ปิยบุตร ปลุกใจ ส.ส.ก้าวไกล อย่าเศร้า แล้วทำให้การยุบพรรค มันไร้ความหมาย
https://www.matichon.co.th/politics/news_4721865
”ปิยบุตร“ ปลุกใจ “สส.ก้าวไกล” ทำให้การยุบพรรคไร้ความหมาย ลั่น เขาอยากให้เราเศร้า ก็อย่าไปเศร้า กระตุกอย่าย้ายพรรค เขาอยากได้ก็อย่าไปให้
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล มีการประชุม ส.ส.ประจำสัปดาห์ โดยมี นาย
ชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นประธานการประชุม เพื่อหารือวาระงานสภาต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยหลังการประชุม ส.ส.มีการตั้งวงพูดคุยผ่อนคลายกันต่อบริเวณชั้น 2 โดยช่วงหนึ่งนั้น นาย
ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้เข้ามาพูดคุย ให้กำลังใจ ส.ส.ตอนหนึ่งว่า
“เขาอยากได้อะไร ก็อย่าไปให้เขา เขาอยากให้เราเศร้า ก็อย่าไปเศร้า เขาอยากให้เราย้ายพรรค ก็อย่าไปย้าย เขาอยากให้การเลือกตั้งครั้งหน้าก้าวไกลได้คนน้อยลง เราก็อย่าไปให้เขา และทำให้การยุบพรรคมันไร้ความหมาย”
“กัณวีร์” ชี้ต่างประเทศวนใจคดียุบพรรคก้าวไกล
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_757435/
“กัณวีร์” ชี้ต่างประเทศวนใจคดียุบพรรคก้าวไกล กมธ.เวนิส มีหนังสืออย่างเป็นทางการต่อศาล รธน.ไทย เพื่อประกอบการพิจารณา ยันจะไม่ก้าวก่ายแต่จะมีข้อเสนอฉันท์มิตรที่ยึดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนต่อการยุบพรรคการเมือง
นาย
กัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ช่วงค่ำวันที่ 6 ส.ค.67 ตนเองได้รับอีเมล์ตอบกลับเป็นครั้งที่ 2 จากนาย
Simona Granata-Menghini ผู้อำนวยการและเลขาธิการคณะกรรมาธิการเวนิสหลังจากส่งจดหมายด่วนเพื่อขอจดหมายฉันท์มิตร และความเห็นทางกฎหมาย Amicus Curiae ต่อศาลรัฐธรรมนูญไทยต่อการยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 2 ส.ค.67
นาย
กัณวีร์ กล่าว่า แม้ไม่ใช่หนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการ เพราะตนเองส่งในฐานะประชาชนคนหนึ่ง และทางคณะกรรมาธิการเวนิส ต้องได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการจากประธานรัฐสภาและส่วนราชการของรัฐเท่านั้นแต่การตอบรับทางอีเมล์และอธิบายถึงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเวนิส เป็นความรู้ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
นาย
กัณวีร์ เปิดเผยสาระสำคัญในจดหมายที่ เลขาธิการ กมธ.เวนิส ยืนยันว่า นายจานนี บูคิคคิโอ ประธานกิตติมศักดิ์และผู้แทนพิเศษของคณะกรรมาธิการเวนิส ได้มีหนังสือไปยังท่านหัวหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทยสอบถามถึงความประสงค์ว่ามีความต้องการอยากให้ทาง กมธ.เวนิส ออก Amicus Curiae ในกรณีการยุบพรรคการเมืองหรือไม่ เนื่องจาก กมธ.เวนิส ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในกรณีมีความจำเป็นในการยุบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างดี
“
ท่านเลขาธิการฯ ยืนยันมาว่า กมธ.เวนิสไม่สามารถเตรียม Amicus Curiae ได้โดยปราศจากคำร้องขอจากศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ จึงมีหนังสือถึงศาล รธน.ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าต้องการหรือไม่ และท่านเลขาธิการกมธ.เวนิส แจ้งว่าหาก ศาล รธน.ไทย มีความประสงค์จะได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแบบฉันท์มิตรจาก กมธ.เวนิส แล้ว รูปแบบของ Amicus Curiae จะมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับกรณีของพรรค “ก้าวไกล” โดยเฉพาะหากแต่จะเน้นถึงหลักการทั่วไปที่ควรใช้ในการตัดสินใจในประเทศประชาธิปไตยที่เคารพหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนต่อการยุบพรรคการเมืองต่างๆ เท่านั้น”
นาย
