ใบตองแห้ง หัวร่อ ไม่ได้เป็นกรรมการงบกทม.ชวนจับตา ‘งบแปร’ เตือนชัชชาติเล่นบทบู๊ได้แล้ว
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4712188
ใบตองแห้ง หัวร่อ ไม่ได้เป็นกรรมการงบกทม.ชวนจับตา ‘งบแปร’ เตือนชัชชาติเล่นบทบู๊ได้แล้ว
วันที่ 1 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ประชุมสภากทม. มีการประชุม เพื่อตั้งกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณกทม. ซึ่งพรรคก้าวไกล ยืนยันเสนอชื่อคนนอกเข้าร่วม 2 ราย ได้แก่ นาย
อธึกกิต แสวงสุข และนาง
อานิก อัมระนันท์ โดยถือเป็นโควตาของพรรค
โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าส.ก.จากพรรคเพื่อไทย ออกมาคัดค้าน ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงการกลัวการตรวจสอบ แต่ต่อมาส.ก.ของเพื่อไทย ยืนยันว่าไม่มีมติที่จะคัดค้านคนนอกเข้าร่วมกรรมการแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเสนอชื่อ พบว่า ส.ก.เสนอชื่อกรรมการเพิ่มเติม เกินกว่าที่ตกลง 37 ราย ทำให้ต้องลงคะแนนลับ และลออกมาทำให้มีการรับรองสัดส่วนของกรรมการวิสามัญฝ่ายส.ก. 28 ราย โดยไม่มีรายชื่อคนนอก 2 คนตามที่ก้าวไกลเสนอ ตามที่ มติชนออนไลน์ เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดนาย
อธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง คอลัมนิสต์ชื่อดัง ที่ถูกเสนอชื่อเป็น 1 ใน 2 คน นอก แต่สุดท้ายไม่ได้เข้าร่วม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
วิโรจน์โทรมาขอโทษ
ผมเนี่ยหัวร่อท้องคัดท้องแข็ง
ไม่ต้องออกแรงก็ทำให้เห็นความไม่ชอบมาพากลจนร้อนท้อง ในสภา กทม. “มาจากเลือกตั้ง”
หนำซ้ำ เพื่อไทยยังเป็นตัวตั้งตัวตี กีดกันคนนอก
ไม่ต้องยิงปืนสักนัด นกตายไปหลายตัว 😂
ชื่นชมวิโรจน์ว่าเจ๋งจริง
:
ประเด็นสำคัญต่อจากนี้คือ
สื่อควรจะจับจ้องการพิจารณางบประมาณของ กทม.
จับตา “งบแปร” ของ สก.
ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
แล้วฝ่ายบริหาร ชัชชาติ และทีมงาน
สามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งหรือไม่
เพราะเป็นอย่างที่หนุ่มเมืองจันทน์เตือน
ถ้าชัชชาติไม่นับหนึ่งเล่นบทบู๊
คะแนนนิยมจะหดหาย
https://www.facebook.com/baitongpost/posts/pfbid02NDKmMyX9zUZnZtS8VpxmncBu9mcS62h5wqDbcnGw5GwX16q1Z6TTQNmQ8CQnDtetl
"ณัฐชา" ยันเดินหน้าเอาผิดต้นตอปัญหาปลาหมอคางดำ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_754656/
อนุฯปลาหมอคางดำ เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้อง ชี้แจง ค่าเสียหายที่เกิดจากระบาด ขณะ “วิษณุ” ไม่เข้า “ณัฐชา” ยัน เดินหน้าเอาผิดต้นตอของปัญหา
นาย
ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำแถลงก่อนการประชุมในวันนี้ ว่า ได้มีการเชิญสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงทรัพย์ฯ คกก.กฤษฎีกา เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับค่าเสียหายที่เกิดจากปัญหาปลาหมอคางดำระบาด โดยทั้ง 3 หน่วยงานส่งตัวแทนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่จะดำเนินการเอาผิดได้ ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าร่วม
นาย
ณัฐชา กล่าวว่า สิ่งที่เห็นวันนี้ วันนี้ต้องเดินหน้าเอาผิดกับต้นตอสาเหตุให้ได้ ซึ่งวันนี้จะได้ข้อสรุปข้อกฎหมายทั้งหมด ที่คณะอนุฯ จะส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ว่ากรมประมง กระทรวงเกษตรฯกระทรวงทรัพย์ฯ จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนการประเมินค่าเสียหายมีตัวอย่างชัดเจนแค่ตำบลเดียว คาดว่าประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี แต่วันนี้ระบาดไป 17 จังหวัด ที่ยังไม่ได้ประเมิน ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีมูลค่าเสียหายต่างกันไป หากรวมแล้วอาจจะถึงหมื่นล้านบาท
