โชห่วย ไม่หวังแล้วเงินดิจิทัล เผยสเปก ‘นายกใหม่’ ขอเป็นพ่อค้าที่ขายได้ทุกมิติ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4737986
โชห่วย ไม่หวังแล้วเงินดิจิทัล เผยสเปก ‘นายกใหม่’ ขอเป็นพ่อค้าที่ขายได้ทุกมิติ
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นาย
สมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยถึงกรณีนาย
เศรษา ทวีสิน หลุดจากการเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะมีการคาดการณ์กันไว้ว่าน่าจะ 50:50 อยู่แล้ว และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล น่าจะมีการเร่งโหวตนายกรัฐมนตรีและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยเร็ว คงไม่ปล่อยให้สะดุดเป็นสุญญากาศนาน เพราะภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อทรุดหนักมากขึ้นทุกวัน ขณะที่รัฐบาลไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นอะไรออกมาเป็นรูปธรรม ส่วนโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ถ้าจะแท้งก็ไม่ผิดคาด เพราะมีแนวโน้มจะไปต่อไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วและร้านค้ารายย่อยก็ไม่สนใจจะเข้าร่วมด้วย เพราะกลัวจะถูกเก็บภาษี ถ้าฝืนทำต่อก็คงจะยุ่ง ส่วนโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กระทรวงพาณิชย์จะคิกออฟวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีต่อหรือไม่ เพราะเป็น ครม.รักษาการ
“
ถามว่าไม่มีเงินดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว จะกระทบกำลังซื้อมากขึ้นไหม คงมีบ้างแต่ตอนนี้กำลังซื้อก็ซบเซาหนักอยู่แล้วในทุกภาคธุรกิจ เพราะคนไม่มีรายได้เพิ่ม ด้านธุรกิจมีโรงงานทยอยปิด ทำให้คนตกงานมีมากขึ้น ซึ่งครม.ใหม่ต้องลงมาดูอย่างจริงจัง ช่วยให้ประชาชนมีภาระที่ลดลง เช่น ลดค่าเช่าพื้นที่ค้าขาย เป็นต้น ดูปากท้องของประชาชนเเป็นหลัก และนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ต้องเป็นพ่อค้าที่สามารถผลักดันการค้าขายได้ทุกมิติ” นาย
สมชายกล่าว
ปิยบุตร ชี้ถึงเวลาเลิกจิกกันเอง ชวน นักการเมือง จับมือปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4736903
ปิยบุตร ชี้ถึงเวลาเลิกจิกกันเอง ชวนนักการเมืองจับมือปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ
วันที่ 15 สิงหาคม นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าโพสต์เฟซบุ๊กถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
เกือบ 2 ทศวรรษที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยจนส่งผลกระทบกับการเมือง
ปลดนายกรัฐมนตรี 3 คน
ยุบพรรคใหญ่ 5 ครั้ง
ขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง
ล้มเลือกตั้งทั่วประเทศ 2 ครั้ง
ปลด ส.ส.อีกหลายครั้ง
แต่กลับเงียบสงัดชนิดเข็มตกลงพื้นยังได้ยินเสียง สมัยรัฐประหารปกครองประเทศ
ดังนั้น
การต่อสู้กับศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นภารกิจอันจำเป็นที่ต้องร่วมมือกัน
ประชาชนแต่ละคนทำไม่ได้ เพราะ ไม่มีอำนาจรัฐในมือ ทำได้แต่เพียงส่งเสียง และกดดัน
พวกที่ทำได้ คือ นักการเมืองในสภา
ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองต้องจัดการสู้/โต้กับศาลรัฐธรรมนูญ
อย่ามัวแต่สวมวิญญาณ “นักร้อง” ร้องศาล รธน. เพื่อจัดการนักการเมืองด้วยกัน
พอกันทีกับการทำตนเป็น “ไก่ในเล้า” จิกตีกันเอง รอให้พวกเขาเลือกไก่ไปเชือดทีละตัว
หยุดเสียทีกับการออกมายืนกุมเป้า เปล่งวาจา “น้อมรับคำวินิจฉัย” แล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อน ส่งคนอื่นๆ เข้ามารับบทต่อ
แต่นักการเมืองต้องรวมพลังกันจัดการศาลรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจที่ตนมี
ยกเลิกการยุบพรรค
ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ หรือเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและที่มาเสียใหม่
ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
ยกเลิกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม ของ ส.ส./รมต.
ยกเลิกอำนาจการตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นักการเมืองต้องแบกรับภารกิจเหล่านี้
ถ้านักการเมืองในสภารอบนี้ ไม่คิดทำ แต่เลือกกลับไปสมคบสุงสิงกับพวกชนชั้นนำ เลือกหนทาง “อยู่เป็น” หรือร้องขอความเมตตาจากพวกเขา เพื่อขอใบอนุญาตใบที่สองให้ตนได้เป็นรัฐมนตรี กันแบบเดิมๆ แล้วล่ะก็
หนทางเดียวที่ “ประชาชน” มี
คือ “ประชาชน” เลือก “ประชาชน” เข้าไปจัดการ
และถ้า “ประชาชน” โดนจัดการ เอาคืน ทุบ ยุบ ปราบ อีก
“ประชาชน” ก็จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ “ประชาชน”
สุกงอมเพียงพอที่จะเดินหน้าไปสู่สิ่งที่ไม่เคยเห็นในประเทศไทยมาก่อน
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/pfbid02YBi5xmkVb87YbsFfvXNcgZWV3sqKYBUid6NgeiAjavT27VHZbmdLaSQk6KuNu2zBl
วิโรจน์ ยันเศรษฐาโดนสอย ไม่ใช่เรื่องปกติ ชี้ความพยายามชัด แบ่งแยกประชาชน เพื่อกินรวบทุกสิ่ง https://www.matichon.co.th/politics/news_4737219
วิโรจน์ ยันเศรษฐาโดนสอย ไม่ใช่เรื่องปกติ ชี้นี่คือความพยายามชัด แบ่งแยกประชาชน เพื่อกินรวบทุกสิ่ง
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 สั่งให้ นาย
เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีตั้ง นาย
พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี มีผลทำให้ ครม.หลุดทั้งคณะ และต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยล่าสุด นาย
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง ส.ส.ให้มาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้
ล่าสุด (15 ส.ค.) นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่าน แอพพลิเคชั่นเอ็กซ์ ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
ผมคิดว่านี่เป็นเวลาที่ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เป็น 2 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ที่มาจากประชาชน ต้องไตร่ตรองหาทางออกร่วมกัน เพื่อรักษาอำนาจของประชาชน
แต่ต้องระลึกร่วมกันได้แล้วว่า สถานการณ์แบบนี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ผมไม่เห็นด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเศรษฐา และไม่คิดว่า จะเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย และขอให้กำลังใจคุณเศรษฐาด้วยใจจริง
จะอย่างไร ก็ต้องยอมรับว่า คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ ตามระบบรัฐสภา ที่ยึดโยงกับการเลือกตั้งของประชาชน
หากคุณเศรษฐาจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็ควรต้องพ้นด้วยกลไกของสภา
ผมเชื่อว่า กลุ่มชนชั้นนำกลุ่มหนึ่ง ต้องการให้เกิดสถานการณ์ ที่ทำให้อำนาจที่มาจากประชาชนบาดหมางแย่งชิง เกินกว่าหน้าที่ของการตรวจสอบถ่วงดุล
พยายามยั่วยุให้ประชาชนที่เห็นต่างกันเป็นปกติ มีความแตกแยกแค้นเคืองร้าวลึก
เพื่อชนชั้นนำจะได้แบ่งแยกแล้วกินรวบทุกสิ่ง
นายกฯคนใหม่ ก็ต้องมีที่มาจากสภาผู้แทนราษฎร และนายกฯคนใหม่ ควรให้คำมั่นว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ถูกละเมิดแทรกแซง
องค์กรอิสระ ต้องยึดโยงกับประชาชนตามสมควร มีกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม มีกรอบอำนาจที่พอเหมาะ
https://x.com/wirojlak/status/1823904625667530969
https://x.com/wirojlak/status/1823905785627467948
https://x.com/wirojlak/status/1823907166312620534
https://x.com/wirojlak/status/1823907924563181835
27 องค์กรเครือข่ายน.ร. นิสิต นักศึกษา ออกแถลงการณ์ หลัง เศรษฐา พ้นเก้าอี้นายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4737315
27 องค์กรเครือข่ายน.ร. นิสิต นักศึกษา ออกแถลงการณ์ หลัง เศรษฐา พ้นเก้าอี้นายกฯ
