินหน้าฟื้นคดี 99 ศพเสื้อแดง แม้มีข้อมูลอัยการสั่งไม่ฟ้อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4794644
 
 
ณัฐวุฒิ มาแล้ว เดินหน้าฟื้นคดี 99 ศพเสื้อแดง แม้มีข้อมูลอัยการสั่งไม่ฟ้อง
 
เมื่อวันที่ 16 กันยายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง อดีตผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย เปิดเผยความคืบหน้าการทวงคืนความยุติธรรม 99 ศพคนเสื้อแดง ผ่านทางแฟนเพจ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ความดังนี้

จากการใช้เวลาตามคดีพี่น้องที่เสียชีวิต ในเหตุสลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งเต็มไปด้วยความซับซ้อน ต้องพูดคุยกับหลายหน่วยงาน และผลักดันให้แต่ละหน่วยงานเชื่อมต่อข้อมูลกัน เพราะเรื่องถูกซุกไว้ใต้พรม ไม่มีการไต่สวนสาเหตุการตายโดยศาลมาตลอด 10 ปี ซึ่งโดยส่วนตัวผมเชื่อว่าคดีนี้น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่ง ของการรัฐประหาร 2557
 
บ่ายวันนี้ ผมได้รับแจ้งความคืบหน้า หลังมีการประสานงานกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ข้อมูลโดยสรุป ดังนี้
 
16 เมษายน 2553 มีมติคณะกรรมการคดีพิเศษ 3/2553 ให้การกระทำผิดทางอาญา กรณีก่อการร้าย การขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ การทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการอันเกี่ยวกับการชุมนุมที่มิชอบด้วยกฎหมายในช่วงปลายปี พ.ศ.2552 เป็นต้นไปในราชอาณาจักร รวมถึงความผิดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน เป็นคดีพิเศษ
 
กรมสอบสวนคดีพิเศษ แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนในกรณีดังกล่าวไว้แล้ว โดยได้ตรวจสอบ

1.รายการสำนวนการสอบสวน มีการไต่สวนในชั้นศาล จำนวน 31 ศพ โดยศาลมีคำสั่งว่าวิถีกระสุนมาจากฝั่งทหาร หรือแนวทหาร รวม 17 ศพ และศาลไต่สวนมีคำสั่งว่า ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ลงมือกระทำ รวม 14 ศพ
 
2.รายการสำนวนการสอบสวน พบยอด ชันสูตร 68 ศพ โดยพบว่า ทุกสำนวนมีการชันสูตรพลิกศพ ตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว แต่จากการตรวจสอบ ได้มีการชันสูตรพลิกศพโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ที่พบศพ ร่วมกับแพทย์นิติเวชทุกราย แต่ไม่ได้มีการดำเนินการไต่สวนการตาย ในชั้นศาล
 
เนื่องจากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าการตายเกิดจากการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่ เจ้าพนักงานตำรวจท้องที่ที่พบศพจึงไม่ได้ชันสูตร 4 ฝ่าย (พงส., อัยการ, ฝ่ายปกครองและแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพ) เพื่อส่งศาลไต่สวนการตาย ตาม ป.วิอาญามาตรา 150 วรรคสาม
อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และสรุปสำนวนเสนอพนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
 
โดยพนักงานอัยการ ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องหรืองดการสอบสวน พร้อมได้ส่งสำนวนการสอบสวน กลับมาที่ คณะพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีภายในอายุความ
 
ผมมีคำถามในใจหลายประเด็น จะใช้ข้อมูลนี้เป็นสารตั้งต้นใช้ตรวจสอบความถูกต้อง กับข้อมูลที่ฝ่ายประชาชนมีอยู่ และหารือฝ่ายกฎหมาย รวมถึงญาติผู้เสียชีวิต ขับเคลื่อนการติดตามความยุติธรรมต่อไป.

https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/pfbid02o4pCYLHbkqSTip4WJqYsaGcSYnWDzfeCgbfbSQqoZJFkJ9eZ7TASDMrxd8e3PS68l
 