นาย
ณัฐชา ยังกล่างถึง บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ที่จะฟ้องสื่อมวลชนและมูลนิธิที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล โดนแย้งว่าพื้นที่ ที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงได้ดีที่สุดคือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนได้เน้นย้ำไปแล้วว่าทุกปัญหาของสังคม ออกมาจากการประชุมของคณะอนุฯ ชุดนี้ หากต้องการโต้แย้ง หรือทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะ ก็ควรที่จะมาให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการ ขณะที่หน่วยงานรัฐ ยินดีที่จะเปรียบเทียบข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ซึ่งจะคลายข้อสงสัยให้ประชาชนได้
ขณะที่การแถลงข่าวทุกครั้ง บริษัทฯ กล่าวว่าายินดีจะให้ข้อมูลกับภาครัฐ ซึ่งเราขอความร่วมมือไปแล้ว 2 ครั้ง ความยินดียังไม่ได้ ดังนั้นถ้ายินดีสนับสนุนกับหน่วยงานรัฐ เราเห็นข่าวแล้วยินดีที่ จะเชิญมาเป็นครั้งที่ 3 อย่างไรก็ตามตนขอปรึกษากับประธานคณะอนุกรรมาธิการก่อน
นาย
ณัฐชา กล่าวต่อว่า วันนี้หลายมีฝ่ายลงพื้นที่ รวมถึงภาครัฐที่ลงพื้นที่หนักมาก วันนี้ก็ที่แสมดำ เขตบางขุนเทียน แต่นอกเหนือจากการลงพื้นที่ ประชาชนยังรอ 7 มาตรการของรัฐ ที่ใช้งบ 450 ล้านบาท ในการแก้ปัญหา ซึ่งตนเห็นว่ายังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร เพราะ 7 มาตราการที่ออกมาสังคมทำอยู่แล้ว ทั้งการจับ ล่า แปรรูป แต่สิ่งที่เขารอคอยคือสาเหตุ สิ่งนี้ไม่ได้ยินจากฝ่ายบริหารเลย รวมถึงยังไม่มีการประกาศเขตภัยพิบัติ เพื่อปั๊มหัวใจเกษตรกร ที่ล้มหายตายจากในรายวัน
นาย
ณัฐชายืนยันว่า คณะอนุฯ เอาจริงกับการแก้ปัญหา ไม่ใช่การฟอกขาวให้กับเอกชน วันนี้เราต้องการทำข้อสงสัยของสังคม เมื่อเข้าใจไม่ตรงกัน จะเกิดปัญหากระทบกระทั่งสิ่งเดียวที่ทำได้คือให้ความจริงปรากฏ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ถ้าความจริงปรากฎเราจะรู้ว่าใครคือต้นตอ และจะบรรเทาอาการโกรธแค้นของเกษตรกรที่อยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อการทำงานของคณะอนุกรรมธิการสิ้นสุดลง จะต้องมีผู้ที่ถูกดำเนินคดี รวมทั้งกระทรวงทรัพย์ ที่รับผิดชอบเรื่องระบบนิเวศน์ ก.เกษตรกร ที่มีลูกค้าเป็นเกษตรกร ก.มหาดไทย ที่ดูเรื่อง ปภ. ที่ยังไม่มีการบรรเทาภัยให้ประชาชน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ต้องนั่งหัวโต๊ะ แก้ไขปัญหา อย่าให้มีการคอรหาเหมือนกับหมูเถื่อน ที่นายกแอคชั่น ตอนแรกแบบนี้ซึ่งย้ำว่าจะไม่ให้ปลาเถื่อนจบแบบหมูเถื่อนแน่นอน
นาย
ณัฐชา ถามถึงคณะทำงานตามหาความจริง ใน 7 วันที่ถูกตั้งที่โดย รมว.เกษตรนั้น วันนี้ผ่านมา 7 วัน ตนขอตามหา คกก.ตามหาความจริง ให้เจอก่อน แล้วความจริงจะปรากฏ ซึ่งตนขอให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะตอนนี้ยังไม่มีความจริงปรากฏ จะทำให้ประชาชนเห็นได้ว่าความจริงใจของรัฐบาลเป็นอย่างไร
คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ลังเลซื้อบ้าน อสังหาฯมึน เจอปัญหาใหม่ ‘กู้ผ่านแต่ไม่ซื้อ’
https://www.matichon.co.th/economy/news_4711752
คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ลังเลซื้อบ้าน อสังหาฯมึน เจอปัญหาใหม่ ‘กู้ผ่านแต่ไม่ซื้อ’
วันที่ 31 กรกฎาคม น.ส.