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) กรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และ ครม.ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะนั้น
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “
แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม – United Front of Thammasat and Demonstration”
เผยแพร่แถลงการณ์ เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา และภาคประชาสังคม รวม 27 องค์กร กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ
เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง โดยมีเนื้อหาสรุปว่า
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2567 ศาลรัฐธรรมนูญใต้ลงมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) เนื่องจากไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)
คดีนี้สืบเนื่องจากการที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดที่แล้ว 40 คน ได้ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้นำส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงหรือไม่ กรณีเพื่อนำโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
โดยผลจากการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ทำให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำของฝ่ายบริหาร ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล “เศรษฐา” ต้องหลุดจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังคงต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่าการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่จะเสร็จสิ้น
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นอีกครั้งที่นายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ้นจากตำแหน่ง จากเรื่องคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้าม-จริยธรรม โดยการร้องเรียนครั้งนี้มาจากสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาของคนกลุ่มหนึ่ง และมิได้ผ่านการเลือกตั้งที่มีการออกเสียงโดยประชาชน โดยครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่มีการสถาปนาศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2540
คำว่า “จริยธรรม” เป็นคำที่มีความหมายกว้างและสามารถตีความได้หลายแบบจนขาดมาตรฐานที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเกณฑ์ในการวัดเรื่องจริยธรรมนั้นเป็นเช่นใด ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเรามิอาจปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมกับกฎหมายจริยธรรม โดยเฉพาะจริยธรรมทางการเมืองที่ถูกวางอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น มิอาจขัดต่อวัตถุประสงค์ของการดำรงอยู่ของกฎหมายตามหลักนิติรัฐและหลักการปกครองในระบอบประชาธิปโตย ซึ่งก็คือความยุติธรรม การพิทักษ์สิทธิเสรีภาพประชาชน และความเสมอภาคต่อกฎหมาย หรือความยุติธรรมสาธารณะ (Public Justice)
ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา และภาคประชาสังคม ขอเรียกร้องว่าไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เราเชื่อว่าเจ้าของอำนาจที่แท้จริงคือประชาชนมิใช่องค์กรอิสระที่มาจากการแต่งตั้งโดยมิได้มีการยึดโยงใดๆ กับประชาชนมาเป็นผู้ตัดสินว่าบุคคลใดต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือการสั่งยุบพรรคการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการก่อตั้งขึ้นมา
https://www.facebook.com/ThammasatUFTD/posts/pfbid02DFVWUk8qua9iBetebT6fPBhJCyYHudbD9Vpksp7hLZg1tCdFfDxw5rntsCJr3YJQl
JJNY : โชห่วยไม่หวังแล้ว│ปิยบุตรชวนจับมือปฏิรูปศาล│วิโรจน์ยันไม่ใช่ปกติ│27องค์กรนร.แถลง│ยูเครนเดินหน้ารุกเข้าไปในรัสเซีย