กัณวีร์ ระบุว่า เลขาธิการ กมธ.เวณิช เปิดเผยในอีเมล์ด้วยว่า ในการเข้าร่วมประชุมของศาลรัฐธรรมนูญแห่งเอเชีย นายบูคิคคิโอ ประธานกิตติมศักดิ์และผู้แทนพิเศษของคณะกรรมาธิการเวนิสจะมีโอกาสหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้ในสภาวการณ์ปัจจุบันของไทยด้วย แถมลงท้ายว่ายังมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และหากมีข้อมูลอะไรเพิ่มทาง กมธ.เวนิสก็ยินดีและพร้อมจะรับฟังเพิ่มเติม
“เราเห็นความหมายทั้งโดยตรงและนัยยะจากจดหมายตอบกลับครั้งนี้ ซึ่งก็คือ 1 คืนก่อนการฟังคำพิพากษาของศาล รธน.ไทย ต่อคดีการยุบพรรคก้าวไกล ทั้งๆ ที่ผมส่งไปอย่างเร่งด่วนแสดงให้เห็นถึงความสนใจต่อประเด็นนี้ในเวทีระหว่างประเทศอย่างยิ่ง”
นาย
กัณวีร์ กล่าวว่า ทั้งๆ ที่ในอาณัติของ กมธ.เวนิส คงไม่มีการครอบคลุมกิจการใดๆ ต่อประเทศไทย หากแต่การเป็นสมาชิกฉันท์มิตรที่ดีที่สามารถกระทำต่อรัฐที่มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยด้วยกันแล้วเราก็สามารถดำเนินการได้อย่างมิตรประเทศในเวทีสากล
“
สรุปว่า กมธ.เวนิส มีหนังสืออย่างเป็นทางการต่อศาล รธน.ไทยเป็นที่เรียบร้อยหากเราต้องการ Amicus Curiae เพื่อประกอบการพิจารณา และหากต้องการทาง กมธ.เวนิส จะไม่ก้าวก่ายกรณีพรรคก้าวไกลหากแต่จะมีข้อเสนอฉันท์มิตรที่ยึดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนต่อการยุบพรรคการเมืองต่างๆ เท่านั้น รวมทั้ง มีการยืนยันว่าทางท่านประธานกิตติมศักดิ์ของ กมธ.เวนิส จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในช่วงการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญแห่งเอเชียที่จะจัดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ด้วยครับ” นาย
กัณวีร์ กล่าว
นาย
กัณวีร์ กล่าวย้ำว่า ตนเองส่งจดหมายอีเมล์ด่วนของผมไปถึงคณะกรรมาธิการเวนิส ที่มีแนวปฏิบัติ 7 ข้อในการยุบพรรคการเมือง เพราะคาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะรักษาผลประโยชน์ในคะแนนเสียงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
“
ต้องขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการและเลขาธิการคณะกรรมาธิการเวนิส ที่ตอบอีเมล์ผมกลับมาด้วยความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับตามติดกันต่อไปกับการตัดสินยุบพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่เราจะร่วมกันเป็นพยานในการยึดหลักการทางประชาธิปไตยสากลในการณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด” นาย
กัณวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
หอการค้า เผย ก.ค.เชื่อมั่นปชช.-ธุรกิจ ลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 4-5 ค่าดัชนีต่ำสุดรอบ 11-15 เดือน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4720758
หอการค้า เผย ก.ค.เชื่อมั่นปชช.-ธุรกิจ ลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 4-5 ค่าดัชนีต่ำสุดรอบ 11-15 เดือน
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม นาย
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคเอกชน) เดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า จากความกังวลต่อปัจจัยลบมีมากขึ้น ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชน เดือนกรกฎาคม ทุกรายการ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4-5 และค่าดัชนีต่ำในรอบ 11-15 เดือน
สำหรับภาคประชาชน ปัจจัยหลักต่อความเชื่อมั่นลดลง คือ ผู้บริโภคกลับมากังวลว่าการเมืองไทยเริ่มขาดเสถียรภาพเกี่ยวกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะตัดสินเรื่องการยุบพรรคก้าวไกลและความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต และกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทย ยังคงชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า เพราะยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และผู้บริโภคยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย รวมถึงส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