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง 2567 ยังคงต้องดูภาวะเศรษฐกิจภาพรวมในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเริ่มมีปัญหาเรื่องหุ้นกู้และตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะค่อนข้างเปราะบางขึ้น ทำให้ทุกบริษัทจะให้ความระมัดระวังเรื่องนี้มากขึ้น ดังนั้นในครึ่งปีหลังจะเจอสองเด้ง ทั้งในแง่ของธุรกิจและนักธุรกิจ ยังต้องระมัดระวังมากขึ้นเป็นทวีคูณ ในการเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุน อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละบริษัทด้วย
“
เสนาเองได้ปรับตัวโดยดูแลกระแสเงินให้มาก ซึ่งเราเองอาจโชคดีที่ลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์เยอะ จึงช่วยได้มาก และยังมีโครงการในมืออยู่แล้วจำนวนมากในระดับหนึ่ง โดยไม่ลงทุนเพิ่มก็ได้ตอนนี้ถือว่าเราคอนเซอร์เวทีฟมาก เก็บกระแสเงินสด พยายามรอบคอบกับการลงทุนให้มากที่สุด ไม่ลงทุนอะไรที่ไม่ชำนาญ โฟกัสในสิ่งที่ถนัด เช่น การเปิดโครงการใหม่ในแผนปีนี้ แต่ถ้ายอดขายไม่ค่อยดี ก็เลื่อนการขายออกไป และดูว่าทำเลไหนที่ไม่จำเป็นต้องเปิดก็ยังไม่เปิด เป็นการปรับตัวให้เหมาะสมกับตลาด“ น.ส.
เกษรากล่าว
น.ส.
เกษรากล่าวว่า ทั้งนี้เพื่อเป็นการระบายสต๊อกที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาท เสนาได้เปิดตัวโครงการ “
เช่าออมบ้าน” สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม 25 โครงการ เพื่อแก้ปัญหารีเจ็กต์เรตที่ยังสูง 70% ซึ่งได้รับความสนใจค่อนข้างมาก ล่าสุดมีคนร่วมโครงการกว่า 200 คนและมีกู้ผ่าน 20 คน คาดว่าจะได้รับการตอบรับมากขึ้น นอกจากนี้เสนนายังมีการขายแบบB2Bด้วย แต่ยังเป็นขนาดไม่มาก 10-20 ยูนิต รวมถึงยังนำ 20 กว่าโครงการ ที่ยังไม่มีการรับรู้รายได้ยื่นขอส่งเสริมโครงการบ้านบีโอไอ ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทแล้ว และได้รับอนุมัติแล้ว 3-4 โครงการและเปิดขายแล้ว เช่น เสนาคิทท์ บางนา ,เสนา อีโค่ทาวน์ รังสิต เป็นต้น จะช่วยทำให้ต้นทุนต่ำลงและลดราคาได้มากขึ้น ส่วนมาตรการรัฐที่ออกมาก็ช่วยกระตุ้นให้คนซื้อบ้านเร็วขึ้น
“
ตอนนี้สิ่งที่เจอ นอกจากปัญหากู้แบงก์ไม่ผ่านสูงแล้ว ล่าสุดเจอปัญหาลูกค้ากู้ผ่านแล้วแต่ไม่เอา เพราะไม่ค่อยมั่นใจในรายได้ ภาวะเศรษฐกิจ และไม่อยากเป็นหนี้ยาว 30 ปี ถ้ารัฐบาลแก้เศรษฐกิจได้ จะทำให้กำลังซื้อกลับมา เพราะบ้านเป็นปัจจัยสี่” น.ส.เกษรากล่าว
ก่อนหน้านี้ นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับ 79.6 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ -2.8 และพบว่าลดลงร้อยละ -15.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนจากการปรับตัวลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP) ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ชะลอตัวลง โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 คาดว่าเป็นผลจากภาคการเกษตรและหมวดอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับด้านการใช้จ่ายของรัฐบาล การลงทุนของภาคเอกชน การส่งออกสินค้าที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอตัวลง ทั้งนี้ มีเพียงภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
นาย