https://www.matichon.co.th/economy/news_4737986
โชห่วย ไม่หวังแล้วเงินดิจิทัล เผยสเปก ‘นายกใหม่’ ขอเป็นพ่อค้าที่ขายได้ทุกมิติ
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยถึงกรณีนายเศรษา ทวีสิน หลุดจากการเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะมีการคาดการณ์กันไว้ว่าน่าจะ 50:50 อยู่แล้ว และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล น่าจะมีการเร่งโหวตนายกรัฐมนตรีและตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่โดยเร็ว คงไม่ปล่อยให้สะดุดเป็นสุญญากาศนาน เพราะภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อทรุดหนักมากขึ้นทุกวัน ขณะที่รัฐบาลไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นอะไรออกมาเป็นรูปธรรม ส่วนโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ถ้าจะแท้งก็ไม่ผิดคาด เพราะมีแนวโน้มจะไปต่อไม่ได้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วและร้านค้ารายย่อยก็ไม่สนใจจะเข้าร่วมด้วย เพราะกลัวจะถูกเก็บภาษี ถ้าฝืนทำต่อก็คงจะยุ่ง ส่วนโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กระทรวงพาณิชย์จะคิกออฟวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ยังไม่รู้ว่าจะมีต่อหรือไม่ เพราะเป็น ครม.รักษาการ
“ถามว่าไม่มีเงินดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว จะกระทบกำลังซื้อมากขึ้นไหม คงมีบ้างแต่ตอนนี้กำลังซื้อก็ซบเซาหนักอยู่แล้วในทุกภาคธุรกิจ เพราะคนไม่มีรายได้เพิ่ม ด้านธุรกิจมีโรงงานทยอยปิด ทำให้คนตกงานมีมากขึ้น ซึ่งครม.ใหม่ต้องลงมาดูอย่างจริงจัง ช่วยให้ประชาชนมีภาระที่ลดลง เช่น ลดค่าเช่าพื้นที่ค้าขาย เป็นต้น ดูปากท้องของประชาชนเเป็นหลัก และนายกรัฐมนตรีคนใหม่นั้น ต้องเป็นพ่อค้าที่สามารถผลักดันการค้าขายได้ทุกมิติ” นายสมชายกล่าว
ปิยบุตร ชี้ถึงเวลาเลิกจิกกันเอง ชวน นักการเมือง จับมือปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4736903
ปิยบุตร ชี้ถึงเวลาเลิกจิกกันเอง ชวนนักการเมืองจับมือปฏิรูปศาลรัฐธรรมนูญ
วันที่ 15 สิงหาคม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้าโพสต์เฟซบุ๊กถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า
เกือบ 2 ทศวรรษที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยจนส่งผลกระทบกับการเมือง
ปลดนายกรัฐมนตรี 3 คน
ยุบพรรคใหญ่ 5 ครั้ง
ขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง
ล้มเลือกตั้งทั่วประเทศ 2 ครั้ง
ปลด ส.ส.อีกหลายครั้ง
แต่กลับเงียบสงัดชนิดเข็มตกลงพื้นยังได้ยินเสียง สมัยรัฐประหารปกครองประเทศ
ดังนั้น
การต่อสู้กับศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นภารกิจอันจำเป็นที่ต้องร่วมมือกัน
ประชาชนแต่ละคนทำไม่ได้ เพราะ ไม่มีอำนาจรัฐในมือ ทำได้แต่เพียงส่งเสียง และกดดัน
พวกที่ทำได้ คือ นักการเมืองในสภา
ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองต้องจัดการสู้/โต้กับศาลรัฐธรรมนูญ
อย่ามัวแต่สวมวิญญาณ “นักร้อง” ร้องศาล รธน. เพื่อจัดการนักการเมืองด้วยกัน
พอกันทีกับการทำตนเป็น “ไก่ในเล้า” จิกตีกันเอง รอให้พวกเขาเลือกไก่ไปเชือดทีละตัว
หยุดเสียทีกับการออกมายืนกุมเป้า เปล่งวาจา “น้อมรับคำวินิจฉัย” แล้วก็กลับบ้านไปพักผ่อน ส่งคนอื่นๆ เข้ามารับบทต่อ
แต่นักการเมืองต้องรวมพลังกันจัดการศาลรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจที่ตนมี
ยกเลิกการยุบพรรค
ยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญ หรือเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและที่มาเสียใหม่
ยกเลิกความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
ยกเลิกอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้าม ของ ส.ส./รมต.
ยกเลิกอำนาจการตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นักการเมืองต้องแบกรับภารกิจเหล่านี้
ถ้านักการเมืองในสภารอบนี้ ไม่คิดทำ แต่เลือกกลับไปสมคบสุงสิงกับพวกชนชั้นนำ เลือกหนทาง “อยู่เป็น” หรือร้องขอความเมตตาจากพวกเขา เพื่อขอใบอนุญาตใบที่สองให้ตนได้เป็นรัฐมนตรี กันแบบเดิมๆ แล้วล่ะก็
หนทางเดียวที่ “ประชาชน” มี
คือ “ประชาชน” เลือก “ประชาชน” เข้าไปจัดการ
และถ้า “ประชาชน” โดนจัดการ เอาคืน ทุบ ยุบ ปราบ อีก
“ประชาชน” ก็จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ “ประชาชน”
สุกงอมเพียงพอที่จะเดินหน้าไปสู่สิ่งที่ไม่เคยเห็นในประเทศไทยมาก่อน
https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/posts/pfbid02YBi5xmkVb87YbsFfvXNcgZWV3sqKYBUid6NgeiAjavT27VHZbmdLaSQk6KuNu2zBl
วิโรจน์ ยันเศรษฐาโดนสอย ไม่ใช่เรื่องปกติ ชี้ความพยายามชัด แบ่งแยกประชาชน เพื่อกินรวบทุกสิ่ง https://www.matichon.co.th/politics/news_4737219
วิโรจน์ ยันเศรษฐาโดนสอย ไม่ใช่เรื่องปกติ ชี้นี่คือความพยายามชัด แบ่งแยกประชาชน เพื่อกินรวบทุกสิ่ง
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 สั่งให้ นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี มีผลทำให้ ครม.หลุดทั้งคณะ และต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยล่าสุด นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งทำหนังสือด่วนที่สุด ถึง ส.ส.ให้มาลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 16 สิงหาคมนี้
ล่าสุด (15 ส.ค.) นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่าน แอพพลิเคชั่นเอ็กซ์ ถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า
ผมคิดว่านี่เป็นเวลาที่ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติ ที่เป็น 2 ใน 3 อำนาจอธิปไตย ที่มาจากประชาชน ต้องไตร่ตรองหาทางออกร่วมกัน เพื่อรักษาอำนาจของประชาชน
แต่ต้องระลึกร่วมกันได้แล้วว่า สถานการณ์แบบนี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตยแล้ว
ผมไม่เห็นด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเศรษฐา และไม่คิดว่า จะเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย และขอให้กำลังใจคุณเศรษฐาด้วยใจจริง
จะอย่างไร ก็ต้องยอมรับว่า คุณเศรษฐาเป็นนายกฯ ตามระบบรัฐสภา ที่ยึดโยงกับการเลือกตั้งของประชาชน
หากคุณเศรษฐาจะต้องพ้นจากตำแหน่ง ก็ควรต้องพ้นด้วยกลไกของสภา
ผมเชื่อว่า กลุ่มชนชั้นนำกลุ่มหนึ่ง ต้องการให้เกิดสถานการณ์ ที่ทำให้อำนาจที่มาจากประชาชนบาดหมางแย่งชิง เกินกว่าหน้าที่ของการตรวจสอบถ่วงดุล
พยายามยั่วยุให้ประชาชนที่เห็นต่างกันเป็นปกติ มีความแตกแยกแค้นเคืองร้าวลึก
เพื่อชนชั้นนำจะได้แบ่งแยกแล้วกินรวบทุกสิ่ง
นายกฯคนใหม่ ก็ต้องมีที่มาจากสภาผู้แทนราษฎร และนายกฯคนใหม่ ควรให้คำมั่นว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ถูกละเมิดแทรกแซง
องค์กรอิสระ ต้องยึดโยงกับประชาชนตามสมควร มีกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลอย่างเหมาะสม มีกรอบอำนาจที่พอเหมาะ
https://x.com/wirojlak/status/1823904625667530969
https://x.com/wirojlak/status/1823905785627467948
https://x.com/wirojlak/status/1823907166312620534
https://x.com/wirojlak/status/1823907924563181835
27 องค์กรเครือข่ายน.ร. นิสิต นักศึกษา ออกแถลงการณ์ หลัง เศรษฐา พ้นเก้าอี้นายกฯ
https://www.matichon.co.th/politics/news_4737315
27 องค์กรเครือข่ายน.ร. นิสิต นักศึกษา ออกแถลงการณ์ หลัง เศรษฐา พ้นเก้าอี้นายกฯ
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติโดยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5) กรณีแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และ ครม.ต้องพ้นตำแหน่งทั้งคณะนั้น