โรม ห่วง กอ.รมน.ห้ามขายหนังสือ ‘พวงทอง’ ลดทอนเสรีภาพวิชาการ หวั่นปชช.ถูกจำกัดเข้าถึงข้อมูล 
https://www.matichon.co.th/politics/news_4794804

โรม ห่วง กอ.รมน.ฮึ่ม ห้ามขายหนังสือ ‘พวงทอง’ ลดทอนเสรีภาพวิชาการ หวั่นปชช.ถูกจำกัดเข้าถึงข้อมูล
 
ลดทอนเสรีภาพวิชาการ – จากกรณีที่ กองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้ประกาศให้หนังสือ “ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย” เป็นเอกสารต้องห้าม หวั่นว่า จะส่งผลให้เกิดความเสียหาย ทำให้สังคมเข้าใจผิด และกระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน จึงขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่าย และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัดพิจารณาเรื่องจริยธรรมของผู้เขียนนั้น
 
ล่าสุด นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความผ่าน x ถึงกรณีดังกล่าวว่า 

หลักสำคัญหนึ่งของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยคือเสรีภาพ ซึ่งก็รวมถึง ‘เสรีภาพทางวิชาการ’ ด้วยเช่นกัน ดังนั้น การที่กองทัพไทยได้ขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือ “ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย” และจะมีการประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัดให้พิจารณาในเรื่องของจริยธรรม รวมถึงจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้เขียน ผมคิดว่าการกระทำดังกล่าวแทบไม่ต่างอะไรกับการที่เรากำลังเดินถอยหลังไปสู่สถานการณ์ทางการเมืองช่วงหนึ่งที่นักวิชาการต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพ จนสุดท้ายนักวิชาการต้องถูกปิดกั้น ถูกเรียกไปรายงานตัว หรือต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพียงเพราะเสนองานวิชาการที่แตกต่างจากความเชื่อของรัฐ
 
และสิ่งที่กองทัพกำลังทำขณะนี้ยังเป็นการสร้างบรรยากาศหวาดกลัวในการทำงานวิชาการ และทำให้งานวิจัยหรือหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพซึ่งเป็นเสรีภาพทางวิชาการ ต้องกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับสังคมไทย
 
ผมเชื่อว่านักวิชาการมีบทบาทสำคัญในการสร้างงานวิชาการ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเพื่อนำองค์ความรู้ใหม่เผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในการกระตุ้นให้สังคมเกิดความสนใจในประเด็นต่างๆในสังคม ดังนั้น การที่กองทัพจำกัดการเผยแพร่งานวิชาการนั้น จึงเป็นการทำให้เสรีภาพทางวิชาการและการแสดงความเห็นถูกจำกัดลง รวมถึงกองทัพกำลังทำให้การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของหน่วยงานรัฐเป็นเรื่องที่ยากขึ้น
 
ผมจึงเกิดข้อกังวลต่อท่าทีของกองทัพที่กำลังพยายามควบคุมความเป็นอิสระในงานวิชาการรวมถึงเสรีภาพการแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์การทำงานหน่วยงานของกองทัพ เพราะการขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือดังกล่าว เป็นการสะท้อนสิ่งที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้นทั้งหมดและยังเป็นการตอกย้ำให้สังคมเห็นภาพของการควบคุมเสรีภาพทางวิชาการโดยรัฐอย่างชัดเจน
 
ซึ่งปรากฏการณ์ที่ว่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลยในสังคมประชาธิปไตย เพราะจะมีการกำหนดบทบาทและแบ่งแยกอำนาจระหว่างกองทัพกับพลเรือนอย่างชัดเจน แต่น่าแปลกที่กองทัพของประเทศไทยซึ่งอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเช่นกันกลับมีอำนาจควบคุมจนไม่มีเส้นแบ่งอำนาจหน้าที่ระหว่างทหารกับพลเรือนอีกต่อไป
 