วิชัยกล่าวว่า ผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้ส่งผลต่อการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย พบว่าดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 1 ปี 2567 ลดลงร้อยละ -15.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งในด้านของอุปสงค์และอุปทาน โดยด้านอุปสงค์ของที่อยู่อาศัย พบว่า ด้านโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงทั้งหน่วยและมูลค่าร้อยละ -12.4 และร้อยละ -13.4 ตามลำดับ และอัตราดูดซับห้องชุดใหม่ลดลงร้อยละ -1.9 และอัตราดูดซับบ้านแนวราบใหม่ลดลงร้อยละ -0.8
ส่วนในด้านอุปทาน พบว่า ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 ในขณะที่พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ -25.3 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมีปัจจัยลบหลายด้าน เช่น การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท. ) ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 90 ของ GDP ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สถาบันการเงินต้องเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ และพบการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง รวมถึงภาวะดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 2.50 ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยให้ลดลงโดยตรง และการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
“
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีรายได้เพิ่มขึ้นน้อย ขณะที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นแต่ความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระลดลง ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายที่อยู่อาศัยโดยตรง”นายวิชัยกล่าว
JJNY : ใบตองแห้งหัวร่อ│"ณัฐชา"ยันเดินหน้าเอาผิดต้นตอปลาหมอคางดำ│อสังหาฯมึน‘กู้ผ่านแต่ไม่ซื้อ’│ลิทัวเนียยันยูเครนได้ F16
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_4712188
ใบตองแห้ง หัวร่อ ไม่ได้เป็นกรรมการงบกทม.ชวนจับตา ‘งบแปร’ เตือนชัชชาติเล่นบทบู๊ได้แล้ว
วันที่ 1 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ประชุมสภากทม. มีการประชุม เพื่อตั้งกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณกทม. ซึ่งพรรคก้าวไกล ยืนยันเสนอชื่อคนนอกเข้าร่วม 2 ราย ได้แก่ นายอธึกกิต แสวงสุข และนางอานิก อัมระนันท์ โดยถือเป็นโควตาของพรรค
โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าส.ก.จากพรรคเพื่อไทย ออกมาคัดค้าน ทำให้เกิดการตั้งคำถามถึงการกลัวการตรวจสอบ แต่ต่อมาส.ก.ของเพื่อไทย ยืนยันว่าไม่มีมติที่จะคัดค้านคนนอกเข้าร่วมกรรมการแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเสนอชื่อ พบว่า ส.ก.เสนอชื่อกรรมการเพิ่มเติม เกินกว่าที่ตกลง 37 ราย ทำให้ต้องลงคะแนนลับ และลออกมาทำให้มีการรับรองสัดส่วนของกรรมการวิสามัญฝ่ายส.ก. 28 ราย โดยไม่มีรายชื่อคนนอก 2 คนตามที่ก้าวไกลเสนอ ตามที่ มติชนออนไลน์ เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ล่าสุดนายอธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง คอลัมนิสต์ชื่อดัง ที่ถูกเสนอชื่อเป็น 1 ใน 2 คน นอก แต่สุดท้ายไม่ได้เข้าร่วม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า
วิโรจน์โทรมาขอโทษ
ผมเนี่ยหัวร่อท้องคัดท้องแข็ง
ไม่ต้องออกแรงก็ทำให้เห็นความไม่ชอบมาพากลจนร้อนท้อง ในสภา กทม. “มาจากเลือกตั้ง”
หนำซ้ำ เพื่อไทยยังเป็นตัวตั้งตัวตี กีดกันคนนอก
ไม่ต้องยิงปืนสักนัด นกตายไปหลายตัว 😂
ชื่นชมวิโรจน์ว่าเจ๋งจริง
:
ประเด็นสำคัญต่อจากนี้คือ
สื่อควรจะจับจ้องการพิจารณางบประมาณของ กทม.
จับตา “งบแปร” ของ สก.
ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่
แล้วฝ่ายบริหาร ชัชชาติ และทีมงาน
สามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งหรือไม่
เพราะเป็นอย่างที่หนุ่มเมืองจันทน์เตือน
ถ้าชัชชาติไม่นับหนึ่งเล่นบทบู๊
คะแนนนิยมจะหดหาย
https://www.facebook.com/baitongpost/posts/pfbid02NDKmMyX9zUZnZtS8VpxmncBu9mcS62h5wqDbcnGw5GwX16q1Z6TTQNmQ8CQnDtetl
"ณัฐชา" ยันเดินหน้าเอาผิดต้นตอปัญหาปลาหมอคางดำ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_754656/
อนุฯปลาหมอคางดำ เชิญหน่วยงานเกี่ยวข้อง ชี้แจง ค่าเสียหายที่เกิดจากระบาด ขณะ “วิษณุ” ไม่เข้า “ณัฐชา” ยัน เดินหน้าเอาผิดต้นตอของปัญหา
นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาสาเหตุและแนวทางการแก้ไขปัญหา รวมถึงผลกระทบจากการนำเข้าปลาหมอคางดำแถลงก่อนการประชุมในวันนี้ ว่า ได้มีการเชิญสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงทรัพย์ฯ คกก.กฤษฎีกา เพื่อที่จะหารือเกี่ยวกับค่าเสียหายที่เกิดจากปัญหาปลาหมอคางดำระบาด โดยทั้ง 3 หน่วยงานส่งตัวแทนมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่จะดำเนินการเอาผิดได้ ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีไม่ได้เข้าร่วม
นายณัฐชา กล่าวว่า สิ่งที่เห็นวันนี้ วันนี้ต้องเดินหน้าเอาผิดกับต้นตอสาเหตุให้ได้ ซึ่งวันนี้จะได้ข้อสรุปข้อกฎหมายทั้งหมด ที่คณะอนุฯ จะส่งไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ว่ากรมประมง กระทรวงเกษตรฯกระทรวงทรัพย์ฯ จะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนการประเมินค่าเสียหายมีตัวอย่างชัดเจนแค่ตำบลเดียว คาดว่าประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี แต่วันนี้ระบาดไป 17 จังหวัด ที่ยังไม่ได้ประเมิน ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีมูลค่าเสียหายต่างกันไป หากรวมแล้วอาจจะถึงหมื่นล้านบาท
นายณัฐชา ยังกล่างถึง บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ที่จะฟ้องสื่อมวลชนและมูลนิธิที่ออกมาเปิดเผยข้อมูล โดนแย้งว่าพื้นที่ ที่จะนำเสนอข้อเท็จจริงได้ดีที่สุดคือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งตนได้เน้นย้ำไปแล้วว่าทุกปัญหาของสังคม ออกมาจากการประชุมของคณะอนุฯ ชุดนี้ หากต้องการโต้แย้ง หรือทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณะ ก็ควรที่จะมาให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการ ขณะที่หน่วยงานรัฐ ยินดีที่จะเปรียบเทียบข้อมูลที่มีการบันทึกไว้ ซึ่งจะคลายข้อสงสัยให้ประชาชนได้
ขณะที่การแถลงข่าวทุกครั้ง บริษัทฯ กล่าวว่าายินดีจะให้ข้อมูลกับภาครัฐ ซึ่งเราขอความร่วมมือไปแล้ว 2 ครั้ง ความยินดียังไม่ได้ ดังนั้นถ้ายินดีสนับสนุนกับหน่วยงานรัฐ เราเห็นข่าวแล้วยินดีที่ จะเชิญมาเป็นครั้งที่ 3 อย่างไรก็ตามตนขอปรึกษากับประธานคณะอนุกรรมาธิการก่อน
นายณัฐชา กล่าวต่อว่า วันนี้หลายมีฝ่ายลงพื้นที่ รวมถึงภาครัฐที่ลงพื้นที่หนักมาก วันนี้ก็ที่แสมดำ เขตบางขุนเทียน แต่นอกเหนือจากการลงพื้นที่ ประชาชนยังรอ 7 มาตรการของรัฐ ที่ใช้งบ 450 ล้านบาท ในการแก้ปัญหา ซึ่งตนเห็นว่ายังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร เพราะ 7 มาตราการที่ออกมาสังคมทำอยู่แล้ว ทั้งการจับ ล่า แปรรูป แต่สิ่งที่เขารอคอยคือสาเหตุ สิ่งนี้ไม่ได้ยินจากฝ่ายบริหารเลย รวมถึงยังไม่มีการประกาศเขตภัยพิบัติ เพื่อปั๊มหัวใจเกษตรกร ที่ล้มหายตายจากในรายวัน