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ “แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม – United Front of Thammasat and Demonstration”
เผยแพร่แถลงการณ์ เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา และภาคประชาสังคม รวม 27 องค์กร กรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลง โดยมีเนื้อหาสรุปว่า
เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ.2567 ศาลรัฐธรรมนูญใต้ลงมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) เนื่องจากไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง อันมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (5)
คดีนี้สืบเนื่องจากการที่สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ชุดที่แล้ว 40 คน ได้ยื่นคำร้องผ่านประธานวุฒิสภา ขอให้นำส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงหรือไม่ กรณีเพื่อนำโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ
โดยผลจากการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ ทำให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำของฝ่ายบริหาร ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที และส่งผลให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล “เศรษฐา” ต้องหลุดจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ยังคงต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไปจนกว่าการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่จะเสร็จสิ้น
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าว เป็นอีกครั้งที่นายกรัฐมนตรีถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพ้นจากตำแหน่ง จากเรื่องคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้าม-จริยธรรม โดยการร้องเรียนครั้งนี้มาจากสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาของคนกลุ่มหนึ่ง และมิได้ผ่านการเลือกตั้งที่มีการออกเสียงโดยประชาชน โดยครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งที่ 3 ของประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่มีการสถาปนาศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาเมื่อ พ.ศ.2540
คำว่า “จริยธรรม” เป็นคำที่มีความหมายกว้างและสามารถตีความได้หลายแบบจนขาดมาตรฐานที่ชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเกณฑ์ในการวัดเรื่องจริยธรรมนั้นเป็นเช่นใด ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเรามิอาจปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมกับกฎหมายจริยธรรม โดยเฉพาะจริยธรรมทางการเมืองที่ถูกวางอยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น มิอาจขัดต่อวัตถุประสงค์ของการดำรงอยู่ของกฎหมายตามหลักนิติรัฐและหลักการปกครองในระบอบประชาธิปโตย ซึ่งก็คือความยุติธรรม การพิทักษ์สิทธิเสรีภาพประชาชน และความเสมอภาคต่อกฎหมาย หรือความยุติธรรมสาธารณะ (Public Justice)
ด้วยเหตุผลข้างต้นนี้ เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษา และภาคประชาสังคม ขอเรียกร้องว่าไม่ควรมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในประเทศไทย เราเชื่อว่าเจ้าของอำนาจที่แท้จริงคือประชาชนมิใช่องค์กรอิสระที่มาจากการแต่งตั้งโดยมิได้มีการยึดโยงใดๆ กับประชาชนมาเป็นผู้ตัดสินว่าบุคคลใดต้องพ้นจากตำแหน่ง หรือการสั่งยุบพรรคการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมในการก่อตั้งขึ้นมา
https://www.facebook.com/ThammasatUFTD/posts/pfbid02DFVWUk8qua9iBetebT6fPBhJCyYHudbD9Vpksp7hLZg1tCdFfDxw5rntsCJr3YJQl