นาย
ธนวรรธน์กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภคโดยรวม (CCI) ลดลงจากระดับ 58.9 เดือนมิถุนายน เป็น 57.7 ในเดือนกรกฎาคม เป็นการปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันลดลงจาก 42.8 เป็น 41.5 ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต ลดลงจาก 66.7 อยู่ที่ 65.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 51.3 54.9 และ 66.8 ตามลำดับ ลดลงจากเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 52.6 56.1 และ 67.9 ตามลำดับ
นาย
ธนวรรธ์กล่าวว่า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคเอกชน) โดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในอนาคต เดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 52.2 ,49.9 และ 54.6 ตามลำดับ ลดลงจาก 54.2 ,52.0 และ 56.3 ตามลำดับในเดือนมิถุนายน ที่น่าสังเกตคือ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยต่อปัจจุบัน ต่ำระดับ 50 ครั้งแรก สะท้อนต่อมุมมองเศรษฐกิจแย่ลง
ซึ่งในภาคเอกชน เสนอให้รัฐมาดูแลโดยด่วน คือ ออกมาตรการแก้ไขปัญหาเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและพื้นที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ดูแลต้นทุนราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นส่งผลต่อค่าใช้จ่ายธุรกิจ ควบคุมราคาของปัจจัยการผลิตให้อยู่ในช่วงเหมาะสม ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้เข้าถึงตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภาครัฐเร่งช่วยเหลือและออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องข้ามปี มาตรการกระตุ้นเพิ่มยอดคำสั่งซื้อสินค้าและบริการทุกธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
“
ผลสำรวจสะท้อนว่าประชาชนและนักธุรกิจมองเศรษฐกิจแย่ลงตามลำดับ แม้รัฐเร่งเบิกจ่ายงบปี 2567 แต่ก็บางเดือนยังเบิกจ่ายเท่าเดิม เริ่มกังวลต่อการเมืองในประเทศ และเศรษฐกิจโลกชะลอกว่าคาดการณ์ ดังนั้น โอกาสที่ความเชื่อมั่นจากนี้จะยังเป็นขาลงได้ต่อ ซึ่งความเชื่อมั่นน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐ ผ่านการลดค่าเช่าหรือยกเว้นค่าแผง จัดจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทั้งการระบายสินค้า ประชาชนได้ซื้อสินค้าราคาประหยัดและสร้างอาชีพรายย่อนและชุมชน เสมือนเป็นกึ่งดิจิทัลวอลเล็ต ก่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทจะเริ่มได้ปลายไตรมาสสี่ปีนี้ต่อเนื่องไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามแผนดิจิทัลวอลเล็ต จะช่วยเพิ่มจีดีพีไตรมาสสี่ปีนี้อีก 0.5-0.7% และเพิ่มจีดีพีทั้งปีนี้ 0.2-0.3% ทำให้จีดีพีทั้งปีขยายตัว 2.6-2.8% จากที่ศูนย์พยากรณ์คาดการณ์ขยายตัว 2.5%” นาย
ธนวรรธน์กล่าว
นาย
ธนวรรธน์กล่าวว่า เมื่อถามถึงควมกังวลในปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่กังวลมากสุดในด้านค่าครองชีพสูง เศรษฐกิจชะลอตัว แบกภาระหนี้สูง ความมั่นใจต่อรายได้และอาชีพ ดอกเบี้ยทรงตัวสูง ในสำรวจพบว่า 35% ระบุสถานะการเงินแยางลง 47% ระบุรายได้เพียงพอแต่ไม่มีเงินเก็บ 26.4% รายได้ไม่เพียงพอ และต้องกู้ยืม 34% มีภาระหนี้เพิ่มกว่าปีก่อน และกว่า 69% ระบุเศรษฐกิจแย่ลงและแย่ลงมาก
“
ถามถึงเงินดิจิทัลในกลุ่มที่ได้ตามเงื่อนไข 82.6% ระบุลงทะเบียนแน่นอน โดย 64% ระบุใช้จ่ายทั้งหมด 10,000 บาทในครั้งเดียว ที่เหลือจะแบ่งใช้จ่าย ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและการศึกษาเป็นอันดับแรก โดยเสนอให้เพิ่มจ่ายค่าน้ำมันและพลังงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือและภาคบริการด้วย ” นายธนวรรธน์กล่าว
JJNY : ทำให้การยุบพรรค ไร้ความหมาย│“กัณวีร์” ชี้ต่างประเทศวนใจ│เชื่อมั่นปชช.-ธุรกิจ ลดลงต่อเนื่อง│เกาหลีใต้ห้ามไปพรมแดน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4721865
