การค้นหาความว่างในจิตใจเป็นแนวทางสำคัญในการสังเกตจิตเดิมแท้ ต่อไปนี้คือคำอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดนี้:
ความว่างที่เรากล่าวถึงไม่ใช่ความว่างเปล่าหรือความไม่มีอะไรเลย แต่เป็นสภาวะของจิตที่ปราศจากความคิดปรุงแต่ง อารมณ์ หรือความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างความคิดหนึ่งกับอีกความคิดหนึ่ง หรือระหว่างอารมณ์หนึ่งกับอีกอารมณ์หนึ่ง
วิธีสังเกตความว่างนี้ เริ่มจากการฝึกสมาธิให้จิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว ให้สังเกตกระแสความคิดที่เกิดขึ้น โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือจมอยู่กับความคิดนั้น เพียงแค่รับรู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น แล้วปล่อยให้มันผ่านไป
ในขณะที่เราฝึกสังเกตเช่นนี้ เราอาจเริ่มสังเกตเห็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างความคิด เป็นช่วงที่จิตว่างจากความคิดชั่วขณะ ความว่างนี้อาจรู้สึกเหมือนความสงบ ความนิ่ง หรือความโปร่งโล่งในจิตใจ
การสังเกตความว่างนี้ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและความอดทน เพราะช่วงเวลาเหล่านี้มักจะสั้นมากในตอนแรก อาจเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่เมื่อเราฝึกฝนมากขึ้น เราอาจสามารถรับรู้ช่วงเวลาเหล่านี้ได้ชัดเจนและยาวนานขึ้น
ความว่างนี้อาจเป็นร่องรอยของจิตเดิมแท้ เพราะเป็นสภาวะที่ปราศจากการปรุงแต่งของความคิดและอารมณ์ เป็นความรู้สึกตัวบริสุทธิ์ที่เพียงแค่รับรู้โดยไม่มีการตัดสินหรือปรุงแต่ง
ในขณะที่เราสังเกตความว่างนี้ เราอาจเริ่มรู้สึกถึงคุณสมบัติบางอย่างของจิตเดิมแท้ เช่น ความสงบ ความโปร่งโล่ง ความเบิกบาน หรือความรู้สึกตัวที่ไม่มีขอบเขต เป็นความรู้สึกที่เปิดกว้างและไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือไม่ควรพยายามสร้างหรือบังคับให้เกิดความว่างนี้ เพราะการพยายามเช่นนั้นกลับจะเป็นการสร้างความคิดและความพยายามขึ้นมาอีก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ให้เพียงแค่เปิดใจรับรู้และสังเกตอย่างผ่อนคลาย
การฝึกสังเกตความว่างนี้ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในช่วงนั่งสมาธิเท่านั้น แต่ควรพยายามนำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย เช่น ในขณะทำงาน เดิน หรือทำกิจวัตรต่างๆ ลองสังเกตช่วงเวลาระหว่างกิจกรรมหนึ่งกับอีกกิจกรรมหนึ่ง หรือระหว่างความคิดหนึ่งกับอีกความคิดหนึ่ง
การฝึกฝนเช่นนี้อย่างต่อเนื่องอาจช่วยให้เราคุ้นเคยกับสภาวะของจิตเดิมแท้มากขึ้น และอาจนำไปสู่การเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของจิตในที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรระลึกไว้เสมอว่าการปฏิบัตินี้เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ในทันที แต่ให้เพียงแค่ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอด้วยใจที่เปิดกว้างและไม่ยึดติด
แนวทางสำคัญ ในการสังเกต จิตเดิมแท้
ความว่างที่เรากล่าวถึงไม่ใช่ความว่างเปล่าหรือความไม่มีอะไรเลย แต่เป็นสภาวะของจิตที่ปราศจากความคิดปรุงแต่ง อารมณ์ หรือความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างความคิดหนึ่งกับอีกความคิดหนึ่ง หรือระหว่างอารมณ์หนึ่งกับอีกอารมณ์หนึ่ง
วิธีสังเกตความว่างนี้ เริ่มจากการฝึกสมาธิให้จิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้ว ให้สังเกตกระแสความคิดที่เกิดขึ้น โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือจมอยู่กับความคิดนั้น เพียงแค่รับรู้ว่ามีความคิดเกิดขึ้น แล้วปล่อยให้มันผ่านไป
ในขณะที่เราฝึกสังเกตเช่นนี้ เราอาจเริ่มสังเกตเห็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างความคิด เป็นช่วงที่จิตว่างจากความคิดชั่วขณะ ความว่างนี้อาจรู้สึกเหมือนความสงบ ความนิ่ง หรือความโปร่งโล่งในจิตใจ
การสังเกตความว่างนี้ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนและความอดทน เพราะช่วงเวลาเหล่านี้มักจะสั้นมากในตอนแรก อาจเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่เมื่อเราฝึกฝนมากขึ้น เราอาจสามารถรับรู้ช่วงเวลาเหล่านี้ได้ชัดเจนและยาวนานขึ้น
ความว่างนี้อาจเป็นร่องรอยของจิตเดิมแท้ เพราะเป็นสภาวะที่ปราศจากการปรุงแต่งของความคิดและอารมณ์ เป็นความรู้สึกตัวบริสุทธิ์ที่เพียงแค่รับรู้โดยไม่มีการตัดสินหรือปรุงแต่ง
ในขณะที่เราสังเกตความว่างนี้ เราอาจเริ่มรู้สึกถึงคุณสมบัติบางอย่างของจิตเดิมแท้ เช่น ความสงบ ความโปร่งโล่ง ความเบิกบาน หรือความรู้สึกตัวที่ไม่มีขอบเขต เป็นความรู้สึกที่เปิดกว้างและไร้ขีดจำกัด
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือไม่ควรพยายามสร้างหรือบังคับให้เกิดความว่างนี้ เพราะการพยายามเช่นนั้นกลับจะเป็นการสร้างความคิดและความพยายามขึ้นมาอีก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ให้เพียงแค่เปิดใจรับรู้และสังเกตอย่างผ่อนคลาย
การฝึกสังเกตความว่างนี้ไม่ควรจำกัดอยู่แค่ในช่วงนั่งสมาธิเท่านั้น แต่ควรพยายามนำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย เช่น ในขณะทำงาน เดิน หรือทำกิจวัตรต่างๆ ลองสังเกตช่วงเวลาระหว่างกิจกรรมหนึ่งกับอีกกิจกรรมหนึ่ง หรือระหว่างความคิดหนึ่งกับอีกความคิดหนึ่ง
การฝึกฝนเช่นนี้อย่างต่อเนื่องอาจช่วยให้เราคุ้นเคยกับสภาวะของจิตเดิมแท้มากขึ้น และอาจนำไปสู่การเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของจิตในที่สุด อย่างไรก็ตาม ควรระลึกไว้เสมอว่าการปฏิบัตินี้เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ในทันที แต่ให้เพียงแค่ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอด้วยใจที่เปิดกว้างและไม่ยึดติด