นายณัฐชายืนยันว่า คณะอนุฯ เอาจริงกับการแก้ปัญหา ไม่ใช่การฟอกขาวให้กับเอกชน วันนี้เราต้องการทำข้อสงสัยของสังคม เมื่อเข้าใจไม่ตรงกัน จะเกิดปัญหากระทบกระทั่งสิ่งเดียวที่ทำได้คือให้ความจริงปรากฏ ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ถ้าความจริงปรากฎเราจะรู้ว่าใครคือต้นตอ และจะบรรเทาอาการโกรธแค้นของเกษตรกรที่อยู่ในภาวะสิ้นเนื้อประดาตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อการทำงานของคณะอนุกรรมธิการสิ้นสุดลง จะต้องมีผู้ที่ถูกดำเนินคดี รวมทั้งกระทรวงทรัพย์ ที่รับผิดชอบเรื่องระบบนิเวศน์ ก.เกษตรกร ที่มีลูกค้าเป็นเกษตรกร ก.มหาดไทย ที่ดูเรื่อง ปภ. ที่ยังไม่มีการบรรเทาภัยให้ประชาชน รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ต้องนั่งหัวโต๊ะ แก้ไขปัญหา อย่าให้มีการคอรหาเหมือนกับหมูเถื่อน ที่นายกแอคชั่น ตอนแรกแบบนี้ซึ่งย้ำว่าจะไม่ให้ปลาเถื่อนจบแบบหมูเถื่อนแน่นอน
นายณัฐชา ถามถึงคณะทำงานตามหาความจริง ใน 7 วันที่ถูกตั้งที่โดย รมว.เกษตรนั้น วันนี้ผ่านมา 7 วัน ตนขอตามหา คกก.ตามหาความจริง ให้เจอก่อน แล้วความจริงจะปรากฏ ซึ่งตนขอให้มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะตอนนี้ยังไม่มีความจริงปรากฏ จะทำให้ประชาชนเห็นได้ว่าความจริงใจของรัฐบาลเป็นอย่างไร
คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ลังเลซื้อบ้าน อสังหาฯมึน เจอปัญหาใหม่ ‘กู้ผ่านแต่ไม่ซื้อ’
https://www.matichon.co.th/economy/news_4711752
คนไม่มั่นใจเศรษฐกิจ ลังเลซื้อบ้าน อสังหาฯมึน เจอปัญหาใหม่ ‘กู้ผ่านแต่ไม่ซื้อ’
วันที่ 31 กรกฎาคม น.ส.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลัง 2567 ยังคงต้องดูภาวะเศรษฐกิจภาพรวมในครึ่งปีหลัง เนื่องจากเริ่มมีปัญหาเรื่องหุ้นกู้และตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะค่อนข้างเปราะบางขึ้น ทำให้ทุกบริษัทจะให้ความระมัดระวังเรื่องนี้มากขึ้น ดังนั้นในครึ่งปีหลังจะเจอสองเด้ง ทั้งในแง่ของธุรกิจและนักธุรกิจ ยังต้องระมัดระวังมากขึ้นเป็นทวีคูณ ในการเข้าถึงสินเชื่อและแหล่งทุน อาจจะส่งผลต่อการลงทุนได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละบริษัทด้วย
“เสนาเองได้ปรับตัวโดยดูแลกระแสเงินให้มาก ซึ่งเราเองอาจโชคดีที่ลงทุนร่วมกับพาร์ทเนอร์เยอะ จึงช่วยได้มาก และยังมีโครงการในมืออยู่แล้วจำนวนมากในระดับหนึ่ง โดยไม่ลงทุนเพิ่มก็ได้ตอนนี้ถือว่าเราคอนเซอร์เวทีฟมาก เก็บกระแสเงินสด พยายามรอบคอบกับการลงทุนให้มากที่สุด ไม่ลงทุนอะไรที่ไม่ชำนาญ โฟกัสในสิ่งที่ถนัด เช่น การเปิดโครงการใหม่ในแผนปีนี้ แต่ถ้ายอดขายไม่ค่อยดี ก็เลื่อนการขายออกไป และดูว่าทำเลไหนที่ไม่จำเป็นต้องเปิดก็ยังไม่เปิด เป็นการปรับตัวให้เหมาะสมกับตลาด“ น.ส.เกษรากล่าว
น.ส.เกษรากล่าวว่า ทั้งนี้เพื่อเป็นการระบายสต๊อกที่ยังเหลืออยู่ประมาณ 1-1.2 หมื่นล้านบาท เสนาได้เปิดตัวโครงการ “เช่าออมบ้าน” สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม 25 โครงการ เพื่อแก้ปัญหารีเจ็กต์เรตที่ยังสูง 70% ซึ่งได้รับความสนใจค่อนข้างมาก ล่าสุดมีคนร่วมโครงการกว่า 200 คนและมีกู้ผ่าน 20 คน คาดว่าจะได้รับการตอบรับมากขึ้น นอกจากนี้เสนนายังมีการขายแบบB2Bด้วย แต่ยังเป็นขนาดไม่มาก 10-20 ยูนิต รวมถึงยังนำ 20 กว่าโครงการ ที่ยังไม่มีการรับรู้รายได้ยื่นขอส่งเสริมโครงการบ้านบีโอไอ ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทแล้ว และได้รับอนุมัติแล้ว 3-4 โครงการและเปิดขายแล้ว เช่น เสนาคิทท์ บางนา ,เสนา อีโค่ทาวน์ รังสิต เป็นต้น จะช่วยทำให้ต้นทุนต่ำลงและลดราคาได้มากขึ้น ส่วนมาตรการรัฐที่ออกมาก็ช่วยกระตุ้นให้คนซื้อบ้านเร็วขึ้น