”ปิยบุตร“ ปลุกใจ “สส.ก้าวไกล” ทำให้การยุบพรรคไร้ความหมาย ลั่น เขาอยากให้เราเศร้า ก็อย่าไปเศร้า กระตุกอย่าย้ายพรรค เขาอยากได้ก็อย่าไปให้
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 6 สิงหาคม 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล มีการประชุม ส.ส.ประจำสัปดาห์ โดยมี นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นประธานการประชุม เพื่อหารือวาระงานสภาต่างๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โดยหลังการประชุม ส.ส.มีการตั้งวงพูดคุยผ่อนคลายกันต่อบริเวณชั้น 2 โดยช่วงหนึ่งนั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้เข้ามาพูดคุย ให้กำลังใจ ส.ส.ตอนหนึ่งว่า
“เขาอยากได้อะไร ก็อย่าไปให้เขา เขาอยากให้เราเศร้า ก็อย่าไปเศร้า เขาอยากให้เราย้ายพรรค ก็อย่าไปย้าย เขาอยากให้การเลือกตั้งครั้งหน้าก้าวไกลได้คนน้อยลง เราก็อย่าไปให้เขา และทำให้การยุบพรรคมันไร้ความหมาย”
“กัณวีร์” ชี้ต่างประเทศวนใจคดียุบพรรคก้าวไกล
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_757435/
“กัณวีร์” ชี้ต่างประเทศวนใจคดียุบพรรคก้าวไกล กมธ.เวนิส มีหนังสืออย่างเป็นทางการต่อศาล รธน.ไทย เพื่อประกอบการพิจารณา ยันจะไม่ก้าวก่ายแต่จะมีข้อเสนอฉันท์มิตรที่ยึดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนต่อการยุบพรรคการเมือง
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ช่วงค่ำวันที่ 6 ส.ค.67 ตนเองได้รับอีเมล์ตอบกลับเป็นครั้งที่ 2 จากนาย Simona Granata-Menghini ผู้อำนวยการและเลขาธิการคณะกรรมาธิการเวนิสหลังจากส่งจดหมายด่วนเพื่อขอจดหมายฉันท์มิตร และความเห็นทางกฎหมาย Amicus Curiae ต่อศาลรัฐธรรมนูญไทยต่อการยุบพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 2 ส.ค.67
นายกัณวีร์ กล่าว่า แม้ไม่ใช่หนังสือตอบกลับอย่างเป็นทางการ เพราะตนเองส่งในฐานะประชาชนคนหนึ่ง และทางคณะกรรมาธิการเวนิส ต้องได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการจากประธานรัฐสภาและส่วนราชการของรัฐเท่านั้นแต่การตอบรับทางอีเมล์และอธิบายถึงบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเวนิส เป็นความรู้ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
นายกัณวีร์ เปิดเผยสาระสำคัญในจดหมายที่ เลขาธิการ กมธ.เวนิส ยืนยันว่า นายจานนี บูคิคคิโอ ประธานกิตติมศักดิ์และผู้แทนพิเศษของคณะกรรมาธิการเวนิส ได้มีหนังสือไปยังท่านหัวหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทยสอบถามถึงความประสงค์ว่ามีความต้องการอยากให้ทาง กมธ.เวนิส ออก Amicus Curiae ในกรณีการยุบพรรคการเมืองหรือไม่ เนื่องจาก กมธ.เวนิส ได้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในกรณีมีความจำเป็นในการยุบพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้อย่างดี
“ท่านเลขาธิการฯ ยืนยันมาว่า กมธ.เวนิสไม่สามารถเตรียม Amicus Curiae ได้โดยปราศจากคำร้องขอจากศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ จึงมีหนังสือถึงศาล รธน.ไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าต้องการหรือไม่ และท่านเลขาธิการกมธ.เวนิส แจ้งว่าหาก ศาล รธน.ไทย มีความประสงค์จะได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการแบบฉันท์มิตรจาก กมธ.เวนิส แล้ว รูปแบบของ Amicus Curiae จะมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับกรณีของพรรค “ก้าวไกล” โดยเฉพาะหากแต่จะเน้นถึงหลักการทั่วไปที่ควรใช้ในการตัดสินใจในประเทศประชาธิปไตยที่เคารพหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนต่อการยุบพรรคการเมืองต่างๆ เท่านั้น”
นายกัณวีร์ ระบุว่า เลขาธิการ กมธ.เวณิช เปิดเผยในอีเมล์ด้วยว่า ในการเข้าร่วมประชุมของศาลรัฐธรรมนูญแห่งเอเชีย นายบูคิคคิโอ ประธานกิตติมศักดิ์และผู้แทนพิเศษของคณะกรรมาธิการเวนิสจะมีโอกาสหารือเกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้ในสภาวการณ์ปัจจุบันของไทยด้วย แถมลงท้ายว่ายังมีการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง และหากมีข้อมูลอะไรเพิ่มทาง กมธ.เวนิสก็ยินดีและพร้อมจะรับฟังเพิ่มเติม