สิ่งสำคัญที่รัฐควรจัดการกับประเด็นนี้ จึงไม่ใช่การปิดกั้นเสรีภาพทางวิชาการ แต่ควรสร้างความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงและการคงไว้ซึ่งเสรีภาพทางความคิดเห็น ด้วยการสร้างความโปร่งใสในการทำงานและสร้างเสรีภาพในการตรวจสอบจากภาคประชาชน ผมไม่อยากให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาวะเสรีภาพทางวิชาการเสื่อมถอยแต่การใช้อำนาจกดทับและคุกคามวงการวิชาการกลับสูงขึ้น เพราะเสรีภาพทางวิชาการถือเป็นเครื่องมือสำคัญของนักวิชาการ อาจารย์ นักศึกษา และสถาบันการศึกษาในการแสวงหาและถ่ายทอดความรู้ โดยต้องปราศจากการแทรกแซงจาก ‘อำนาจภายนอก’
ดังนั้น การปิดกั้นทางวิชาการย่อมสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวงการวิชาการรวมถึงเป็นการจำกัดการเข้าถึงความรู้ของคนทั้งสังคมด้วยเช่นกัน

https://x.com/RangsimanRome/status/1835615398043279521
 


กอ.รมน.ปัดสั่งห้ามขาย หนังสือดัง ยันเสรีภาพนำเสนอได้ แต่ต้องไม่อคติ-ใช้ข้อมูลคลาดเคลื่อน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4794845

กอ.รมน.ปัดสั่งห้ามแค่ขอความร่วมมือระงับการจำหน่ายหนังสือ เหตุข้อมูลคลาดเคลื่อนส่งผลกระทบ
 
เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2567 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกอ.รมน. กล่าวว่า ตามที่มีกระแสข่าวระบุว่า กอ.รมน. ห้ามจำหน่าย หรือระงับการจำหน่าย  หนังสือ “ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย” นั้น กอ.รมน. เพียงออกมาขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่าย รวมถึงให้หน่วยต้นสังกัดร่วมพิจารณาถึงความเหมาะสม โดยมิได้สั่งห้ามจำหน่าย เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่

ทั้งนี้ กอ.รมน. ขอเรียนว่า บทความทางวิชาการสามารถนำเสนอได้เป็นเสรีภาพ แต่เนื้อหาภายในควรมีกระบวนการวิธีวิจัยที่ถูกต้อง ปราศจากอคติ และมีการนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการกล่าวพาดพิงถึงหน่วยงานความมั่นคง ที่ผู้เขียนมีการสรุปอ้างเหมารวมว่าการดำเนินการเหล่านั้นคือการแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย และจากการตรวจสอบยังพบว่า มีการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความจริงทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด ส่งผลให้เกิดความเสียหาย กระทบภาพลักษณ์ขององค์กรอยู่จำนวนมาก
 
“ในห้วงที่ผ่านมา กอ.รมน. ได้พยายามเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ในการจัดสัมมนาวิชาการ 2 ครั้ง และจัดแถลงข่าวในประเด็นที่สังคมมีความเข้าใจผิดมาตลอด โดยมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในงานความมั่นคงภายในมาร่วมให้ข้อมูล และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชน นักวิชาการ หรือผู้ที่สนใจมาร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คาดหวังให้บุคคลที่ยังมีข้อมูลไม่ครบถ้วนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เวทีแลกเปลี่ยนสัมมนาวิชาการที่ กอ.รมน. จัดขึ้นทุกครั้งมีความน่าเชื่อถือสูงมาก เพราะเป็นการให้ข้อมูลจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ปฏิบัติ และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง

“แต่ผู้เขียนยังคงใช้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปบรรยาย และขยายผลตามช่องทางต่างๆอย่างต่อเนื่อง กอ.รมน. ขอความร่วมมือผู้อ่านในการพิจารณาและวิเคราะห์ข้อมูลในหนังสือเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งจากการพบข้อมูลที่คลาดเคลื่อนดังกล่าว ทางหน่วยงานจะดำเนินการเตรียมการชี้แจงในส่วนที่ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการในลำดับต่อไป” โฆษก กอ.รมน. กล่าว.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่