“ตอนนี้สิ่งที่เจอ นอกจากปัญหากู้แบงก์ไม่ผ่านสูงแล้ว ล่าสุดเจอปัญหาลูกค้ากู้ผ่านแล้วแต่ไม่เอา เพราะไม่ค่อยมั่นใจในรายได้ ภาวะเศรษฐกิจ และไม่อยากเป็นหนี้ยาว 30 ปี ถ้ารัฐบาลแก้เศรษฐกิจได้ จะทำให้กำลังซื้อกลับมา เพราะบ้านเป็นปัจจัยสี่” น.ส.เกษรากล่าว
ก่อนหน้านี้ นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) กล่าวว่า ผลสำรวจดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ในภาพรวมของไตรมาส 1 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับ 79.6 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ -2.8 และพบว่าลดลงร้อยละ -15.4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนจากการปรับตัวลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศไทย (GDP) ในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่ชะลอตัวลง โดยขยายตัวเพียงร้อยละ 1.5 คาดว่าเป็นผลจากภาคการเกษตรและหมวดอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับด้านการใช้จ่ายของรัฐบาล การลงทุนของภาคเอกชน การส่งออกสินค้าที่มีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอตัวลง ทั้งนี้ มีเพียงภาคบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น
นายวิชัยกล่าวว่า ผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจได้ส่งผลต่อการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัย พบว่าดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 1 ปี 2567 ลดลงร้อยละ -15.4 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งในด้านของอุปสงค์และอุปทาน โดยด้านอุปสงค์ของที่อยู่อาศัย พบว่า ด้านโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงทั้งหน่วยและมูลค่าร้อยละ -12.4 และร้อยละ -13.4 ตามลำดับ และอัตราดูดซับห้องชุดใหม่ลดลงร้อยละ -1.9 และอัตราดูดซับบ้านแนวราบใหม่ลดลงร้อยละ -0.8
ส่วนในด้านอุปทาน พบว่า ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 ในขณะที่พื้นที่อนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยลดลงร้อยละ -25.3 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากมีปัจจัยลบหลายด้าน เช่น การยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท. ) ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงกว่าร้อยละ 90 ของ GDP ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สถาบันการเงินต้องเพิ่มความเข้มงวดในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ และพบการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินในสัดส่วนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง รวมถึงภาวะดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 2.50 ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยให้ลดลงโดยตรง และการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า
“สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยมีรายได้เพิ่มขึ้นน้อย ขณะที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้น ภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้นแต่ความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระลดลง ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายที่อยู่อาศัยโดยตรง”นายวิชัยกล่าว