“เราเห็นความหมายทั้งโดยตรงและนัยยะจากจดหมายตอบกลับครั้งนี้ ซึ่งก็คือ 1 คืนก่อนการฟังคำพิพากษาของศาล รธน.ไทย ต่อคดีการยุบพรรคก้าวไกล ทั้งๆ ที่ผมส่งไปอย่างเร่งด่วนแสดงให้เห็นถึงความสนใจต่อประเด็นนี้ในเวทีระหว่างประเทศอย่างยิ่ง”
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ทั้งๆ ที่ในอาณัติของ กมธ.เวนิส คงไม่มีการครอบคลุมกิจการใดๆ ต่อประเทศไทย หากแต่การเป็นสมาชิกฉันท์มิตรที่ดีที่สามารถกระทำต่อรัฐที่มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยด้วยกันแล้วเราก็สามารถดำเนินการได้อย่างมิตรประเทศในเวทีสากล
“สรุปว่า กมธ.เวนิส มีหนังสืออย่างเป็นทางการต่อศาล รธน.ไทยเป็นที่เรียบร้อยหากเราต้องการ Amicus Curiae เพื่อประกอบการพิจารณา และหากต้องการทาง กมธ.เวนิส จะไม่ก้าวก่ายกรณีพรรคก้าวไกลหากแต่จะมีข้อเสนอฉันท์มิตรที่ยึดหลักนิติธรรมและสิทธิมนุษยชนต่อการยุบพรรคการเมืองต่างๆ เท่านั้น รวมทั้ง มีการยืนยันว่าทางท่านประธานกิตติมศักดิ์ของ กมธ.เวนิส จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในช่วงการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญแห่งเอเชียที่จะจัดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ด้วยครับ” นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวย้ำว่า ตนเองส่งจดหมายอีเมล์ด่วนของผมไปถึงคณะกรรมาธิการเวนิส ที่มีแนวปฏิบัติ 7 ข้อในการยุบพรรคการเมือง เพราะคาดหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะรักษาผลประโยชน์ในคะแนนเสียงของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
“ต้องขอขอบคุณท่านผู้อำนวยการและเลขาธิการคณะกรรมาธิการเวนิส ที่ตอบอีเมล์ผมกลับมาด้วยความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับตามติดกันต่อไปกับการตัดสินยุบพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ที่เราจะร่วมกันเป็นพยานในการยึดหลักการทางประชาธิปไตยสากลในการณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด” นายกัณวีร์ กล่าวทิ้งท้าย
หอการค้า เผย ก.ค.เชื่อมั่นปชช.-ธุรกิจ ลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 4-5 ค่าดัชนีต่ำสุดรอบ 11-15 เดือน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4720758
หอการค้า เผย ก.ค.เชื่อมั่นปชช.-ธุรกิจ ลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 4-5 ค่าดัชนีต่ำสุดรอบ 11-15 เดือน
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคเอกชน) เดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า จากความกังวลต่อปัจจัยลบมีมากขึ้น ส่งผลต่อดัชนีความเชื่อมั่นทั้งภาคประชาชนและภาคเอกชน เดือนกรกฎาคม ทุกรายการ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4-5 และค่าดัชนีต่ำในรอบ 11-15 เดือน
สำหรับภาคประชาชน ปัจจัยหลักต่อความเชื่อมั่นลดลง คือ ผู้บริโภคกลับมากังวลว่าการเมืองไทยเริ่มขาดเสถียรภาพเกี่ยวกับการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะตัดสินเรื่องการยุบพรรคก้าวไกลและความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองในอนาคต และกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทย ยังคงชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า เพราะยังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และผู้บริโภคยังคงกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย รวมถึงส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
นายธนวรรธน์กล่าวว่า จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวม ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภคโดยรวม (CCI) ลดลงจากระดับ 58.9 เดือนมิถุนายน เป็น 57.7 ในเดือนกรกฎาคม เป็นการปรับตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 11 เดือนนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันลดลงจาก 42.8 เป็น 41.5 ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต ลดลงจาก 66.7 อยู่ที่ 65.4 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ระดับ 51.3 54.9 และ 66.8 ตามลำดับ ลดลงจากเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 52.6 56.1 และ 67.9 ตามลำดับ
นายธนวรรธ์กล่าวว่า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคเอกชน) โดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในปัจจุบัน ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยในอนาคต เดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ 52.2 ,49.9 และ 54.6 ตามลำดับ ลดลงจาก 54.2 ,52.0 และ 56.3 ตามลำดับในเดือนมิถุนายน ที่น่าสังเกตคือ ค่าดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยต่อปัจจุบัน ต่ำระดับ 50 ครั้งแรก สะท้อนต่อมุมมองเศรษฐกิจแย่ลง
ซึ่งในภาคเอกชน เสนอให้รัฐมาดูแลโดยด่วน คือ ออกมาตรการแก้ไขปัญหาเกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวนและพื้นที่อาจได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ ดูแลต้นทุนราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นส่งผลต่อค่าใช้จ่ายธุรกิจ ควบคุมราคาของปัจจัยการผลิตให้อยู่ในช่วงเหมาะสม ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มศักยภาพของธุรกิจให้เข้าถึงตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภาครัฐเร่งช่วยเหลือและออกมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องข้ามปี มาตรการกระตุ้นเพิ่มยอดคำสั่งซื้อสินค้าและบริการทุกธุรกิจ และรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสมต่อภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
“ผลสำรวจสะท้อนว่าประชาชนและนักธุรกิจมองเศรษฐกิจแย่ลงตามลำดับ แม้รัฐเร่งเบิกจ่ายงบปี 2567 แต่ก็บางเดือนยังเบิกจ่ายเท่าเดิม เริ่มกังวลต่อการเมืองในประเทศ และเศรษฐกิจโลกชะลอกว่าคาดการณ์ ดังนั้น โอกาสที่ความเชื่อมั่นจากนี้จะยังเป็นขาลงได้ต่อ ซึ่งความเชื่อมั่นน่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ในอนาคตอันใกล้ รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐ ผ่านการลดค่าเช่าหรือยกเว้นค่าแผง จัดจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทั้งการระบายสินค้า ประชาชนได้ซื้อสินค้าราคาประหยัดและสร้างอาชีพรายย่อนและชุมชน เสมือนเป็นกึ่งดิจิทัลวอลเล็ต ก่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทจะเริ่มได้ปลายไตรมาสสี่ปีนี้ต่อเนื่องไตรมาสแรกปีหน้า ซึ่งหากเป็นไปตามแผนดิจิทัลวอลเล็ต จะช่วยเพิ่มจีดีพีไตรมาสสี่ปีนี้อีก 0.5-0.7% และเพิ่มจีดีพีทั้งปีนี้ 0.2-0.3% ทำให้จีดีพีทั้งปีขยายตัว 2.6-2.8% จากที่ศูนย์พยากรณ์คาดการณ์ขยายตัว 2.5%” นายธนวรรธน์กล่าว
นายธนวรรธน์กล่าวว่า เมื่อถามถึงควมกังวลในปัจจุบัน ประชาชนส่วนใหญ่กังวลมากสุดในด้านค่าครองชีพสูง เศรษฐกิจชะลอตัว แบกภาระหนี้สูง ความมั่นใจต่อรายได้และอาชีพ ดอกเบี้ยทรงตัวสูง ในสำรวจพบว่า 35% ระบุสถานะการเงินแยางลง 47% ระบุรายได้เพียงพอแต่ไม่มีเงินเก็บ 26.4% รายได้ไม่เพียงพอ และต้องกู้ยืม 34% มีภาระหนี้เพิ่มกว่าปีก่อน และกว่า 69% ระบุเศรษฐกิจแย่ลงและแย่ลงมาก
“ถามถึงเงินดิจิทัลในกลุ่มที่ได้ตามเงื่อนไข 82.6% ระบุลงทะเบียนแน่นอน โดย 64% ระบุใช้จ่ายทั้งหมด 10,000 บาทในครั้งเดียว ที่เหลือจะแบ่งใช้จ่าย ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคและการศึกษาเป็นอันดับแรก โดยเสนอให้เพิ่มจ่ายค่าน้ำมันและพลังงาน เครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือและภาคบริการด้วย ” นายธนวรรธน์กล่าว